บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๖
ตำราที่อาจารย์ให้ข้าท่องล้วนเป็นตำราทั่วๆ ไป ตำราสามอักษร หลุนอวี่ อรรถาธิบาย คัมภีร์วารี[1] ของลี่เต้าหยวน[2] หรือ คัมภีร์ซ่างซู[3] ในสมัยราชวงศ์เซี่ย แม้ว่ามันจะชวนง่วงงุนไปบ้างทว่าก็ยังดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ
การประลองปัญจธาตุของเจ้าสำนักไม่ใช่การประลองปลายแถว ข้าสังเกตเห็นว่าห้าหกวันมานี้ไม่ค่อยพบเจอศิษย์พี่หน่วยต่างๆ สักเท่าใด กระทั่งตอนที่ข้าขนไม้ไปไว้ในโรงครัวก็ไม่พบเจอเฉินเจิ้งหยา ได้ข่าวแว่วมาว่ากว่าอาจารย์หน่วยพฤกษาจะยอมรักษาฟันให้ เขาต้องคุกเข่าหน้าหน่วยพฤกษาไปสามวัน เรื่องนี้ทำให้ข้าเบิกบานใจยิ่งนัก
ลมวสันต์พัดโชยชวนให้จิตใจของข้าสงบ แม้ว่าสองสามวันก่อนข้าจะแอบร้องไห้คิดถึงครอบครัวทั้งคืน เสียงร้องข้าดังลั่นเรือนจนนกในป่าบินหนี ทว่าอาจารย์กลับไม่ปริปากบ่นแม้ครึ่งคำ ขอเพียงให้ข้ายังมีแรงตื่นขึ้นมาทำตามคำสั่งของเขา เขาก็ไม่จู้จี้จุกจิก บางครั้งถึงกับเปรยออกมา
“ลูกผู้ชาย ร้องไห้ได้แต่อย่ายอมแพ้”
ตอนนั้นข้าต้องแอบวิ่งไปร้องไห้ในห้องสุขา แม้ว่าจะเหม็นมากก็เถอะ แต่ก็อดร้อนที่หัวตาไม่ได้ แม้อาจารย์จะบอกว่าข้าเป็นเคราะห์กรรมของเขา ทว่าข้ากลับคิดว่าการได้พบอาจารย์นับเป็นวาสนาในคราวเคราะห์ อย่างน้อยตอนข้าไม่มีใครก็ยังมีเขาคอยปลอบคอยขู่เข็ญ
กลิ่นอาหารที่ลอยมาจากห้องครัวทำให้ท้องของข้าครวญครางราวกับอดอยากมานานปี อาทิตย์อัสดงสีแดงฉานพาดผ่านหลังคาเรือนหลังเล็กของข้ากับอาจารย์เกิดเป็นแสงเงาลึกลับ ชวนให้หดหู่ใจและพลอยทำให้ข้าคิดถึงบ้าน ทว่ากลิ่นของเนื้อไก่กับอะไรบางอย่างก็ทำให้ข้าลืมเลือนเรื่องที่จะไปล้างตัวเสียสิ้น จึงแบกกระบี่ไม้พาดบ่าแล้วเดินไปยังห้องครัวทันที
ข้ารีบก้าวเดินฉับ ได้ยินเสียงตะหลิวของอาจารย์กระทบกับกระทะก่อเกิดเป็นเสียงคล้ายกระบี่ปะทะกันดังติ๊งตั๊ง แผ่นหลังของอาจารย์ขยับไหวไปมา ท่าทางคล่องแคล่วนั้นดูราวกับยอดฝีมือกระบี่กำลังร่ายเพลงยุทธ์
