บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๔

3500 คำ
บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๔ “เป็นอย่างไร ตัวแสบเช่นเจ้าหลาบจำหรือไม่” เสียงอาจารย์ดังขึ้นเมื่อข้าก้าวเท้าออกจากห้องตัวเองในเช้าวันถัดมา เขานั่งบนแคร่ไม้ไผ่ข้างโรงครัว มือกำลังสาละวนอยู่กับการเดินหมากกับอาจารย์ปู่ ใบหน้าของทั้งสองอิ่มเอิบจากการพักผ่อนตั้งแค่หัวค่ำ คิดแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บใจนัก กระนั้นข้าก็ทำได้เพียงกัดฟันอดทนด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ใช่สิ เมื่อวานถูกลงโทษอย่างหนักหน่วง อีกทั้งข้าวก็ยังไม่ได้ตกถึงท้องสักเม็ด นอนก็ไม่ได้นอน ฮึ! อาจารย์ใจร้ายกับข้าถึงเพียงนี้ เหตุใดข้าจึงโง่งมไม่ยอมไปอยู่สังกัดหน่วยพฤกษานะ อากาศในยามเฉิน[1] ของช่วงต้นวสันต์ยังคงเย็นยะเยียบ แต่ทิวทัศน์เขียวขจีที่เริ่มมีให้เห็นนั้นกลับงดงามราวกับภาพวาด น่าเสียดายที่เกือบจะหมดยามเฉินแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมา ชวนให้คนอดนอนเช่นข้าคิดถึงหมอนกับผ้าห่มเหลือเกิน ข้ามองอาจารย์ด้วยแววตาตัดพ้อ ตั้งใจจะสำออยเต็มที่ น่าเสียดายที่ตาแก่นั่นหันมายิ้มเยาะใส่ข้าเสียก่อน สุดท้ายข้าจึงสะบัดหน้าหนีแล้วเดินไปตักน้ำจากบ่อมาล้างหน้าแทน ตำแหน่งที่ตั้งของสำนักอู่สิงแปลกประหลาดนัก แม้ว่าจะอยู่บนที่สูง ทว่าบ่อน้ำก็ยังคงมีน้ำอยู่เต็มบ่อตลอดทั้งปี ข้าวักน้ำขึ้นล้างหน้า อุณหภูมิของน้ำร้ายกาจจนใบหน้าแข็งชาไปทั้งแถบ แต่มันก็มีประโยชน์อยู่บ้างตรงที่มันทำให้ข้าได้สติ ความเจ็บปวดตรงรอยแตกที่มือชาเสียจนไม่รู้สึกอันใด มือที่เคยนุ่มนิ่มของข้าบัดนี้มีแต่ตาปลาและรอยแตก หากมารดาของข้ามาพบเจอสภาพเช่นนี้ เห็นทีว่านางคงอาละวาดจนสำนักแตกแน่ๆ “กินข้าวซะ แล้วก็กลับเข้าห้องไป อาศัยช่วงเวลานี้ท่องตำราเบญจธาตุให้ขึ้นใจ” อาจารย์พูดขึ้นโดยไม่หันมามองหน้าข้า ดูไปแล้วเขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าข้าจะน้อยอกน้อยใจหรือเป็นอะไรไปบ้าง ข้าหอบเอาความน้อยอกน้อยใจเข้าไปในครัว บนโต๊ะมีกับข้าวสองสามอย่างที่ปิดฝาไว้ เมื่อเปิดขึ้นดูก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยช่วงนี้ข้าก็ได้กินอาหารฝีมืออาจารย์และยังได้กินเนื้อมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าอาจารย์ไปหาเนื้อหมูมาจากไหน