‘น่าเวทนายิ่งนักที่ไม่รู้ตัวว่าเลี้ยงสิ่งอัปมงคลไว้ในบ้าน…เห้อ! กรรมใครก็กรรมมันนะ’ เทพารักษ์ประจำหมู่บ้านออกตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ดี ๆ มาหยุดยืนมองหน้าบ้านหลังดังกล่าว คิดแล้วก็ถอนหายใจส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะหายตัวไปที่อื่น
ธามไทออกมาจากบ้านด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาว สะพายเป้ด้วยบ่าข้างเดียวเดินทอดน่องไปสถานีรถไฟฟ้า ทุกครั้งที่อยู่ในจุดอับสายตามนุษย์ดวงตาสองข้างก็เปลี่ยนเป็นสีแดงคอยมองสองข้างทางไปเรื่อยจนได้เห็นเหล่าภูตประจำบ้านและดวงวิญญาณที่หิวโหยรอการปลดปล่อยมากมาย
บางตนหันมาเจอยมทูตก็พากันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
บางตนมีน้ำใจหน่อยก็ยื่นของกินที่นำมาวางตามทางแบ่งให้
“ข้าไม่ใช่ผีแบบพวกเจ้าสักหน่อย เชอะ!” ธามไทส่งกระแสจิตด่าสักหน่อยจะเป็นอะไรไป พอเดินไปได้อีกหน่อยก็เจอเข้ากับภาพอันน่าเวทนาเข้า
“โอ๊ย! ปลดปล่อยเราทีพี่ชายรูปหล่อ โอ๊ย! ทรมาณเหลือเกิน” เสียงแหบแห้งของวิญญาณไม่มีขาตนหนึ่งพยายามตะเกียกตะกายเข้าหายมทูตรูปหล่อ
“ได้สิ แกจะได้ไม่ทรมาณอีก แต่ข้าไม่ได้ช่วยให้ไปสวรรค์หรอกนะ จงแตกดับไปเสียไอ้พวกชั้นต่ำ!” กริมริปเปอร์โค้งยิ้มร้าย ไหนก็ลงมือแล้วก็สูบพลังเลยดีกว่า
“ละเว้นการเข่นฆ่าเถิด ให้อาตมาบิณฑบาตดวงวิญญาณนี้เถิดหนาท่านกิม…” เสียงพระโพธิสัตว์แว่วจากที่ไหนสักแห่ง
“ออกมาแล้วยังตามคุมพฤติกรรมอีก ชิชะ!”
คนถูกขัดจังหวะส่งเสียงจิ๊จ๊ะแล้วจ้ำอ้าวไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักเขาชะลอฝีเท้าลงเมื่อผ่านบ้านหลังหนึ่งที่ภายนอกตกแต่งด้วยไม้ดอกสีสดใส มีสนามหญ้าเขียวชอุ่มและไม้ยืนต้นที่ดูร่มรื่น ถ้าจำไม่ผิดเจ้าของบ้านเป็นคนสวย หน้าที่การงานดี แต่มีนิสัยแปลก ๆ บางอย่าง
‘มีกลิ่นอมนุษย์จากบ้านหลังนี้ เหม็นสาปขนาดนี้ไม่ใช่ระดับเทวทูตแน่ ๆ…เป็นแค่ภูตผีแต่พลังแก่กล้านัก หึ! สวดภาวนาเพิ่มพลังให้มันสินะยัยมนุษย์หน้าโง่ ระวังเถอะสักวันจะเจอดี’ ธามไทชำเลืองไปยังชั้นสองของบ้านก็เห็นผ้าม่านขยับไหวเหมือนมีใครพยายามหลบดวงตาสีเพลิงคู่นี้
‘ไม่ใช่ปัญหาของข้าสักหน่อย’ เขาหยุดให้ความสนใจกับสิ่งนั้นแล้วหันมาอ่านข้อความในกลุ่มไลน์แทน
อมนุษย์ที่สิงสู่ในบ้านลอบมองพวกเดียวกันจนลับตา
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย U
เจ้าแม่ต้นไทรผู้จิตใจว้าวุ่นเพราะเอาแต่นึกถึงกริมริปเปอร์จนเผลอใบ้หวยผิดไปหนึ่งงวด แม้บัวตองจะหยุดอาฆาตแค้นเฌอรินทร์แล้ว แต่ยังทำตัวเป็นวิญญาณตามติดโดยหวังจะได้พบหน้าสุดหล่อของหล่อนอีกครั้ง
นี่ก็หลายวันแล้วไม่เจอกันสักที
บัวตองห่มสไบสีฟ้าพาสเทลทำหน้าเซ็ง ๆ ระหว่างลอยอยู่ไม่ห่างจากเฌอรินทร์กับเพื่อนที่กำลังพูดถึงคนเจอดีที่ชั้น 13