บนโต๊ะมีอาหารสองอย่างวางอยู่แล้ว ชามหนึ่งเป็นไข่สีเหลืองทองส่งกลิ่นหอมยวนใจใช้ได้ กลิ่นของขิงโชยมาปะทะจมูกเป็นอันดับแรกพร้อมกับกลิ่นหอมยวนใจของไข่ไก่ที่ไม่มีความคาวแม้เพียงนิด ข้าลองใช้ตะเกียบไม้จิ้มดูก็พบว่าไข่ตุ๋นน้ำขิงชามนี้เด้งได้ มันกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ ไข่ตุ๋นน้ำขิงช่วยแก้อาการร้อนใน เหงื่อออกมาก ลดอาการแน่นท้องและช่วยบำรุงหัวใจได้ดีนัก คนโบราณชอบใช้อาหารต่างยา นับว่าเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้อาจารย์ข้าจะไม่ค่อยแสดงฝีมือทางการแพทย์ ทว่าเรื่องการปรุงอาหารเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือโดยแท้
อีกชามเป็นอาหารที่ข้าไม่คุ้น เนื้อชิ้นเล็กๆ คล้ายเนื้อไก่ กลิ่นหอมใช้ได้ ในนั้นใส่เห็ดหอมไว้ด้วย ข้ากำลังจะอ้าปากถาม อาจารย์ก็หันมาพอดี
“นั่นกบนึ่งเห็ดหอม ไปล้างมือก่อน อย่าใช้มือหยิบซี้ซั้ว! ซกมกฉิบเจ้าเด็กนี่”
ข้าชะงักไปเล็กน้อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินกบ คิดถึงผิวหนังลื่นๆ ของมันแล้วก็ขนลุกซู่ รีบโยนกระบี่ไม้ไปไว้มุมห้องครัวแล้วล้างมือที่แสนจะสกปรกของข้าให้สะอาด เริ่มไม่อยากอาหารขึ้นมาเมื่อคิดถึงกบ พอข้ามานั่งที่เก้าอี้ อาจารย์ก็หรี่ตามองข้าอย่างมาดร้าย
“กบนึ่งเห็ดหอมช่วยบำรุงเลือดลม เจ้าใช้แรงมากก็ต้องบำรุงให้มาก อย่าทำหน้าตาพะอืดพะอมเช่นนี้ น้ำขิงช่วยดับคาวได้ดีไม่ต้องกังวล คิดเสียว่ากินเนื้อไก่ก็ใช้ได้”
“แต่อาจารย์...มันก็เป็นเนื้อกบอยู่ดี” ข้าบ่นอุบอิบ
โป๊ก! อาจารย์คว้าพัดมาฟาดหน้าผากข้าอย่างรวดเร็ว
‘ฮือๆๆ เจ็บ!’
“เจ้าโง่ ของดีเช่นนี้อาจารย์อุตส่าห์ไปแย่งชาวบ้านจับกบมาบำรุงเจ้า หากเจ้าไม่กินข้าจะถือว่าเจ้าอกตัญญู!”
แล้วเช่นนี้ข้าจะกล้าไม่กินหรือ ข้าชะเง้อมองกบนึ่งในชาม เมื่อใช้ตะเกียบเขี่ยชิ้นเนื้อขึ้นมาก็มีไอร้อนพวยพุ่ง กลิ่นหอมปะทะจมูกเสียจนท้องร้องโครกครากเสียงดัง
อาจารย์หัวเราะแล้วผลักอาหารอีกอย่างมาตรงหน้าข้า เป็นเนื้อผัดจานหนึ่ง กลิ่นที่หอมและหน้าตาของมันยั่วยวนจนข้ามือสั่น เนื้อวัวผัดหน่อไม้กับขึ้นฉ่ายช่วยบำรุงเลือดลม กล้ามเนื้อและกระดูก ข้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ในแถบนี้ใช่ว่าคิดจะกินเนื้อวัวก็ได้กิน เพราะชาวบ้านยังต้องใช้วัวทำนา แสดงว่าอาจารย์ต้องลอบสังหารวัวผู้อื่นแล้วแย่งชิงมาโดยแน่แท้
อาจารย์ถลึงตาอย่างรู้ทัน “เจ้านี่! อาจารย์ไม่ใช่ขโมย วันนี้ชาวบ้านล้มวัวเลี้ยงฉลองเพื่อเตรียมทำนา ข้าเลยไปขอซื้อมา”
ข้าสำนึกผิดแทบไม่ทัน สายตาข้าบ่งบอกถึงเพียงนั้นเชียวรึ จะอย่างไรก็ตามข้าคงไม่ขอโทษเขาหรอก แค่ขอโทษในใจก็พอกระมัง ข้อดีของการเป็นศิษย์ของอาจารย์เซียวเหยาคงหนีไม่พ้นอาหารรสเลิศบำรุงร่างกายแบบนี้กระมัง เราสองคนกินอาหารกันเงียบๆ จนกระทั่งอาจารย์วางตะเกียบลงก็ถามข้าขึ้นมา
“จุดเลี่ยเซวีย ไท่ยวน หวีจี้ ซ่าวซาง[4] ของเจ้ายังทะลวงไม่สุดใช่หรือไม่”
ข้าชะงัก มองหน้าอาจารย์ด้วยความฉงน “ท่านรู้ได้อย่างไร”
อาจารย์พูดต่อ ยังไม่ตอบคำถามข้า “เพียนลี่ เหอกู่ ซางหยาง[5] ก็ยังไม่ได้ทะลวง ยังไม่รวมจุดอื่นที่เกี่ยวข้องกับนิ้วมือเจ้า จุดพวกนี้ทะลวงยากนัก จำต้องค่อยๆ ฝึกฝน ทว่าก็ต้องระมัดระวังให้ดี หากผิดพลาดจะส่งผลถึงอวัยวะภายใน”
ข้าพยักหน้ารับ พูดทั้งที่เนื้อกบยังเต็มปาก “ข้าทราบแล้ว” กบนึ่งนี่ก็อร่อยใช้ได้ รสชาติคล้ายเนื้อไก่ พอความคาวหายแล้วจินตนาการว่าเป็นเนื้อสัตว์อื่นก็พอทำเนา
จุดทุกจุดที่อาจารย์พูดมาล้วนเป็นเสี้ยนหนามในใจข้า ด้วยเหตุนี้อาจารย์จึงไม่ยอมให้ข้าจับกระบี่จริง เพราะหากประมือกับยอดฝีมือ มีโอกาสที่เส้นประสาทและจุดสำคัญที่มือจะถูกทำลายจนอวัยวะภายในล้มเหลว แม้กำลังภายในของข้าจะไม่ถือว่าปลายแถว แต่พลังภายนอกและภายในจะต้องมาควบคู่กัน หากอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไปจะเกิดจุดอ่อนที่ผู้คนมองออก
“อาจารย์ มีวิธีใดที่ข้าจะทะลวงจุดที่มือให้ครบได้บ้าง” คราแรกข้าคิดว่าถามคำถามนี้ไปอาจารย์จะเคาะหัวข้า แต่กลับกลายเป็นว่าอาจารย์นั้นขมวดคิ้วจนรอยตีนกาปรากฏขึ้น มือหยาบกระด้างของอาจารย์ลูบคางไปมาคล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“อาจารย์…” ข้าเรียกซ้ำ วางตะเกียบและเริ่มเก็บจานชามบนโต๊ะ สายตายังคงจับจ้องที่อาจารย์
เขาเลิกคิ้วแล้วระบายลมหายใจเบาๆ “เป็นวิธีที่เสี่ยงอย่างมาก หากพลาดพลั้งอาจจับกระบี่ไม่ได้ตลอดชีวิต”
ข้าสะท้านเยือก ทว่าก็ไม่อาจข่มความอยากรู้ในใจได้ “วิธีใดรึอาจารย์”
“เจ้าต้องบาดเจ็บปางตาย จากนั้นรับพลังภายในของผู้อื่นเข้ามาทะลวงจุดตนเอง แต่วิธีนี้หากไม่ประสบความสำเร็จ ไม่กลายเป็นคนพิการมือเท้าใช้การไม่ได้...ก็กลายเป็นศพ!”
“ท่านล้อข้าเล่นแล้ว” ข้าแสร้งหัวเราะ ทว่าใบหน้าจริงจังของอาจารย์ทำให้ข้าวางมือไม่ถูกรีบเก็บจานชามไปล้าง ในใจกระหวัดคิดถึงแต่วิธีที่อาจารย์บอก แม้ข้าจะอยากสำเร็จโดยไว แต่วิธีลัดเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในหัวของข้าแม้แต่น้อย
คนเราดิ้นรนเพียงเพื่อมีชีวิตรอด แม้จะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ แต่ข้าก็ไม่ยอมตายง่ายๆ หรอกนะ
งานประลองใกล้เข้ามาแล้ว อาจารย์เคี่ยวเข็ญข้าอย่างหนัก ชีพจรที่มือยังทะลวงไม่สำเร็จก็จริงทว่าอาจารย์ก็เริ่มฝึกวิชากระบี่ให้ข้าแล้ว
วิชาประจำสายของอาจารย์คือกระบี่อัสนี รวดเร็วฉับไวประดุจสายฟ้าฟาด ใช้ความรวดเร็วเป็นเอกจู่โจมจุดอ่อนของศัตรูอย่างฉับไว ที่แท้แล้วการที่อาจารย์ให้ข้าฝึกพื้นฐานทางร่างกาย ฝึกความเร็ว เป็นเพราะว่ากระบี่อัสนีอาศัยการจู่โจมที่รวดเร็วแต่เรียบง่าย ยิ่งเร็วก็ยิ่งประสบความสำเร็จในการจู่โจม ทว่าจุดอ่อนก็อยู่ที่หากมีการป้องกัน จะไม่สามารถพลิกแพลงได้ตามใจต้องการ ข้าเห็นจุดอ่อนนี้แล้วได้แต่กุมขมับ
อาจารย์ฝึกวิชานี้มาหลายสิบปีจึงสามารถพลิกแพลงได้ ทว่าข้าเพิ่งฝึก กว่าจะบรรลุขั้นพลิกแพลงอาจต้องฝึกอย่างน้อยสามปี จะมาฝึกภายในสองเดือนให้สำเร็จเป็นไปได้ยากมาก อย่างน้อยก็ต้องรู้จักร่างกายตัวเองดีพอ
โชคชะตาหรือฟ้ากำหนดข้าก็ไม่ทราบ แม้พื้นฐานวิชากระบี่ข้าไม่แน่น ทว่าหมัดมวยที่แอบฝึกซ้อมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง แค่ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ก็นับว่าพอขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้กระมัง
“เจ้าเด็กโง่ หลังเจ้าแข็งทื่อเช่นนี้จะพลิกแพลงได้สักกี่ท่า ไม่หัดคลายกล้ามเนื้อเสียบ้างจะไหวรึ”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นด้านหลังขณะที่ข้าพยายามฝึกม้วนตัวข้ามท่อนซุง เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นอาจารย์ปู่กับอาจารย์อาของข้านั่นเอง
ตาเฒ่ายังคงมีใบหน้าเหี่ยวย่น ร่างกายดูมีน้ำมีนวลขึ้นสามสี่ส่วนเผยรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันที่หายไปอีกซี่ ข้าลุกขึ้นปัดฝุ่นตามเนื้อตัวแล้วเดินไปคารวะอาจารย์ปู่อย่างเสียมิได้
“ศิษย์คารวะอาจารย์ปู่ อาจารย์อา”
ตาเฒ่ายิ้มรับ โยนซากกระต่ายป่าในมือให้ข้าถือ ข้าเหลือบมองอาจารย์อาที่พยักหน้ารับทว่าไม่ได้พูดอะไร ข้าเริ่มคุ้นชินกับกิริยาแบบนี้ของเขาแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