อาจจะลงเขาไปตั้งแต่เมื่อวานหรือไม่ก็เพิ่งลงไปตอนเช้า ข้าไม่อยากคิดในแง่ร้ายว่าอาจารย์จะไปขโมยหมูของชาวบ้านมาทำอาหารให้ข้ากินหรอกนะ เนื้อหมูที่ถูกตุ๋นด้วยเครื่องเทศหลายชนิดส่งกลิ่นหอมยวนใจข้ายิ่ง กลิ่นสมุนไพรที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีลอยมาเตะจมูกชวนให้คันยุบยิบ ทว่านอกเหนือสิ่งอื่นใด เนื้อในชามดินเผาที่ส่งกลิ่นหอมฉุยและมีไอลอยวนไม่หาย เนื้อขาหมูชั้นเลิศ แค่ใช้ตะเกียบจิ้มลงไปที่หนังหมู น้ำด้านในก็ไหลทะลักออกมา ส่งกลิ่นหอมกำจายจนท้องข้าร้องเสียงดัง ความนุ่มของหนังหมูนั้นดูไปแล้วใช้เวลาตุ๋นไม่ต่ำกว่าสองชั่วยาม ยิ่งเมื่อข้าคีบหนังที่ติดเนื้อส่งเข้าปากแล้ว อื้อหือ.. น้ำตาของข้าพลันไหลพราก มันร้อนลวกลิ้นข้าจนน้ำตาไหล ทว่าเพียงครู่เดียวความเข้มข้นของเครื่องตุ๋นและสมุนไพรก็โหมกระหน่ำเข้ามาแทนที่ รสหวานนำเค็มตามหน่อยๆ เผ็ดชานิดๆ แม้ว่าลิ้นของข้าจะโดนลวกไปบ้าง ทว่าประสาทรับรสของข้าก็ยังยอดเยี่ยม น้ำตาของข้าหยดติ๋ง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะลิ้นโดนลวกหรือซาบซึ้งใจที่อาจารย์ลงทุนไปขโมยหมูมาจากชาวบ้านกันแน่ ขอสารภาพเลยก็แล้วกันนะ ตลาดตรงตีนเขากว่าจะเปิดก็สายโด่ง อีกอย่าง การจะตุ๋นขาหมูให้หอมเยี่ยงนี้ต้องเป็นขาหมูที่สดใหม่ไร้กลิ่นเหม็นสาบค้างคืน ไอ้หยา…เอาเถิด ข้าไม่อยากต่อสู้กับความดีเลวในจิตใจสักเท่าใด ตอนนี้ขอแค่ลิ้มชิมรสขาหมูหอมกรุ่นชามนี้ให้เต็มท้องก่อนเถิด ข้ามองเมินผัดผักหนึ่งอย่างกับน้ำแกงอีกหนึ่งอย่างที่วางอยู่ข้างๆ ไปเสียสิ้น น้ำแกงสมุนไพรแม้จะหอมฉุย ทว่าใครๆ ก็ต้องการเนื้อมากกว่า บนเขาจะหาเนื้อสัตว์นั้นยากยิ่ง เนื้อส่วนใหญ่ถูกหน่วยต่างๆ แย่งชิงกันไปหมดแล้ว ศิษย์ผู้อาวุโสเช่นข้ามีเพียงคนเดียว ต่อสู้แย่งชิงอะไรกับใครก็ไม่ได้ หากเผลอเอาคืน อาจารย์ก็ทำโทษข้าอีก สรุปว่าตั้งแต่มาอยู่ได้เป็นเดือน ข้าเพิ่งได้กินเนื้อเป็นครั้งที่สาม หลังจากล้างถ้วยชามคว่ำไว้ ยังมีกระดูกเหลืออยู่ ตอนแรกข้าคิดจะเอาไปให้สุนัข แต่ความคิดบางอย่างฉุดใจข้าให้เก็บมันเอาไว้ กระดูกสัตว์มีประโยชน์กว่าที่ใครจะคาดคิด หึๆ ท้องอิ่ม สมองของข้าก็ปลอดโปร่ง ในหัวมีแผนการมากมายที่เตรียมจะเอาคืน ทว่าเมื่อเดินผ่านแคร่ที่สองผู้อาวุโสประลองหมากกัน ข้าก็ได้ยินเสียงของอาจารย์ปู่พูดขึ้นมา “เจ้าเด็กโง่ ริจะเอาคืนผู้อื่นมันต้องใช้สติปัญญา อย่าให้ใครจับได้” ข้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กลอกตา ทำปากเบ้แล้วเดินกลับห้องตัวเองไป ทว่ามาคิดให้ดีในภายหลังแล้ว อาจารย์ปู่ก็พูดมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย หากข้าโต้กลับผู้อื่นซึ่งหน้า อาจารย์ของข้าย่อมถูกตำหนิว่าไม่สั่งสอนศิษย์ ฮึ! ผู้อาวุโสในหน่วยทั้งห้า ผู้คุมกฎทั้งสี่ ล้วนแล้วแต่เข้าข้างศิษย์เกเรของตน หากอาจารย์ไม่ชิงลงมือก่อน ไม่แน่ว่าข้าอาจจะโดนหนักกว่านี้ก็เป็นได้ เวลาล่วงเลยไปราวสามหนาว ตัวข้าในตอนนั้นยังเป็นเด็กมาก เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวในช่วงแรกแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระไม่น้อย อาจารย์ทนรับตัวโง่งมเช่นข้าเป็นศิษย์ได้ก็นับว่าเขาเป็นยอดคนแล้ว ใครจะไปรู้ว่าตอนเด็กตนเองรั้นขนาดไหน ข้ารู้แต่เพียงว่าตนเองหล่อเหลาก็พอแล้ว อืม…ความคิดพวกนี้มันไร้สาระก็จริง แต่มันเป็นสิ่งเดียวในตอนนั้นที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าคนพวกนั้นได้ จนถึงตอนนี้แล้ว หลังจากที่อาจารย์ปู่พาอาจารย์อาเร้นกายไปจากสำนักอีกครั้งโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าคนทั้งสองเคยปรากฏตัวก็ล่วงเลยมาสามปี พื้นฐานวรยุทธ์ของข้าก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่อาจารย์เองก็ประหลาดใจ อย่าว่าแต่อาจารย์เลย ข้าก็ประหลาดใจไม่น้อย วีรบุรุษมากมายได้ของวิเศษ ตำราหกภพภูมิ คัมภีร์มารนพเก้า ตกเขาก็เจอวิชาลับ กว่าจะเก่งขึ้นมาได้ ทว่าข้านั้นเก่งขึ้นมาเพราะรังเกียจความพ่ายแพ้และเพราะความคับแค้นส่วนตัวล้วนๆ เหนือสิ่งอื่นใด ความพยายามของข้ามีมาแต่กำเนิด นั่นคือความมุ่งมาดที่จะเป็นสุดยอดจอมยุทธ์ แต่ช้าก่อน…สุดยอดจอมยุทธ์ผู้กล้าส่วนใหญ่ชีวิตต้องผ่านความรันทดมามากมาย กว่าจะมาถึงจุดที่อยู่เหนือผู้คน ไม่ได้หรอก…พื้นฐานครอบครัวข้า แม้จะใช้ชีวิตเป็นคุณชายเจ้าสำราญทั้งชีวิตก็ไม่ตกต่ำ เรื่องที่จะตกเขาบาดเจ็บสาหัส แขนขาด เลือดลมเดินไม่คล่อง หน้าดำคร่ำเครียด ฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก เป็นไปไม่ได้แน่นอน พื้นฐานการแพทย์ของข้าสั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน การทะลวงจุดในวิชายุทธ์นั้นตอนแรกข้าก็ไม่เข้าใจ แต่พอจับจุดการเคลื่อนย้ายพลัง กระทั่งทะลวงลมปราณก็ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ ผู้อื่นนั่งฌานแทบตายเพื่อควบคุมลมปราณนับสิบปี แต่ข้าอาศัยสมุนไพรและการฝังเข็มในบางจุดเข้าช่วยให้เลือดลมเดินสะดวกก็ล้ำหน้าคนพวกนั้นไปมากโขแล้ว สิบสองเส้นลมปราณปกติ[2] และแปดเส้นลมปราณพิเศษ[3] รวมไปถึงจุดตันเถียน[4] ต้องอาศัยระยะเวลาและกลเม็ดเล็กน้อยจึงจะทะลวงได้อย่างราบรื่น หากไม่ดูแลดีๆ แล้วอาจจะเกิดธาตุไฟเข้าแทรกได้ ตัวข้านั้นเพิ่งทะลวงได้ไม่กี่จุด โชคดีไม่น้อยที่ได้อาจารย์คอยช่วยชี้แนะ ตัวข้าจึงรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ร่างกายของข้าปลอดโปร่งโล่งสบายยิ่ง อาจารย์กล่าวชื่นชมบิดาข้าไม่น้อยที่สั่งสอนบุตรเช่นข้าจนเข้าใจในร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี ข้าก็ได้แต่เออออไปตาม ไม่ให้อาจารย์งุนงงสงสัย อันที่จริงแล้วผู้อาวุโสค่อนข้างแคลงใจไม่น้อยว่าเหตุใดข้าจึงรู้ลึกรู้จริงยิ่งกว่าศิษย์ในหน่วยพฤกษา ทว่าข้าก็ตีหน้าซื่อส่งยิ้มโง่งมไปให้อาจารย์เพียงอย่างเดียว เท่านี้อาจารย์ก็เหนื่อยที่จะซักไซ้ข้าแล้ว ทว่าทางกายภาพแล้วตัวข้าก็จำต้องฝึกพละกำลังอยู่ดี ท่านอาจารย์ไม่ยอมให้ข้าใช้กำลังภายในเลยแม้แต่น้อย ทุกวันข้าก็ยังต้องใช้ขวานทื่อตัดฟืนไปส่งโรงครัวกลาง ก่อนจะกลับมาฝึกกระบี่ ทำไมต้องเป็นกระบี่น่ะหรือ พูดแล้วก็รู้สึกขัดเขินไม่น้อย ข้าเคยอ่านหนังสือมามาก เรื่องราวจอมยุทธ์ผู้ผดุงความยุติธรรมให้ทั่วหล้า พวกเขามีกระบี่วิเศษติดกาย หนึ่งกระบวนท่าไร้ต้าน ข้าก็เลยบ้าจี้ตามหนังสือ ฝึกกระบี่อยู่ทุกวี่ทุกวัน น่าเสียดายที่กระบี่วิเศษใช่อยากได้ก็จะได้ หากหาง่ายเหมือนหาเหลือบไรก็ดีสิ อาจารย์บังคับให้ข้าใช้กระบี่ไม้ น่ารันทดใจนัก ศิษย์สังกัดอื่นใช้กระบี่จริงกันแล้ว แต่ตัวข้ายังต้องใช้กระบี่ไม้ อาจารย์ยื่นเงื่อนไขอย่างหนึ่งคือ เมื่อใดที่ข้าสามารถใช้กระบี่ไม้ตัดต้นไม้ได้ เมื่อนั้นเขาจะสอนเพลงกระบี่จริงๆ ให้ข้ามากกว่าการจิ้มๆ แทงๆ ด้วยท่าพื้นฐานพวกนี้ “แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน เจ้ารุดหน้ารวดเร็วถึงเพียงนี้ อาศัยกำลังภายในไม่อาจเอาชนะคนที่ผ่านประสบการณ์มากมายมาแล้ว จะอย่างไรก็รอให้เป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้สักหน่อยค่อยเริ่มร่ำเรียนจริงจัง ผู้อื่นเริ่มร่ำเรียนกระบี่ตอนอายุสิบเจ็ด เจ้าก็ฝึกใช้กระบี่ไม้ไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน” ตอนแรกข้าก็โวยวายไปบ้าง แต่อาจารย์ปิดปากข้าด้วยการทำอาหารให้กินทุกเย็น ตั้งแต่นั้นมาข้าเลยว่าง่ายขึ้นบ้าง พอคิดถึงตอนนั้นทีไรแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจทุกที ตอนเด็กข้าเป็นตัวป่วนขนานแท้ ตอนนี้จึงกลัวอาจารย์ไม่อนุญาตให้ฝึกกระบี่จริงๆ ข้าก็เลยต้องว่านอนสอนง่ายเป็นเด็กดี ไม่ให้อาจารย์ผิดหวัง กาลเวลาผันผ่านล่วงเลยไป พรากเอาความเยาว์วัยให้ห่างหาย ผ่านไปถึงสามหนาวอาจารย์ของข้าก็อายุเพิ่มขึ้นสามปี แม้เขาจะดูรุ่นราวคราวเดียวกับท่านพ่อ กระนั้นแล้วใบหน้าของเขายังคงอ่อนเยาว์ราวกับหนุ่มฉกรรจ์ น่าเสียดายที่เขาเริ่มมีผมขาวขึ้นแซมประปรายแล้ว เดิมทีข้าคิดถึงสูตรยาตัวหนึ่งที่ช่วยให้ผมขาวช้าลง แต่อาจารย์กลับไม่ต้องการ บอกว่าสังขารย่อมมีวันโรยรา ผมเริ่มขาวก็ดีไม่น้อย ดูไปคล้ายเซียนเดินดิน ข้าไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นับตั้งแต่ขึ้นเขามาได้ราวสามปี เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว เขาอาจจะหัวหงอกเร็วเพราะข้าก็เป็นได้ มีครั้งหนึ่งที่ข้าเผลอตั้งหม้อตุ๋นขาหมูเอาไว้ ขาหมูนี้ข้าไม่ได้ขโมยมาหรอก แต่นำเงินไปซื้อมาจากตลาดตรงตีนเขา ข้าตุ๋นขาหมูทิ้งไว้แล้วก็เข้าป่าไปตัดฟืน ระหว่างทางที่ขนฟืนไปโรงครัวกลางกลับมีเรื่องมีราวกับศิษย์พี่หน่วยอัคคีเข้าจนได้ อาจารย์วิ่งหน้าตาตื่นมาเห็นก็ดึงหูข้าแทบขาด ข้าที่กำลังจะโวยวายใส่เขาเห็นว่าทั้งตัวเขามีแต่เขม่าควัน แท้แล้วอาจารย์คิดว่าข้านอนอยู่ในห้อง เพราะขาหมูที่ข้าตุ๋นไว้จนน้ำแห้งทำให้เกิดไฟไหม้ครัวลามไปจนถึงห้องนอนข้า อารามตกใจ แม้แต่จะใช้วิชายุทธ์อาจารย์ก็คิดไม่ถึงแล้ว เขารีบเอาน้ำราดตัวแล้ววิ่งเข้าไปในห้องที่ไฟไหม้ เขาเป็นห่วงข้าแทบตาย ข้าในตอนนั้นรู้สึกผิดจนน้ำตาไหลพราก ตั้งแต่นั้นมาข้าก็รู้สึกเห็นใจอาจารย์ไม่น้อยที่ต้องทนอยู่กับศิษย์ไม่ได้เรื่องคนนี้ โชคดีที่หีบสมบัติของข้าไม่ถูกเผาไปด้วย มิเช่นนั้นแล้วเราสองคนศิษย์กับอาจารย์อาจต้องทนนอนตากน้ำค้างไปหลายวัน เงินส่วนหนึ่งที่เก็บหมักจนแทบขึ้นราในหีบจึงได้ใช้ประโยชน์ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เพิ่มรอยตีนกาให้อาจารย์ข้างละหนึ่งรอย เขาโมโหแทบตายจนต้องเคี่ยวกรำให้ข้าฝึกปราณเบญจธาตุทุกวัน บอกว่าหากฝึกสำเร็จ ไฟไหม้ขนาดไหนข้าก็ไม่ตาย เขาจะได้เลิกเดือดเนื้อร้อนใจเพราะความไม่ได้เรื่องของข้าเสียที “เจ้าลูกเต่าหย่งหมิง แบกฟืนไปไว้โรงครัวอีกแล้วรึ ผู้อาวุโสเซียวเหยาคงคิดจะฝึกเจ้าไปเป็นพ่อบ้านจริงตามที่เขาเล่าลือกันกระมัง ได้ข่าวว่าเจ้าฝึกกระบี่ไม้อยู่นี่ เอ๊ะ! ใช่อันที่สะพายอยู่รึเปล่า” ข้าไม่สนใจ รุดหน้าเดินไปยังโรงครัวกลางแล้วรีบจัดกองฟืนให้เข้าที่ เสียงกวนบาทาแบบนี้มีคนเดียว ศิษย์เอกหน่วยอัคคีเฉินเจิ้งหยา เขารูปร่างสูงใหญ่ สวมแพรพรรณเนื้อดีของหน่วยอัคคีสีแดงสด หน้าตาจัดได้ว่าอยู่ในทำเนียบบุรุษหล่อเหลาของสำนัก ฝีมือมิใช่ชั่ว ทว่านิสัยร้ายกาจยิ่งกว่าฝีมือ ข้าจำอายุเขาไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าแก่กว่าข้าหลายปีอยู่เหมือนกัน ด้านหลังของเขาเป็นศิษย์พี่สามแห่งหน่วยอัคคีจางเยว่ คนผู้นี้รูปร่างผอมบางคล้ายสตรี ทว่าหน้าตาธรรมดาดาษดื่น เหนืออื่นใดคือเขามีสติปัญญาโดดเด่น หากมีเขาอยู่กับเจ้าเฉินเจิ้งหยา คนหนึ่งบุ๋น คนหนึ่งบู๊ ข้าทำอะไรไปก็รังแต่จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว สุดท้ายจึงก้มศีรษะให้พวกเขาแล้วจัดเรียงกองฟืนต่อไป พลั่ก! “เจ้านี่! ข้าพูดด้วยก็ไม่พูด ยโสนักนะ” เฉินเจิ้งหยาเอาเท้าเตะกองฟืนที่ข้าเพิ่งเรียงเสร็จ ริ้วโทสะของข้าผุดขึ้นมาเป็นระลอก ทว่าในมโนภาพกลับผุดภาพอาจารย์กำลังทำโทษข้า ริ้วตีนการอยที่สองอาจจะโผล่ขึ้นมาอีกหนึ่งรอย ข้าจึงจำใจต้องอดทนแล้วก้มหน้าก้มตาจัดเรียงฟืนต่อไป ในใจของข้ากำลังนับถอยหลังทีละน้อย ฉึก! กระบี่สีเงินเป็นประกายปักห่างจากนิ้วก้อยของข้าไปไม่ถึงหนึ่งชุ่น หัวใจของข้าเต้นระรัวด้วยโทสะ ขีดจำกัดใกล้จะมาถึงอีกครั้ง “ดูไปแล้ว ปรมาจารย์เซียวเหยาก็คงเป็นแบบเจ้า