“แก๊งพวกไอ้บูมที่เรียนภาคพิเศษน่ะ เมื่อวานตอนค่ำมันเจอนิสิตหญิงคนหนึ่งเข้ามาในลิฟต์แล้วบอกว่าจะไปชั้นสิบสาม พวกมันก็เลยจะขึ้นลิฟต์ไปเป็นเพื่นเพราะตอนนั้นมันมืดแล้ว พอไปถึงชั้นสิบสาม พวกแกเชื่อมั้ยว่า…” คนพูดหยุดกลืนน้ำลายไปหนึ่งที คนรอฟังก็เลิกคิ้วด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“มันมืดมาก มืดแบบไม่มีคลาสเรียนน่ะแล้วนิสิตคนนั้นออกจากลิฟต์ พวกไอ้บูมก็เดินตามไปห่าง ๆ นะเพราะนึกว่าลืมของแล้วจะไปหยิบ แล้วเขาก็เข้าไปในห้องเรียนที่อยู่สุดทางเดิน พอพวกนั้นไปถึง…เปิดไฟก็ไม่เจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
“เขาแอบหรือเปล่า” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น
“จะไปแอบซอกไหนได้วะ มีแต่เก้าอี้นั่งเลคเชอร์บาง ๆ และไม่มีมุมลับตาเลย”
“น่ากลัวจัง นี่ขนาดเล่าตอนกลางวันแสก ๆ นะเนี่ย ฉันยังขนลุกเลยแก” เฌอรินทร์ถูแขนด้วยฝ่ามือ แต่บัวตองได้ยินเช่นนั้นก็ตวัดตามองด้วยความไม่พอใจ
‘หน๊อย! แค่เรื่องเล่ามาทำเป็นกลัวนะยะ’ หลายวันมานี้พยายามหลอกครั้งแล้วครั้งเล่าแต่โดนเมินจนท้อใจ ผีสาวแต่งตัวสวยคอยเก้อมาหลายวันจึงหายตัวไปเที่ยวเล่นแก้เบื่อสักหน่อย
“แค่นี้กลัวเหรอแตม กล้านั่งเล่นที่ศาลต้นไทรกลางดึกแค่นี้แกไม่น่าจะกลัวแล้ว” เพื่อนสาวที่ไปด้วยคืนนั้นออกปากแซวที่รู้เรื่องก็เพราะมีญาติอยู่หมู่บ้านเดียวกับเฌอรินทร์
ความอับอายร้ายกาจยิ่งกว่าผีเสียอีก
“เห้ย! อีกิ๊ฟแม่งขายเพื่อนว่ะ ส่วนอีแตมอ่อนหัดแค่เบียร์ยังเมาได้ ฮ่า ๆ” วงสนทนาระเบิดหัวเราะพร้อมกันแล้วเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องอื่นกันต่อจนเพื่อนคนหนึ่งเกิดสะดุดตากับคนคุ้นเคยที่ดูแปลกตาพลางสะกิดให้เฌอรินทร์หันไปดู
“นั่นเพื่อนรักแกเปล่าวะไอ้แตม”
“ก็เออสิวะแล้วจะถามทำไม” เพื่อนสาวชายตามองคู่กัดแวบเดียวก็รีบหันกลับมา
“อิคคิวไปทำฉีดหน้าหรือศัลยกรรมมาหรือเปล่าวะ มันหล่อขึ้นผิดหูผิดเลยนะ ไม่ยักกะรู้ว่าตัวจะสูงแล้วขาจะยาวขนาดนั้น” เดิมทีฝ่ายนั้นชอบเดินไหล่ห่อหลังงอ สะพายเป้แบบเด็กเนิร์ด ผมเผ้ารุงรังปิดหน้าปิดตาเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง
“วันนี้เสยผมขึ้นเปิดหน้าผากอย่างกะลีมินโฮเลย ไอ้แตมดูสิ”
“หรือที่ผ่านมาแกล้งทำตัวขี้เหร่เพื่อตามหารักแท้วะแก อ้าว! อีแตมแกจะไปไหนวะ…จะไปทักทายเพื่อนรักเหรอนั้น” ความคิดเห็นของเพื่อนในกลุ่มเป็นเอกฉันท์ว่าธามไทดูดีขนาดไหน จู่ ๆ เฌอรินทร์ก็ลุกพรวดพราดเดินผ่านลานกว้างเพื่อไปหานิสิตชายคณะบริหารธุรกิจที่นั่งรวมตัวกันอยู่
นอกจากจะหล่อเหมือนไม่ใช่คนเดิมแล้ว ยังหล่อเหมือนไม่เคยมีตัวตนมาก่อนในภาควิชาบริหารความเสี่ยงทางการเงินและหล่อจนเพื่อนทั้งกลุ่มอุทานว่าเห*ยพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“อะไรของพวกมึง ทำหน้าอย่างกะเห็นผีไปได้” ธามไทถามกลับด้วยหน้าเรียบนิ่ง พวกมนุษย์ตัวเหม็นก็ประหลาดแท้ชอบทักทายด้วยสิ่งอัปมงคล
