‘ฉิบหายล่ะแม่งจับกูได้แล้ว’
หนุ่มนิรนามในชุดนิสิตหญิงสะดุ้งเฮือกหลังโดนด่าเป็นสัมภเวสี จึงเลิกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปยังห้องเรียนที่อยู่ตรงสุดทางเดิน
“คิดว่าจะหนีข้าพ้นเหรอ!” แต่นิสิตชายคนนั้นพุ่งตัวด้วยความเร็วปานแสงจนอย่างกะไม่ใช่มนุษย์
ร่างโปร่งบางวิ่งไปตรงมุมห้องที่ ๆ มีแผ่นฝ้าเพดานเปิดคาอยู่ เวลาปกติเขาจะเหยียบขอบหน้าต่าง โหนตัวกับคานใต้เพดาน ดึงตัวเองขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วแล้วปิดแผ่นฝ้าให้เหมือนดังเดิม
เพียงเท่านี้ก็สร้างเรื่องผีผู้หญิงหายตัวในห้องเรียนได้
ทว่าคืนนี้แผนการผิดพลาดไปเสียหมด นอกจากจะหลอกคนไม่สำเร็จยังมาโดนจับได้อีก ทั้งความลนลานกับมือที่ลื่นเหงื่อเลยทำให้พลาดท่าร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างจัง
ระหว่างนอนคุดคู้ร้องโอดโอยอยู่นั้น หนุ่มนิรนามเห็นเงาสูงชะลูดของคนที่ไล่ตามมาอยู่ตรงประตู แม้บรรยากาศคืนเดือนดับจะมืดมิดแต่เจ้านั้นดูมืดทมิฬจนน่าขนลุกยิ่งกว่า
รวมทั้ง…ดวงตาสีโลหิตที่จ้องเขม็งปานจะกินเลือดกินเนื้อคู่นั้น เขาสาบานว่าไม่ได้ตาฝาดแล้วที่แหกปากร้องขอชีวิตก็ไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บ แต่เป็นความกลัวตายที่จับขั้วหัวใจล้วน ๆ
อย่างนี้นี่เองยมทูตถึงไม่ได้กลิ่นสาปภูตผี
ไม่ถึง 15 นาทีภายหลังจากนั้น
ทั้งรถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาจอดออกันที่ใต้อาคารคณะเศรษฐศาสตร์ คนเจ็บซี่โครงหักจากการตกกระแทกก็ได้รับการปฐมพยาบาลและถูกลำเลียงลงจากชั้น 13 โดยเปลสนาม
จากการสอบปากคำเบื้องต้นชายคนดังกล่าวเป็นนิสิตทุนจากคณะอื่นที่ถูกไล่ออกจากหอพักแล้วแอบมาอาศัยอยู่ใต้เพดานอาคารเรียนที่เพิ่งสร้างเสร็จ ตอนเช้าตีเนียนไปอาบน้ำที่ศูนย์กีฬาแล้วไปเรียนตามปกติ บางวันก็แต่งตัวเป็นนิสิตหญิงมานั่งเรียนแก้เบื่อ ต่อมาก็ปล่อยข่าวลือเรื่องผีจนไม่มีใครกล้ามาใช้ห้องเรียนชั้น 13 ช่วงค่ำ
อยู่ฟรีมีบรรยากาศดี ๆ เหมือนคอนโดมิเนียมแบบนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจว่ามีคนในรู้เห็นอย่างแน่นอน
ส่วนเฌอรินทร์ได้ของสำคัญคืนแล้วแต่ยังต้องติดแหง็กอยู่สถานีตำรวจเพื่อให้ปากคำ มันควรจะจบลงแค่วิ่งไปหยิบสมุดบันทึกแล้วเผ่นแนบซะ
“อิคคิวนะอิคคิวจะไปวิ่งตามมันทำไมก็ไม่รู้ สองทุ่มครึ่งแล้ว หิวข้าวชะมัดเลย เห้อ…” ทว่าจนแล้วจนรอดเฌอรินทร์ก็ไม่โทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องอยู่ดี ขณะนั่งสัปหงกอยู่นั้นธามไทก็ออกจากห้องสอบปากคำพอดี
“เสร็จแล้วเหรอ” เธอถามด้วยเสียงห้วนแข็ง แต่มองแขนเสื้อที่มีรอยน้ำตาจาง ๆ ไปแวบหนึ่ง ฝ่ายชายพยักหน้าแทนคำตอบ
