2 เสียใจรู้บ้างมั้ย

1954 คำ
2 เสียใจรู้บ้างมั้ย เรากลับกรุงเทพฯ หลังจากวันหยุดยาวจบลง และกลับมาตั้งหน้าตั้งตากับโปรเจกต์ไฟนอลก่อนจบเทอมหนึ่งของปีสุดท้าย และมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี ส่วนเทอมสองเราก็ต้องทุ่มเทกับการฝึกงาน เพื่อนๆ ทั้งสามของฉันหาบริษัทฝึกงานได้แล้ว ซึ่งก็คือบริษัทวินวันแอดเวอร์ไทซิ่งของครอบครัวพี่เลโอนั่นเอง และพี่เขาก็นั่งตำแหน่งกรรมการบริหารควบตำแหน่งผู้บริหารงานโฆษณา (Account Management) ส่วนฉันยื่นใบสมัครขอฝึกงานบริษัทเดียวกับเพื่อนๆ แต่ฉันไม่ผ่านอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่ผลการเรียนของฉันตั้งแต่ปีหนึ่งยันปัจจุบันคือปีสี่เทอมหนึ่ง ฉันมีเกรดเฉลี่ยดีกว่าทุกคน มันไม่มีเหตุผลอื่นเลย นอกจากเพราะฉันไม่สวย รูปร่างไม่ดี เหมือนเพื่อนๆ ไม่เหมาะที่จะไปฝึกงานกับบริษัทโฆษณาระดับต้นๆ ของเมืองไทย เสียใจไม่พอยัยเนเน่ยังมาซ้ำเติมอีก หรือไม่...ก็เพราะพี่เลโอ ไม่อยากเห็นหน้าฉัน เพราะตั้งแต่กลับจากหัวหิน ซึ่งก็นานนับเดือนแล้ว ฉันก็ไม่เคยเจอพี่เขาอีกเลย ไม่แม้แต่จะส่งข้อความมาหา หรือไม่เคยจะโผล่หน้ามาหาลีน่าที่มหาวิทยาลัยเหมือนที่เคยทำ ฉันรู้อยู่หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่หัวหิน มันคืออะไร และฉันก็ไม่เคยคาดหวังว่าพี่เขาจะมาเป็นแฟน เพราะแค่เรานอนด้วยกันคืนเดียว แถมเกิดขึ้นเพราะเขาทนพิษยาปลุกเซ็กซ์ไม่ไหว และไม่อยากมีอะไรกับเนเน่เพราะกลัวถูกจับแต่งงาน แต่แค่เขาทำตัวปกติ...เช่นโผล่หน้ามารับลีน่าไปกินข้าวบ้าง เพื่อให้ฉันได้เห็นหน้าของเขาเหมือนที่เคยเป็น ทว่า...พี่เลโอเงียบหายไปไม่ต่างจากสายลม เขาคงเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนั้น หรือบางทีอาจรู้สึกสะอิดสะเอียนกับการได้นอนกับผู้หญิงอ้วนๆ ไม่สวยเซ็กซี่อย่างฉัน ฮือๆ ใจร้ายที่สุดในโลก ก่อนหน้านั้น...ฉันคิดมาตลอดว่าการได้มีอะไรกับพี่เลโอคืนนั้นเป็นความโชคดี เพราะมันจะเป็นความทรงจำที่หล่อเลี้ยงหัวใจของคนแอบรักมานานอย่างฉันได้ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่ามันโชคร้ายที่สุด ไม่ใช่เพราะเสียดายความบริสุทธิ์ที่มอบให้เขา แต่เพราะความทรงจำนั้นมันเหมือนยาพิษ ที่พอคิดถึงแล้วมันก็ทั้งหวานและเศร้าจนน้ำตาซึม มันจะไม่เป็นแบบนี้หากว่า...ค่ำคืนนั้นจะไม่เกิดขึ้น ไม่มีความทรงจำที่ทั้งหวานและเร่าร้อนให้นึกถึงบ่อยๆ โดยเฉพาะในยามที่เขาหายหน้าหายตาไปแบบนี้ ฮือๆ ฉันจะทำยังไงดีกับความรู้สึกที่แสนเศร้าของตัวเองในตอนนี้ เพราะสิ่งแรกที่ฉันควรทำไม่ใช่มานั่งร้องไห้ แต่ฉันควรหาบริษัทโฆษณาเพื่อฝึกงานให้ได้เสียก่อน เมี้ยวว เจ้ากระปุกร้องครางอยู่ข้างๆ ก่อนมันจะเอาตัวมาซุกที่ลำตัวของฉัน ที่นั่งหมดอาลัยตายอยู่ปลายเตียง ฉันเช็ดน้ำตาและอุ้มมันขึ้นมานั่งบนตักแล้วลูบแผงคอมันเบาๆ “แกหิวอีกแล้วเหรอ” เมี้ยว เสียงร้องตอบแบบนี้ ฉันก็รู้ว่ามันหิวอีกแล้ว กินจุไม่ต่างจากฉันเลย และรูปร่างก็อวบระยะสุดท้ายเหมือนกัน ฉันลุกไปหยิบถุงอาหารเม็ดรสแซลมอนที่เจ้ากระปุกโปรดปราน เทใส่บนชามพาสติกของมัน และรินน้ำดื่มบนถ้วยข้างๆ ชามอาหาร กระปุกวิ่งไปยังชามอาหาร และก้มหน้ากับอาหารของมันอย่างเอร็ดอร่อย มันเป็นแมวไทย พันธุ์อะไรไม่รู้ มีสามสี ลวดลายบนตัวสีน้ำตาลปนดำแซมด้วยขาว เป็นแมวหน้าตาดีสุดๆ หน้ากลม ตาสีเหลืองมีจุดดำ มันกินจุ เคลื่อนไหวเชื่องช้า และเป็นแมวไม่ชอบคลอเคลีย แถมไม่ชอบให้คนแปลกหน้าจับตัว แต่มันเป็นแมวที่พูดรู้เรื่อง เช่นเวลาฉันเรียก มันจะเดินมาหา บอกให้นั่ง และตบมือลงบนเบาะ มันก็ทำตาม เป็นแมวหลงมาจากไหนไม่รู้ เจอมันอยู่ระเบียงหน้าห้องพัก ที่ฉันเช่าอยู่ เป็นตึกสีขาวสองชั้นเล็กๆ ที่มีระเบียงยาวด้านหน้าห้องไปสุดห้องพัก บนชั้นสองมีห้องพักทั้งหมดสามห้องเท่านั้น ฉันอยู่ห้องกลาง ส่วนห้องหนึ่งและห้องสามนั้นไม่มีคนพักอยู่ ส่วนชั้นล่างมีแม่ค้าขายน้ำมะพร้าวกับพ่อค้าขายผลไม้รถเข็นเช่าอยู่พร้อมกับครอบครัวของพวกเขา เจ้าของห้องพักคือป้านี แกที่มีบ้านอยู่ในรั้วเดียวกัน เวลาฉันไม่อยู่ มันก็ขลุกอยู่กับป้านี และตอนไปหัวหินฉันก็ฝากอาหารของเจ้ากระปุกไว้กับป้านี หอพักอยู่ในซอยเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย และเป็นห้องพัก ราคาไม่แพงเกินความสามารถที่ฉันจะจ่ายได้ คือสองพัน รวมค่าน้ำและไฟก็เพียงสองพันห้าร้อย ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน รวมทั้งพัดลมติดเพดาน และที่นี่ก็เงียบสงบดี เพราะที่พักอยู่ห่างจากบ้านคนค่อนข้างเยอะ ถ้าจะมีข้อเสียอยู่บ้างก็คือ ซอยลึกไปหน่อย แต่ก็มีวินมอเตอร์ไซค์ให้บริการจนถึงดึกดื่น หลังจากเจอเจ้าเหมียวบนระเบียง คิดว่ามันคงเป็นแมวจร เพราะไม่มีป้ายที่คอ ฉันจึงซื้ออาหารเม็ดให้มันกิน จากนั้นมันก็ไม่ไปไหน ฉันเห็นรูปร่างอวบๆ ของมันแล้วก็ตั้งชื่อให้ว่า ‘เจ้ากระปุก’ และไม่แปลกที่มันอวบอ้วนไม่ต่างจากฉัน เพราะมันกินเก่งมาก และอ้วนขึ้นจากวันแรกที่เจอกัน ไม่แปลกที่มันจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า ฉันมองเจ้ากระปุกกินจนหมดชาม จากนั้นมันก็เดินมาหาฉัน แล้วร้องเมี้ยวๆ อีกครั้ง “แกจะอ้วนเกินหน้าเกินตาฉันไม่ได้นะกระปุก” ฉันบ่นไปงั้นแหละ สุดท้ายก็เดินไปเติมอาหารให้มันอยู่ดี และฉันก็นั่งมองมันกินด้วยรอยยิ้ม... ถ้าไม่มีเจ้ากระปุก...