อี้หลิงสูงกว่าแต่ก่อนอีกหลายชุ่น ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้านั่นยังคงแข็งค้างคล้ายกับว่าการแสดงออกทางสีหน้าจะทำให้พลังวัตรลดลงไปอีกครั้งละสองปี
“อาจารย์ของเจ้าไปไหน” อาจารย์ปู่ถาม
ข้าเลิกคิ้ว คิดทบทวนครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “อาจารย์ลงเขาไปในหมู่บ้าน”
อาจารย์ปู่หัวเราะร่าแล้วกล่าว “เจ้านี่มันนกรู้ รู้ว่าข้าจะมาก็เลยไปหาอะไรมาต้อนรับละสิ ไปเจ้าหนู เอากระต่ายไปเก็บ ประเดี๋ยวอาจารย์ปู่จะพาไปหาอะไรทำ”
ตาเฒ่ายิ้มเจ้าเล่ห์ กระซิบกระซาบกับข้าราวกับว่ากลัวคนแถวนี้จะได้ยิน ทว่าอยู่กันสามคนยังจะกลัวอะไรอีก
ข้าพยักหน้ารับ รีบเอาซากกระต่ายไปวางไว้ในห้องครัว มองหาก้อนถ่านแล้วเขียนบอกอาจารย์ลงบนโต๊ะกินข้าวว่าออกไปข้างนอกกับอาจารย์ปู่
อาจารย์ปู่พาพวกเราใช้วิชาตัวเบาเหินลัดเลาะเขาอวิ๋นซานไปทางทิศตะวันออก พอไปถึงดวงตะวันก็อยู่กลางศีรษะพอดี เดินต่อไปอีกหน่อยก็ปรากฏป่าไผ่สีเขียวครึ้ม แล้วก็พลันได้ยินเสียงน้ำเดือดเบาๆ
ภาพเลือนรางวิจิตรปรากฏต่อหน้าข้า งดงามราวกับสรวงสวรรค์ สถานที่ที่ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนนี้เป็นน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นกลางหุบเขา โดยรอบมีต้นไผ่เป็นปราการธรรมชาติ เมื่อโผล่พ้นต้นไผ่หนาทึบจึงจะเป็นดงบุปผานานาพรรณ ผีเสื้อนับร้อยตัวบินว่อน หากมีสตรีดำผุดดำว่ายในนั้นคงหนีไม่พ้นกลายเป็นธารน้ำของจิ้งจอกสาวในนิทานเสียแล้ว
ทว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เห็นน้ำพุร้อนที่เดือดปุดๆ แล้วข้าก็ต้องหน้าซีด หวังว่า…
“ถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่”
“หา?” ข้าเบิกตากว้าง อาจารย์ปู่จะให้ข้าต้มไข่ตัวเองหรืออย่างไร ข้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทว่ากลับเห็นอาจารย์ปู่ถอดเสื้อจนเหลือแต่กางเกงแล้วก้าวลงไปแช่ในน้ำร้อนที่เดือดปุดๆ โดยไม่สะทกสะท้าน ข้าจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากอี้หลิง พบว่าเจ้านั่นก็ถอดเสื้อผ้าวางไว้บนโขดหินแล้วตามอาจารย์ปู่จุ่มตัวลงในบ่อน้ำร้อน
อึก! ไม่ไหว เกิดไข่ข้าสุกขึ้นมาสืบสกุลไม่ได้ตลอดชาติจะว่าอย่างไรเล่า
อาจารย์ปู่หรี่ตามองข้าผ่านม่านไอน้ำ ตะเบ็งเสียงขึ้นมา “เจ้าลูกเต่า! ลงมา มีปราณเบญจธาตุคุ้มกายอยู่ไม่ต้องกลัว”
โฮ.. จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร น้ำเดือดขนาดนั้น ข้ายังไม่อยากไร้ผู้สืบสกุลนะ
“เลิกกอดก้อนหินแล้วถอดเสื้อลงมา! หรือจะยอมให้อาจารย์เจ้าหวดจนก้นลายจึงจะพอใจ”
ข้าถลึงตาใส่ตาแก่ หมดสิ้นความเคารพนับถือ โดนตีจนตายก็ยังไม่น่ากลัวเท่าไร้ทายาท “ไม่ลง!”
“ลงมา! อย่าให้ข้าใช้ไม้แข็ง” ตาแก่ตะเบ็งเสียงดังจนเสียงนั้นทั้งแหบทั้งแหลม
ข้าได้ยินเสียงไอค่อกแค่กเพราะตะเบ็งเสียงมากไปของเขา หึ! โดนไอเย็นมากไปละสิเสียงถึงแหบเช่นนี้ ทว่าก่อนที่ข้าจะได้เยาะเย้ยตาแก่มากไปกว่านี้ อี้หลิงขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ลากข้าไปกินในน้ำ เอ้ย! ลากข้าลงไปในน้ำ ข้าดิ้นพราดราวกับสุนัขโดนน้ำร้อนลวก มือตีน้ำไปมาเพราะกลัวจะจม กว่าจะนึกได้ว่าไข่ข้าจะสุก มือเหี่ยวๆ ของตาเฒ่าก็กดลงบนไหล่ข้าแล้ว
“เจ้าเด็กโง่ น้ำไม่ได้ร้อนขนาดนั้น ที่มันคล้ายกับน้ำเดือดเป็นเพราะไอกำมะถันใต้ดินต่างหากเล่า”
หา? ข้าตั้งสติได้ ลองวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า
“จ๊าก!!!” มารดามันสิ ร้อนฉิบหาย
ตาเฒ่าหัวเราะพลางด่าข้าเสียงดัง “เจ้าลูกเต่า! หน้าของเจ้าบางเพียงนั้นมันก็ร้อนสิ ร่างกายของเจ้าไม่ได้ปวดแสบปวดร้อนไม่ใช่รึ”
หือ ก็จริง กลับรู้สึกผ่อนคลายเสียมากกว่า จะว่าไปความรู้สึกเช่นนี้ราวกับถูกสาวงามบีบนวดร่างกายจนตัวเบาหวิว ไข่ก็ไม่ได้ร้อน หือ ไข่?
ไข่ข้า! “อาจารย์ปู่!” ข้าตะเบ็งเสียงจนแสบคอ
“อะไรเจ้าโง่”
“ไข่ข้าถูกทำลายแล้วใช่หรือไม่!” ฮือๆ ข้าเสียใจจนร้องไห้ไม่ออก
อาจารย์ปู่ดีดหน้าผากข้าดังเพียะ ถอนหายใจพรืดด้วยความหงุดหงิด
“เจ้าโง่! หากเป็นอาจารย์เจ้า อายุข้าต้องหายไปนับสิบปีแน่ๆ มันแค่คลายตัวเพราะความร้อน พอปรับปราณเบญจธาตุก็กลับสู่สภาวะปกติ”
ข้าอ้าปากค้าง โฮ…ดีใจจนน้ำตาไหล นึกว่าไข่ข้าจะใช้การไม่ได้เพราะน้ำร้อนในบ่อนี่เสียแล้ว ถึงข้าจะเคยรู้เรื่องการแพทย์มาก่อน ทว่าเรื่องแบบนี้ข้าไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง ก็มีลืมๆ กันบ้าง
“อาจารย์ปู่”
“อะไรอีก!” เขาขานรับด้วยความรำคาญ
“ถ้าข้าเผลอฉี่ลงในบ่อน้ำร้อนจะไม่สกปรกใช่หรือไม่ เพราะความร้อนคงฆ่าเชื้อโรคไปแล้ว”
[1] อรรถาธิบาย คัมภีร์วารี คือบทประพันธ์เกี่ยวกับการก่อกำเนิดและความเป็นมาของสายน้ำ
[2] ลี่เต้าหยวน เป็นนักธรณีวิทยาในปลายราชวงศ์เว่ยเหนือ
[3] คัมภีร์ซ่างซู คือคัมภีร์ที่บันทึกการเกิดของสุริยุปราคาที่มีกว่า ๑,๑๐๐ ครั้ง
[4] จุดเลี่ยเซวีย ไท่ยวน หวีจี้ ซ่าวซาง คือจุดบนเส้นลมปราณปอด อยู่บริเวณข้อมือไปจนถึงปลายนิ้วโป้ง ไล่ตามลำดับ
[5] เพียนลี่ เหอกู่ ซางหยาง คือจุดบนเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ตั้งแต่เหนือข้อมือไปยังปลายนิ้วชี้ไล่เรียงกันไป