“แล้ว…คิวจะกลับยังไงล่ะ”
“รถไฟฟ้าน่ะ”
“งั้น…นั่งรถไปด้วยกันสิ เดี๋ยวให้พ่อแวะส่งที่รถไฟฟ้า” เนื่องจากสถานีตำรวจชั่วคราวแห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยที่ห่างจากถนนใหญ่เกือบ 500 เมตรแล้วยังเดินต่อไปอีกเกือบ 300 เมตรจึงจะถึงสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวคิวเดินไปเองดีกว่า” เทวทูตแห่งความตายตั้งใจจะเดินทอดน่องรับพลังจากซอยนี้ซึ่งเป็นซอยหมายเลข 13 นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ว่ามีสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยสภาพร่อแร่อยู่ใกล้ ๆ อีกแค่ไม่นาทีพวกมันก็จะหมดอายุขัยแล้ว
“ไปด้วยกันเถอะน่าจะฟิตอะไรนักหนา เดินอีกตั้งไกลขาหลุดกันพอดี” เฌอรินทร์แสดงความห่วงใยในแบบของตัวเอง หากธามไทปฏิเสธคงเสียน้ำใจแย่และอาจโดนจิกกัดไปอีกนานจึงตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้
ระหว่างนั้นเขาก็ขอตัวออกไปข้างนอกสักครู่
‘โดนวางยาทั้งคอกเลยงั้นเหรอ’ ร่างสูงหยุดยืนตรงพื้นที่รกร้างตรงข้ามกับสถานีตำรวจและมองสุนัขตัวเมียกับลูก ๆ ของมันนอนชักกระตุกน้ำลายฟูมปากจนแน่นิ่งไปด้วยความเวทนา
‘หึ! มนุษย์มันยังไม่รักกันเองเลยนับประสาอะไรกับพวกเจ้าล่ะ ทีนี้ก็ไม่ทรมาณแล้วนะ’ ดวงจิตออกจากร่างไปแล้วเหลือเพียงไอแห่งความตายที่คล้ายควันบุหรี่ลอยอยู่เหนือซาก
แค่กริมริปเปอร์ยื่นมือออกมาไอควันก็ถูกสูบเข้ามาในร่างจนหมด ถึงจะน้อยนิดแต่ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้พอสมควร จังหวะนั้นเพื่อนสาวก็มาเรียกขึ้นรถพอดี
“งั้นอิคคิวเป็นฮีโร่เลยสิ นอกจากจะใจกล้าแล้วยังต้องหัวไวด้วยนะถึงจับโป๊ะผีปลอมได้” วิชิตชื่นชมให้ลูกสาวฟัง หลังจากส่งธามไทที่สถานีรถไฟฟ้าแล้ว
“เหรอพ่อ ทำไมไม่ชมตอนอิคคิวอยู่ในรถน่ะจะชมลับหลังทำไมกัน”
“แตมจะไปรู้อะไรเด็กผู้ชายน่ะ พอโตขึ้นเขาจะเขินเวลาโดนชมต่อหน้าคนอื่น พ่อเลยแค่อมยิ้มแล้วพยักหน้ารับนิดหน่อยก็พอ”
“เด็กผู้ชายที่ว่าคือพี่ไอติมคนเดียวมากกว่านะพ่อ” เฌอรินทร์รู้นิสัยพี่ชายที่เวลาเขินทีไรจะถูปลายจมูกทุกที
“งั้นพ่อฝากแตมไปชมอิคคิวหน่อย ลองชมต่อหน้าคนเยอะ ๆ ก็ต้องมีเขินกันบ้างแหละ” ผู้เป็นพ่อสะกิดศอกเย้าแหย่บุตรสาว
“มันไม่มีวันเกิดขึ้นหรอกค่ะคุณวิชิต” สองคนพ่อลูกพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันไปตลอดทาง
ข่าวการเปิดโปงผีปลอมที่คณะเศรษฐศาตร์กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในเอ็กซ์ แหล่งข่าวออกมาบอกว่ากล้องวงจรปิดบนชั้น 13 พังหมดทุกตัว ทั้งที่ตอนเย็นยังใช้การได้ปกติจึงไม่เห็นเหตุการณ์ตอนวิ่งไล่กันบนทางเดิน