ฉันคงเอาแต่คิดถึงผู้ชายใจร้ายคนนั้นทั้งวัน จนไม่มีแรงจะทำอะไร ที่ร้ายที่สุด ฉันกินอะไรก็ไม่อร่อยสักอย่าง จึงกินแต่พอไม่ให้ท้องว่างเท่านั้น วันรุ่งขึ้นฉันจึงยื่นเรื่องของฝึกงานเอเยนซี่อื่น ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่พอๆ กับวินวันแอดเวอร์ไทซิ่ง จากนั้นไม่กี่วันต่อมาฉันก็ได้รับการตอบรับจากเพิร์ลแอดเวอร์ไทซิง ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งของวินวันแอดเวอร์ไทซิ่ง แต่จะว่าไปทุกบริษัทที่ทำงานด้านเดียวกันก็ล้วนเป็นคู่แข่ง แต่บริษัทเพิร์ล แอดเวอร์ไทซิ่งดูเหมือนจะดีกรีที่สูสีกับวินวันแอดเวอร์ไทซิงมากที่สุด เพราะสินค้าบางตัว ทั้งสองบริษัทก็สลับกันเป็นคนทำโฆษณา มันเป็นช่วงปิดเทอมสั้นๆ สิบกว่าวันเท่านั้น เพื่อนๆ ของฉันต่างไปเที่ยวต่างประเทศกันตามประสาลูกคนรวย ลีน่าเองก็ชวนฉันเช่นกัน บอกว่าจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ แต่ฉันก็รับน้ำใจของอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาลีน่ากับเพื่อนๆ ก็ผลัดกันเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำฉันเป็นประจำอยู่แล้ว ฉันจึงกลับบ้านต่างจังหวัด คือจังหวัดกาญจนบุรี โดยเอาเจ้ากระปุกขึ้นรถไฟไปด้วย ใส่ตะกร้าโปร่ง นั่งรถไฟไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงบ้านเกิด ซึ่งมีเพียงป้านวลกับลุงเจิด พ่อแม่ของฉันเสียชีวิตไปตั้งแต่ฉันยังเล็กๆ ป้ากับลุงก็ไม่มีลูก ทั้งสองก็เลยรับเลี้ยงดูฉันไม่ต่างจากลูกคนหนึ่ง ชีวิตเด็กกำพร้าก็มีความสุขตามประสา เพียงแต่ว่าต้องดิ้นรนทำมาหากิน เพราะลุงกับป้าก็เป็นเพียงชาวไร่ธรรมดาๆ ปลูกข้าวโพดส่งโรงงานในพื้นที่ “เอ็งเอาแมวใครมาด้วยว่ะ” ป้านวลถาม และลุงเจิดก็มองอย่างสงสัย “มันหลงมาที่หอที่แก้มพักอยู่ แก้มสงสารมันเลยเลี้ยงมันไว้” “เฮ้อ ตัวเองจะเอาตัวไม่รอด ยังจะมาเลี้ยงแมวอีกเหรอ” “มันไม่ได้เลี้ยงยากหรอกป้า มันกินง่ายๆ อาหารเม็ดเอง” ซึ่งราคาก็ไม่ได้แพงเกินกำลังที่ฉันจะเจียดค่าขนมของตัวเองไปซื้อให้มัน “เออ แล้วแต่เอ็ง ยังไงข้าก็ให้ค่าขนมแกได้เท่าที่เคยให้นั่นแหละ” “ค่ะ แก้มดูแลมันเอง ไม่รบกวนป้าหรอก” จริงๆ แล้วฉันทำงานพาร์ทไทม์ในช่วงปีหนึ่งถึงปีสามในร้านกาแฟและซุปเปอร์มาร์เก็ต ตำแหน่งแคชเชียร์ แต่ปีสุดท้ายเรียนหนัก และฉันอยากทุ่มเทกับโปรเจกต์ จึงเลิกทำงานพาร์ทไทม์ “เอ่อๆ งั้นเอ็งก็พามันขึ้นบ้านได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะทำกับข้าวให้กิน” “เดี๋ยวแก้มลงมาช่วยนะ” “ไม่ต้องๆ เอ็งเพิ่งมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และดูแลแมวของเอ็งเถอะ อย่าปล่อยมันไปเดินเพ่นพ่าน เดี๋ยวหมาแถวนี้มันกัดเอา” “ค่ะ” ฉันขึ้นไปบนบ้านไม้สองชั้นที่เก่ามากแล้ว เพราะอยู่มาตั้งแต่สมัยคุณตาคุณยาย ห้องเล็กๆ ของฉันก็ยังสะอาดเรียบร้อย เพราะป้าดูแลให้อย่างดี ฉันอาบน้ำแต่งตัว และป้อนอาหารให้เจ้ากระปุก และขังมันไว้ในห้องนอน ก่อนจะลงมาช่วยป้าทำอาหารค่ำ ซึ่งวันนี้เป็นอาหารที่ฉันชอบทั้งนั้น เช่นน้ำพริกหวานปลาดุกย่าง กับแกงส้มดอกแค “แล้วจะอยู่บ้านกี่วัน” “อาทิตย์หนึ่งค่ะ เพราะแก้มต้องไปฝึกงานแล้ว” “ตั้งใจล่ะ เผื่อเขารับเอ็งเข้าทำงานเลย” “ค่ะ แก้มจะตั้งใจ ป้ากับลุงไม่ต้องเป็นห่วงนะ เรียนจบแล้วแก้มจะรีบหางานให้ได้เร็วๆ มีเงินแล้ว แก้มจะซ่อมบ้านให้” “อย่าเพิ่งคิดเรื่องซ่อมบ้าน คิดเรื่องหาเงินใช้หนี้ ก.ย.ส. ก่อนมั้ย” ฉันยิ้มกับคำพูดของป้า เพราะมันเป็นความจริง หลังเรียนจบ นอกจากหาเงินเลี้ยงปากท้องตัวเองแล้ว ฉันต้องใช้หนี้เงินที่กู้ยืมมาเป็นค่าเทอมด้วย หลังจากกินข้าวอิ่ม ล้างถ้วยชามและอุปกรณ์ทำครัวเรียบร้อยแล้ว ฉันก็นั่งดูทีวีกับป้า ส่วนลุงนั้นไปบ้านลุงชัย ซึ่งเป็นญาติๆ กันและอยู่ข้างบ้านนี่เอง ซึ่งมักนั่งคุยสังสรรค์กันตามประสาคนสูงวัยในหมู่บ้านทุกคืน และกลับมานอนในตอนสี่ทุ่มกว่า หลังป้ากับลุงเข้านอนแล้ว ฉันยังนอนไถโทรศัพท์ส่องเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของเพื่อนๆ ที่กำลังเที่ยวกันอย่างเพลิดเพลินที่ญี่ปุ่น ทั้งสามแต่งตัวและแต่งหน้า โพสท่าดูดีกลมกลืน โดยเฉพาะเนเน่มีแอบโชว์เซ็กซี่ตามประสาสาวเปรี้ยว ฉันได้แต่ส่อง ไม่ได้กดไลค์หรือคอมเมนต์ใดๆ เพราะตอนนี้อยากอยู่เงียบๆ กับความเศร้าในใจ ทั้งเรื่องพี่เลโอ และเรื่องที่ไม่ได้ฝึกงานในบริษัทของเขา ความฝันที่อยากทำงานในบริษัทวินวันแอดเวอร์ไทซิ่งคงต้องโยนทิ้งไป สัปดาห์หนึ่งเต็มๆ สำหรับการกลับมาบ้านเกิด นอกจากช่วยงานในไร่ข้าวโพดกับลุงและป้าแล้ว ก็ปั่นจักรยานพาเจ้ากระปุกไปเที่ยวเรื่อยเปื่อย ทักทายเพื่อนเก่าๆ และญาติๆ ทั่วหมูบ้าน จากนั้นก็พาเจ้ากระปุกกลับกรุงเทพฯ ตามเดิม ไปเผชิญกับชีวิตในเมืองใหญ่ กับภารกิจฝึกงาน ภาวนาให้เจอแต่พี่ๆ ที่น่ารัก สอนงานให้ด้วยความใจเย็น และใจดี สาธุ สาธุ สาธุ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม