“นิโคไล เฮ้อ!” ไอลดาได้แต่เอ่ยเรียกชื่อเขาพลางถอนหายใจหนักๆ คล้ายกับกำลังครุ่นคิดด้วยความสับสนว่าจะทำอย่างไร เธอเองมันก็หัวแข็งไม่ยอมใครเสียด้วย หากไม่ผิดจริงจะไม่ยอมเป็นอันขาด แต่เขายื่นข้อเสนอดินเนอร์ด้วย มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก จากนั้นก็หวังว่ามันจะจบ แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือเธอต้องขอโทษเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว ไอ้ฝรั่งโรคจิต
“แค่ดินเนอร์ใช่ไหม” เธอถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ดินเนอร์และพูดขอโทษหวานๆ”
“ฉันจะดินเนอร์แต่จะไม่ขอโทษคุณ” เธอยังคงใจแข็งเหมือนเดิมเลย ให้ตายสิ แต่ท้าทายไปอีกแบบ
“เชื่อแน่ว่าคุณจะต้องขอโทษผม ที่รัก” เธออยากจะเอาส้อมจิ้มตาเขาเหลือเกิน
“ฉันเชื่อว่าคุณจะไม่ได้ยินจากปากฉัน” เธอบอกด้วยความมั่นใจ
“ผมอาจจะไม่ได้ยิน แต่ผมสัมผัสได้” เขาเถียงกลับเช่นกัน ดูเหมือนมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเธอจึงขี้เกียจเถียง จึงได้แต่เงียบแล้วตั้งใจทานมื้อเช้าให้เสร็จ แต่ก็ไม่วายที่นิโคไลจะชวนคุย
“ถามหน่อยสิครับ คุณมาจากประเทศอะไร ทำไมถึงได้มาอยู่ที่ D.C.” นิโคไลคงอยากรู้ประวัติของเธอเหลือเกิน
“เป็นคนไทยค่ะมาเรียนและกำลังจะกลับแล้วด้วย” ไอลดาตอบสั้นๆ เสียงเรียบ แต่เมื่อฟังเช่นนี้แล้วเขากลับใจหายเสียอย่างนั้น
“จะกลับเมื่อไหร่” นิโคไลถามเสียงเครียดขึ้น มีความอาวรณ์ระคนอยู่ในน้ำเสียง แต่เธอฟังไม่ออก เพราะเขามันมีแต่ความเจ้าเล่ห์ที่เธอสัมผัสได้
“ถ้าไม่ถูกคุณลักพาตัวมา ฉันคงเก็บเสื้อผ้าเตรียมบินกลับแล้ว”
“เมืองไทยอย่างนั้นเหรอ แล้วเอ่อคุณอายุเท่าไหร่ เรียนจบอะไร”
“ถามละเอียดขนาดนี้จะสัมภาษณ์งานเลยหรือเปล่าล่ะคะ” เธออดประชดไม่ได้
“ผมไม่มีงานให้คนอย่างคุณทำหรอก เพราะคนอย่างคุณคงไม่ฟังเจ้านายอย่างผมแน่นอน และผมไม่เอาคุณทำลูกน้องแน่ๆ”
“ใช่! ถ้าอยากรู้ฉันจะบอกให้เอาบุญก็ได้ เพราะถึงยังไงซะเราก็คงจะไม่ได้เจอกันอีก ฉันอายุย่างยี่สิบห้าแล้ว จบปริญญาโทบริหารธุรกิจจากจอร์จทาวน์เหมือนที่คุณเดาเลย ไงคะมีตำแหน่งว่างให้ฉันไหม”
“ก็บอกแล้วว่าไม่มี แต่บนเตียงผมนะที่ยังว่าง ไม่ต้องรับเป็นเงินเดือนแต่รับเป็นครั้งๆ ไป ผมให้หนักนะถูกใจผมเขียนเช็คให้ครั้งละหนึ่งแสนดอลล่า สนใจไหมครับ” เขากวนประสาทเธอหรือเอาจริงกันแน่เนี่ย
“แบบนี้คุณก็หาใครจริงใจไม่ได้น่ะสิคะ เพราะมีแต่คนอยากได้เงินคุณ” พูดแบบนี้เพราะเธอนึกเป็นห่วงเงินในกระเป๋าของเขาขึ้นมาเชียว
“แล้วคุณอยากได้เงินผมหรือเปล่า”
“เงินฉันมีมากพอชนิดที่ไม่ต้องทำงาน ก็มีกินมีใช้ไปจนตาย ไม่ต้องขอผู้ชายให้ยาก โดยเฉพาะผู้ชายอย่างคุณ” พระเจ้าเถอะ ผู้หญิงอะไรจะมั่นใจได้ขนาดนี้ เธอควรถ่อมตัวเสียบ้าง แม้จะรวยก็ตามแต่เขาหมั่นไส้
“คุณคงเป็นคนไทยที่ไม่รู้จักลำบาก พ่อแม่ประเคนให้ทุกอย่าง หวังจะเรียนจบสูงๆ กลับไปจะได้เป็นผู้บริหารเลย ไม่เคยสัมผัสคำว่าลูกจ้าง แต่ระวังไว้หน่อยอะไรมันก็ไม่แน่นอน เศรษฐกิจมันผันแปรตลอด วันนี้คุณไม่ต้องขอเงิน แต่วันข้างหน้าไม่แน่”
“ไม่ต้องมาสอนฉัน ครอบครัวฉันก็เป็นนักธุรกิจเหมือนกับคุณนั่นแหละ”
“อย่าทะนงตัวเกินไปครับ คนเรามันมีล้มกันได้ แล้วเวลาล้มไม่มีใครช่วย จะมีก็แต่คนซ้ำเติม” เขาพูดเหมือนเคยล้มมาก่อนอย่างนั้นแหละ เธอคิด
“พูดเหมือนคุณเคยล้มมาก่อน” เธอถามด้วยความสงสัย
“ก็ล้มก่อนที่จะมีวันนี้ไงครับ” เขาบอกเพียงสั้นๆ แต่เธอไม่คิดที่จะถามต่อเพราะไม่อยากเสียมารยาท หากเขาอยากจะเล่ามันก็อีกเรื่องหนึ่ง
“เราคุยกันเรื่องธุรกิจได้ยังไงเนี่ย ฉันถามคุณกลับบ้างได้ไหม” เขายักไหล่เป็นเชิงอนุญาต
“คุณไม่มีครอบครัวเหรอคะ” เธอถามรวมๆ ไม่อยากจะระบุว่ามันคือแฟนหรือพ่อแม่
“ถ้าหมายถึงพ่อแม่ท่านเสียไปหลายปีแล้ว คุณแม่ผมร่างกายไม่แข็งแรงเป็นหลายโรค พ่อผมป่วยเป็นมะเร็งกล่องเสียง ผมถึงไม่สูบบุหรี่ไง” จะบอกว่าตัวเองรักษาสุขภาพแต่ดื่มเหล้าอย่างนั้นสินะ
“บุหรี่ไม่สูบแต่ดื่มเหล้าน่ะหรือคะ ประเดี๋ยวจะกลายเป็นมะเร็งตับและพิษสุราเรื้อรังแทน”
“อันนี้แช่งผมใช่ไหมเนี่ย เอ๊ะหรือว่าเป็นห่วงกันแน่ หืม”
“บ้า! ฉันจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาห่วงคุณ เพิ่งรู้จักกัน”
“หึๆ ส่วนเรื่องครอบครัวที่หมายถึงคนพิเศษล่ะก็ ไม่มีครับ ผมโสด จะมีก็แต่...”
“เรื่องนี้ฉันไม่ได้ถาม ไม่ต้องบอกค่ะ ฉันเห็นนิสัยของคุณเมื่อคืนกับวันนี้ มันก็เดาได้ไม่ยากหรอก ว่าคนอย่างคุณมีแฟนไม่ได้ คุณเหมาะที่จะใช้ชีวิตอิสระมากกว่า โสดไปจนตายนั่นแหละดีแล้ว”
“ไม่อยากเป็นแฟนผมเหรอ” นิโคไลพูดทีเล่นทีจริง ตามนิสัยคนคนเจ้าชู้ แต่มันกลับทำให้เธออึ้งจนพูดไม่ออก ก่อนจะรวบรวมสติแล้วตอบกลับ
“ฉันไม่ชอบคนเจ้าชู้ ฟันไม่เลือกแบบคุณ”
“คุณเคยมีแฟนหรือเปล่า แล้วแฟนคนไหนของคุณที่ไม่เจ้าชู้บ้าง ผมว่าไม่มีนะ ผู้ชายมันไม่รู้จักพอหรอก ผมก็เหมือน แต่ถ้าเมื่อไหร่เจอคนที่ใช่เมื่อนั้นแหละความเจ้าชู้จะถูกสยบ”
“แหม แล้วคุณเคยหยุดอยู่ที่ใครหรือยัง” เธอหัวเราะเยาะเหมือนจะไม่เชื่อที่เขาพูดเลย
“อยากเป็นคนหยุดผมไหมล่ะ” ให้ตายสิ เมื่อครู่ก็ถามว่าอยากเป็นแฟนเขาหรือเปล่า ตอนนี้ก็ถามว่าหยุดเขาไหม ตกลงเขาจะเอายังไงกับเธอ ต้องการอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า เธอคิดพลางมองหน้า
“ฉันอยากตบคุณอีกสักครั้งมากกว่า หวังว่าฉันจะเป็นคนเดียวที่ได้ตบคุณนะคะที่รัก” คำพูดคำจาของเธอทำให้เขาหุบยิ้มได้ในทันทีเชียว แทนที่จะดีใจกับคำว่า ที่รัก
“ถ้าคุณอยากตบผม ผมคงต้องทำมากกว่าเมื่อคืน” สิ้นคำของเขา เธอก็หุบยิ้มเช่นกัน จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบกระทั่งเวลาของมื้อเช้าผ่านไป นิโคไลสั่งให้เธอเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ห้ามออกมาเป็นอันขาด ส่วนเขาออกมาที่ห้องรับแขก เพื่อเฝ้ารอเวลาให้ลูกน้องคนหนึ่งมาหา ขณะเดียวกันไอลดาได้แต่เดินไปมาในห้อง เฝ้ารอเวลาดินเนอร์ที่ใกล้จะมาถึง นานจนไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วโมง จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น