เต่าหดหัวสมคำเล่าลือ” วาจาสามหาวกับน้ำเสียงเยาะหยันยังไม่น่ามีโทสะเท่าถ้อยคำผายลมที่เจ้าตัวบัดซบผู้นี้กำลังกล่าวหาอาจารย์ผู้ที่ข้าเคารพรัก ทนไม่ไหวแล้ว! จะด่าข้า ข้าไม่สน แต่อย่าล้ำเส้นถึงบุคคลที่ข้าให้ความเคารพนับถือ โทสะของข้าลุจนถึงขีดสุด ข้าอาศัยจังหวะที่เฉิงเจิ้งหยากำลังจะอ้าปากพูดอีกครั้ง กระชากกระบี่ไม้ออกมา เกร็งพลังปราณไปที่แขน ตวัดปลายกระบี่ไม้มาสะกิดด้ามกระบี่ของเฉินเจิ้งเหยาขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความแข็งแรงของข้อมือและพลังปราณเบญจธาตุระดับสุดท้ายที่เพิ่งฝึกสำเร็จไป แค่เพียงขยับมือเล็กน้อย ด้ามจับสีแดงบนกระบี่ประจำตัวของเฉินเจิ้งหยาก็ลอยไปกระแทกปากเจ้านั่นอย่างแรงจนฟันหัก เลือดกบปากในทันที จางเยว่ยืนอึ้ง เตือนศิษย์พี่ใหญ่ของตนไม่ทัน ขณะที่เฉินเจิ้งหยานั้นถูกด้ามกระบี่กระแทกจนร่างเซวูบ ตาค้างตั้ง ก่อนจะล้มลงสลบเหมือดแทบเท้าของศิษย์น้องตัวเอง กระบี่ด้ามสีแดงถูกแรงกระทำที่เหลือเหวี่ยงไปปักเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้จนสั่นไหว ใบไม้ร่วงกราว...เป็นตอนจบที่น่าสมเพชสิ้นดี ข้าทำสีหน้าตกตะลึง แกล้งทำเป็นมือไม้สั่นอ่อนปวกเปียกแล้วทรุดกายลงกับพื้นพลางตะโกนด้วยเสียงอันสั่นเทา “ช่วยด้วย...ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหน่วยอัคคีทำกระบี่หลุดมือ เหวี่ยงผิดท่าจนพลาดพลั้ง” แน่นอนว่าจางเยว่เป็นคนฉลาด หากเขาบอกทุกคนว่าเป็นข้าที่สะกิดด้ามกระบี่กระแทกปากศิษย์พี่ใหญ่ของหน่วยตน เฉินเจิ้งหยาก็คงสิ้นชื่อที่พ่ายแพ้แก่เด็กใหม่อย่างข้าซึ่งเพิ่งเข้ามาได้สามปี พี่ใหญ่ของหน่วยอัคคีรักหน้ายิ่งชีพ เกรงว่าช่วงนี้หลังจากตื่นขึ้นมาคงต้องไปกราบอ้อนวอนหน่วยพฤกษาเพื่อรักษารากฟันให้กลับมาเหมือนเดิม มิเช่นนั้นตำแหน่งยอดบุรุษในดวงใจสตรีในสำนักอาจจะต้องหลุดลอย อา…ในปีนั้นเป็นเพราะข้าฉี่ใส่ลำธาร เฉินเจิ้งหยาเข้าใจผิดว่าศิษย์หน่วยพฤกษาเป็นคนทำ เขาอาศัยที่ตนเองเป็นศิษย์รักของปรมาจารย์ฉีหยางเกาเข้าไปอาละวาดในหน่วยพฤกษาจนพังยับเยิน เกือบจะเป็นศึกระหว่างหน่วยไปแล้ว ครั้งนี้จะให้กลับมาเหมือนเดิม เกรงว่าคงจะใช้เวลาอ้อนวอนนานโข จางเยว่มองข้าด้วยสายตาล้ำลึกคล้ายกับต้องประเมินข้าใหม่ ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนสงสัย ทว่าข้าฉีกยิ้มใสซื่อส่งไปให้เขา แกว่งกระบี่ไม้ไปมา ศิษย์หน่วยอัคคีที่ได้ยินพลันกรูกันเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ทั้งส่งเสียงโวยวายยกใหญ่ ข้าก้มหน้าก้มตาเก็บฟืนเข้าสุมกองให้เหมือนเดิม ชั่วระยะเวลาหนึ่งคล้ายกับรู้สึกว่ามีคนลอบสังเกตการณ์อยู่ รอยยิ้มสมใจปรากฏขึ้นตรงมุมปาก…ตอนนี้ข้าไม่ใช่ตงฟางหย่งหมิงคนเดิมที่ใครก็รังแกได้อีกแล้ว อาจารย์ปู่เคยส่งจดหมายมาหาข้า ทิ้งคำพูดยาวเหยียดเอาไว้ ‘ริอ่านมีเรื่องมีราว ตัวเจ้าต้องห้ามได้แผลกลับมา หากได้รับบาดเจ็บ นอกจากเซียวเหยาจะรู้แล้ว ตัวเจ้าจะถูกลงโทษในข้อหาที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ กฎของสายเราเน้นเรียบง่าย ไม่โดดเด่น ร่างกายไร้ราคี เมื่อใดที่เจ้ามั่นใจว่าสามารถเอาคืนผู้อื่นได้โดยปราศจากรอยแผลเป็นหรือแม้แต่รอยเสื้อยับย่น เมื่อนั้นจึงจะเรียกได้ว่าเจ้าสามารถก้าวหน้าได้อีกขั้นแล้ว ข้าจะบอกอะไรอีกอย่างนะเจ้าหนู เมื่อก่อนเซียวเหยาก็เป็นเช่นเจ้านี่ละ เขาจึงไม่อยากให้เจ้าสร้างความวุ่นวายไปทั่ว ตอนนั้นแม้แต่อาจารย์เจ้าสำนักรุ่นข้าก็ยังต้องปวดหัว กระทำการใดอย่าเหลือหลักฐานเอาไว้เด็ดขาด!’ [1] ยามเฉิน คือช่วงเวลา ๗.๐๐ น.– ๘.๕๙ น. [2] สิบสองเส้นลมปราณปกติแบ่งเป็น แขน, มือ ๖ เส้นประกอบด้วย หยิน ๓ เส้น ปอด (ไท่ยินปอด) หัวใจ (ซ่าวยินหัวใจ) ถุงหุ้มหัวใจ (เจี๋ยยินถุงหุ้มหัวใจ หยาง ๓ เส้น ลำไส้ใหญ่ (หยางหมิงลำไส้ใหญ่) ซานเจียว (ซ่าวหยางซานเจียว) ลำไส้เล็ก (ไท่หยางลำไส้เล็ก) ขา, เท้า ๖ เส้น หยิน ๓ เส้น ม้าม (ไท่ยินม้าม) ไต (ซ่าวยินไต) ตับ (เจี๋ยยินตับ) หยาง ๓ เส้น กระเพาะอาหาร (หยางหมิงกระเพาะอาหาร) ถุงน้ำดี (ซ่าวหยางถุงน้ำดี) กระเพาะปัสสาวะ (ไท่หยางกระเพาะปัสสาวะ) [3] แปดเส้นลมปราณพิเศษประกอบด้วย ตู๋ม่าย เยิ่นม่าย ชงม่าย ไต้ม่าย ยินเหวยม่าย หยางเหวยม่าย ยินเชียวม่าย และหยางเชียวม่าย [4] เถียนหรือจุดเก็บพลังมี ๓ จุด ๑.ตันเถียนบน สัมพันธ์กับเสินหรือญาณหยั่งรู้ ซึ่งก็คือระบบสมองหรือจิตนึกคิดของเรา ๒. ตันเถียนกลาง อยู่ที่หน้าอก สัมพันธ์กับพลังชีวิต ๓. ตันเถียนล่าง อยู่ที่ท้องน้อย ต่ำกว่าสะดือสามนิ้วมือ เป็นอวัยวะที่เกี่ยวเนื่องกับระบบฮอร์โมน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม