และแล้วก็ถึงวันสอบคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์ในสำนักจิวฝู ซึ่งการสอบในครั้งนี้จะเปิดให้สอบสามปีต่อหนึ่งครั้งเพียงเท่านั้น ทำให้จำนวนผู้ที่เข้ามาสอบคัดเลือกมีมากมายอย่างล้นหลาม จนทำให้ต้องมีการ จัดรอบการสอบออกเป็นห้าวันด้วยกัน ซึ่งในแต่ละรอบจะแบ่งออกเป็นการเขียนความรู้และการสอบปฏิบัติ ตามความสามารถของแต่ละผู้เข้าสอบ แบ่งแยกกันออกไป
สำหรับไป๋เยว่ชิงนั้น มีรายชื่อในการเข้าสอบวันที่สามของการสอบ ทำให้วันนี้เธอเพียงมาดูลาดราวในการเข้าสอบเท่านั้น
"ที่พี่พาชิงเอ๋อร์มาในวันนี้ ก็เพื่อที่จะให้เจ้าได้มีการเตรียมตัวก่อนถึงวันสอบจริง เจ้าจะได้รู้ว่า ในความเป็นจริงแล้ว การสอบเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักจิวฝูนั้น มิใช่เรื่องง่ายอย่างที่เจ้าคิด"
ไป๋เยว่ชิงได้แต่กรอกตามองบนกับคำดูถูก ความสามารถของตน เธอจึงทำเป็นนิ่งเฉยไม่ได้สนใจกับคำสบประมาทเหล่านั้นของไป๋เลี่ยงซู
ในขณะที่พวกเขากำลังดูบรรยากาศในการสอบแข่งขันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มคมจำนวนหนึ่งบุกเข้ามายังข้างในสำนักจิวฝูด้วยความรีบร้อน
"ช่วยด้วย! ช่วยบุตรของข้าด้วยเจ้าค่ะนายท่านทั้งหลาย บุตรของข้าโดนหมีทำร้ายอยู่ที่ชายป่าด้านนอก ตอนนี้เสียเลือดมาก ข้าพาไปยังโรงหมอที่ต่างๆ แล้ว แต่ไม่มีผู้ใดทำการรักษาให้กับบุตรของข้าเลย นายท่านทั้งหลายได้โปรดเห็นใจบุตรชายของข้าด้วย ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ถ้าหากว่าเขาเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรแล้วเจ้าค่ะ"
สภาพของทั้งสองคนนั้นดูไม่ต่างจากขอทานเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผู้ที่พบเห็นมิกล้าจะเฉียดเข้าไปใกล้ เนื่องด้วยรังเกียจ กับสภาพของคนทั้งสอง เพราะผู้ที่เข้าร่วมในการสอบในสำนักจิวฝูในครั้งนี้นั้น ถือได้ว่าเป็นบุตรหลานของผู้ที่มีอันจะกินและขุนนางในราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ จึงมิมีผู้ใดมีน้ำใจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือสองแม่ลูกนั้น พวกเขาทำเพียงมองดูสองแม่ลูกตรงหน้าที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือด้วยสายตาดูถูกเพียงเท่านั้น โดยไม่แม้แต่จะคิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด
และในขณะเดียวกันนั้น ก็มีขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งที่ประจำอยู่ที่เมืองหนานเปียน ได้ให้บ่าวรับใช้ของตน หามบุตรชายของเขาเข้ามายังด้านในของสำนักจิวฝูเช่นกัน
"ข้าคือเจ้าเมืองที่ประจำอยู่ที่เมืองหนานเปียนแห่งนี้ ข้าต้องการที่จะพาบุตรชายมาให้ท่านหมอฝูช่วยตรวจดูอาการของบุตรชายเพียงคนเดียวของข้า อยู่ดีๆ เขาก็ล้มป่วยลง ข้าได้พาไปรักษาตามโรงหมอมาแล้วหลายที่ แต่พวกเขาก็จนด้วยปัญญา มิสามารถที่จะรักษาบุตรชายของข้าได้ ข้าเคยได้ยินถึงชื่อเสียงของท่านหมอฝู ว่าเป็นหมอเทวดา ไม่ว่าจะด้วยโรคอันใดท่านหมอก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ ข้าจึงใคร่ขอให้ท่านหมอมาช่วยตรวจดูอาการให้บุตรชายของข้าที"
เมื่อได้ทราบว่าผู้ที่มาใหม่นั้นเป็นผู้ใด ทุกคนก็ต่างกุลีกุจอเข้าไปตรวจดูอาการของบุตรชายของท่านเจ้าเมืองในทันที โดยที่ไม่ต้องให้ผู้มาใหม่ได้กล่าวซ้ำ หรือขอร้องอ้อนวอนอย่างเช่นสองแม่ลูกที่มาขอความช่วยเหลือก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อย