นอกจากนี้มีมือดีแอบถ่ายรูปรูปธามไทแล้วให้ฉายามือปราบผีแห่ง U บางคนก็มาชี้เป้าเพิ่มว่าเห็นมาว่ายน้ำที่ศูนย์กีฬาอยู่บ่อยครั้ง ระยะหลังหุ่นล่ำกล้ามหนาขึ้นอย่างผิดหูผิดตา รอยแผลผ่าตัดบนหน้าอกตัดกับผิวขาวอมชมพูก็ชวนใจสั่นยิ่งนัก
ธามไทไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้เลยไม่สนใจจะติดตามต่อและเตรียมตัวจะเข้านอน
“พี่ชาย พี่ชาย” เสียงเล็ก ๆ น่าเอ็นดูดังมาจากไหนสักแห่งในห้อง กริมริปเปอร์อยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งเดือนไม่ยักรู้ว่ามีอภูตเด็กอาศัยอยู่ด้วย
“ได้ยินข้าหรือเปล่าพี่ชาย” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเจ้าของห้อง เมื่อไม่ขานรับก็จะเรียกต่อไปเรื่อย ๆ
“พี่ชาย พี่ชาย พี่ชาย พี่ชาย…พี่ชายสุดหล่อ พี่ชายชุดดำได้ยินข้าหรือเปล่า พี่ชายข้ามีอะไรจะบอกน่ะ”
“อะ ได้ยินก็ได้ยิน เจ้าเป็นใคร มีธุระอะไรว่ามา” ธามไทตอบรับแบบหมดความอดทน
ทันใดนั้นก็มีใบหน้ากลมเหมือนลูกท้อ ตากลมโตแฝงความขี้เล่น มัดผมแกละสองข้างผูกด้วยริบบิ้นสีแดงค่อย ๆ ห้อยหัวลงมาจากเพดานห้อง
“สวัสดีพี่ชาย ข้าชื่อนาจานะ พี่ชายคือท่านกิมเทพแห่งความตายใช่มั้ย”
“ใช่! แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน” เทวดาตัวน้อยหัวเราะคิกคัก พุ่งตัวลงมาแหวกว่ายอยู่กลางอากาศเหมือนปลาว่ายน้ำ เขาสวมชุดผ้าไหมสีแดงปักลายดอกบ๊วยและสวมรองเท้าสีเดียวกัน
“ย่าของพี่ชายเพิ่งอัญเชิญข้าเข้าบ้านมา ข้าเป็นศิษย์เอกของพระโพธิสัตว์ ท่านให้ข้ามาฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ชายน่ะ”
“แล้วมาบอกข้าทำไม” แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านลุงท่านป้าบอกว่าพี่ชายถือตัวมาก ๆ เรียกก็ไม่หัน พูดด้วยก็ไม่พูด ขอบคุณใครก็ไม่เป็น นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วพี่ชายก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง” คนโดนนินทาอยากเอาเคียวฟาดพวกปากหอยปากปูสักที นาจายิ้มกรุ้มกริ่มยื่นหน้ากลม ๆ มาใกล้ใบหน้าไร้อารมณ์
“แต่เหลือเชื่อเลยนะ พี่ชายยอมคุยกับข้า นี่เพราะเราถูกชะตากันใช่มั้ยล่ะ”
“ข้าง่วง ข้าจะนอน ถ้ายังมากวนอีกข้าจะตีก้นเจ้าให้ลายเลย” ธามไทแยกเขี้ยวใส่แล้วล้มตัวลงนอนทันที นาจาส่ายหน้ากลม ๆ อย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะบินทะลุเพดานขึ้นไปนั่งบนหลังคาแล้วมองไปนอกรั้ว
“พี่ชายเสน่ห์แรงจริง ๆ” สิ่งที่เทวดาน้อยพยายามจะบอกก็คือมีอมนุษย์เนื้อตัวมอมแมมมายืนอยู่หน้าบ้าน คล้ายว่าตามติดมาจากที่ไหนสักแห่งแต่เข้ามาด้วยไม่ได้