ถ้ารู้ว่าเป็นยมฑูตมีหวังฉี่ราดทั้งแก๊งแน่
เพราะมันน่ากลัวกว่าผีหลายเท่านัก
“มึงไปอัปเกรดตัวเองตอนไหนมาวะไอ้คิว ตอนพวกกูไปเยี่ยมที่โรงบาล มึงยังซูบ ๆ ซีด ๆ อยู่เลยนะหรือมึงแค่ใส่เสื้อตัวใหญ่วะ”
“คงงั้นมั้ง” ร่างสูงผายมือข้างลำตัวเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตที่พอดีตัวแล้วทรุดนั่งลงตรงหัวโต๊ะ ทันใดนั้นเสียงแหลมที่คุ้นหูก็แหวจากทางด้านหลัง
“ธามไท” ร่างเล็กยืนท้าวสะเอวแล้วเรียกชื่อจริงแบบประชดประชัน
“ลี้วิบูลย์กิจ” เจ้าของชื่อหันควับมาโต้ตอบทันใด “หรือเรียกเต็ม ๆ ต้องนายธามไท ลี้วิบูลย์กิจ เอารหัสนิสิตด้วยมั้ยล่ะเฌอแตม” เขาแกล้งต่อล้อต่อเถียงยาว ๆ จนให้ฝ่ายหญิงมึนแล้วเธอก็มึนไปชั่วครู่ก่อนกระพริบตาถี่เรียกสติ
“เดี๋ยวหัดดื่มกาแฟเพิ่มชอตเหรอ ไม่รู้หรือไงว่าคาเฟอีนมันทำให้หัวใจเต้นเร็ว” เฌอรินทร์ยื่นโทรศัพท์ใส่หน้าเขา
“คิวสั่งอเมริกาโนไม่ใส่ไซรัปคั่วเข้มเพิ่มชอต มันแปลกตรงไหน” ครึ่งชั่วโมงที่แล้วธามไทแวะซื้อกาแฟสดที่คาเฟ่เปิดใหม่หน้า ม. โดยต้องถ่ายรูปบอกชื่อเมนูและเช็คอินเพื่อรับส่วนลด
อย่าว่าแต่เฌอรินทร์แคลงใจเลย เพื่อนทั้งกลุ่มก็ประหลาดใจเพราะปกติเขาจะสั่งนมสดน้ำผึ้งหวานน้อยไม่ก็นมชมพูเพิ่มวิปปิ้งครีม
“อยากหัวใจวายเหรอไอ้คนบ้า ทำไมไม่ดูแลตัวเอง เดี๋ยววูบไปอีกหรอก”
“อย่างงั้นเองเหรอ แต่หมอบอกว่าคิวควรจะงดกินหวานนะเพราะน้ำตาลทำร้ายหัวใจมากกว่าคาเฟอีนอีก” โบราณว่าไว้ทีเอ็งไม่ว่าทีข้าอย่าร้อง พอธามไทเถียงเข้าหน่อยถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว
“ยอกย้อนนะเดี๋ยวนี้” เฌอรินทร์หน้าแดงก่ำและร้อนฉ่าจวนทอดไข่ได้ กำปั้นบางสั่นระริก เท้าสองข้างย่ำพื้นซ้ำ ๆ ด้วยความโกรธสุดฤทธิ์
“คิวอธิบายเหตุผล ไม่ได้ยอกย้อนสักหน่อย”
“อย่าให้รู้ว่าวูบอีกแล้วกัน คนเขาอุตส่าห์มาเตือนดี ๆ อีตาบ้า!” พูดจบร่างบางก็เดินสวบ ๆ จากไป
“เดี๋ยวนะ ปกติมนุษย์เตือนกันดี ๆ แบบนี้เหรอ” กริมริปเปอร์ไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าตักตือนด้วยความหวังดีที่มาพร้อมคำด่าฉอด ๆ
“มันก็แล้วแต่คนน่ะไอ้คิว คนปากร้ายใจดีก็มีเยอะแต่ปากดีใจร้ายมีเยอะกว่า ส่วนเฌอแตมเป็นคนแบบไหน พวกกูไม่รู้เพราะกูไม่รู้จักเธอเหมือนที่มึงรู้จัก” แต่มนุษย์เพื่อนก็ตอบได้เท่านี้
“แต่คิดในแง่ดีคือเขาเป็นห่วงสุขภาพมึงนะไอ้คิว ฮิ้ว ๆ”
“ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรักนะมึง”
“เงียบปากไปเลยไป เดี๋ยวกูสั่งให้ผีที่ชั้นสิบสามหลอกให้เยี่ยวแตกเลย” เรื่องนี้ธามไททำได้จริงจึงไม่ใช่เพียงการขู่
ทว่าสูงขึ้นไปบนระเบียงทางเดินชั้น 13 อาคารคณะเศรษฐศาสตร์มีนิสิตหญิงที่ไม่มีใครรู้จักกำลังมองลงมาข้างล่าง