"ต้องขออภัยท่านเจ้าเมืองด้วยที่ต้องกล่าวตามตรงว่าท่านหมอเทวดาฝู มีนิสัยที่แปลกประหลาด ท่านจะตรวจรักษาอาการให้กับคนที่ท่านพอใจเท่านั้น ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะมีฐานะสูงศักดิ์เพียงใด หากท่านอาจารย์ฝูมิได้ต้องการที่จะตรวจแล้วไซร้ ก็ไม่มีใครสามารถบีบบังคับท่านให้ตรวจได้"
"อ่า แล้วข้าต้องทำเช่นไรถึงจะทำให้ท่านอาจารย์ฝูยอมตรวจดูอาการของบุตรชายของข้าผู้นี้ได้"
"ข้าจะให้คนไปแจ้งกับท่านหมอเทวดาฝูดูก่อน หากว่าได้ความเช่นไร ก็จะได้มาแจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบอีกทีในภายหลัง"
หนึ่งในอาจารย์ของสำนักจิวฝู ได้กล่าวกับท่านเจ้าเมืองอย่างนอบน้อม
หลังจากผ่านไปได้ไม่นานคนที่ได้ให้ไปแจ้งแก่ท่านหมอเทวดาฝู ก็กลับมาด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง
"เป็นเช่นไรท่านหมอเทวดาฝูท่านว่าอย่างไรบ้าง"
ด้วยความร้อนใจ ท่านเจ้าเมืองที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของผู้ที่ให้ไปแจ้งข่าวกลับมาก็อดที่จะถามออกไปอย่างร้อนใจไม่ได้
"ท่านหมอเทวดากล่าวว่า เอ่อ...ไม่มีอารมณ์ท่านอยากพักผ่อนขอรับ"
"อะไรนะเจ้าไม่ได้บอกท่านหมอไปหรือ ว่าผู้ที่ต้องการจะให้ทำการรักษานั้นคือผู้ใด"
"บอกขอรับ แต่ท่านหมอเทวดากล่าวว่า ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้มาเอง ถ้าหากว่าท่านไม่ต้องการ ก็ไม่มีใครสามารถมาบังคับท่านได้"
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน มีหมอที่มีนิสัยแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ ข้ามิเห็นจะเคยพบเจอมาก่อน อวดดีเสียจริงๆ "
เมื่อเห็นว่าท่านเจ้าเมืองเริ่มไม่สบอารมณ์ เหล่าอาจารย์ในสำนักจิวฝูบางคน จึงต้องออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ตรงหน้าด้วยตนเอง
"ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ถึงอย่างไรสำนักจิวฝู ก็มีหมอมากฝีมืออยู่มากมาย เรื่องอาการป่วยของบุตรชายท่านนั้น ข้าจะให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มาตรวจดูอาการของบุตรชายของท่านเจ้าเมืองเองดีหรือไม่"
"ถ้างั้นข้าก็ต้องขอรบกวนท่านอาจารย์แล้ว"
โดยในตอนนี้ทุกคนต่างหันไปให้ความสนใจกับบุตรชายของท่านเจ้าเมือง โดยไม่มีผู้ใดหันมาสนใจกับสองแม่ลูกก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า ได้สร้างความขัดใจให้กับศัลแพทย์หญิงอย่างไป๋เยว่ชิงเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยว่าหลักการในการช่วยชีวิตคนของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับฐานะหรือเงินในกระเป๋าของผู้เจ็บไข้แต่อย่างใด แต่มันขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนและอาการของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นมากกว่า แทนที่พวกเขาจะหันมาให้ความสนใจกับสองแม่ลูก ที่ตอนนี้บุตรชายของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส กลับหันไปให้ความสนใจกับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังมานานเช่นบุตรชายของท่านเจ้าเมืองแทน ไยโลกนี้ถึงได้ไม่มีความยุติธรรมใดๆ เลยเล่า