บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๒ ส่วนที่ ๑

2347 คำ
บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๒ ส่วนที่ ๑ ชายชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนสะบัดพลิ้ว แรงลมพัดโบกจนเส้นผมดำขลับพัดปลิวบดบังความงามของดรุณีเบื้องหน้า นางแย้มยิ้ม ประกายตาเย็นเยียบ ข่มขวัญข้าอยู่ในที กลิ่นกลายหอมอ่อนๆ จากตัวนางมีทั้งกลิ่นสมุนไพรและเครื่องหอม คิดๆ ดูแล้ว ในความทรงจำเกี่ยวกับความรู้ทางการแพทย์ที่ข้าเรียนรู้มา หนึ่งในนั้นคล้ายเป็นวิชาเครื่องหอม ใช้ทั้งบำบัด หลอนประสาท และฆ่าคน วิชาที่ทำให้ผู้คนตายโดยไม่รู้ตัว แรงสังหรณ์ในกายพลันร้องเตือน สตรีนางนี้ฝีมือมิใช่ชั่ว ถังเย่าหรงกรีดยิ้ม ปรายตามองข้าด้วยแววตายั่วเย้า ข้ายิ้มแห้งด้วยความเก้อเขิน แสร้งทำเป็นจัดเสื้อผ้าที่ถูกนางดึงจนยับย่น ตบไปทีสองทีก็พลันได้กลิ่นหอมหวานประหลาดลอยมากระทบนาสิก ข้าชะงัก เหลือบมองรอยยิ้มมุมปากของนางเล็กน้อย พลันหันไปมองผู้ควบคุมการประลองที่กำลังเดินเข้ามา ข้ารู้สึกแปลกๆ คนรอบข้างก็ดูแปลกไป แทนที่จะโห่ร้องส่งเสียงให้กำลังใจ กลับเงียบกริบ ท่าทางหวาดผวาประหนึ่งกำลังเห็นภาพสยองขวัญ ผู้ควบคุมการประลองเดินเข้ามา เขาล้วงในอกเสื้อ ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ข้ามองด้วยความงุนงงเล็กน้อย พลันรู้สึกหน้ามืด ผู้ควบคุมลานประลองยิ้มเผล่แล้วกล่าว “เจ้าหนุ่ม พบเห็นคนงาม ตื่นเต้นหน้าแดงจนเลือดกำเดาไหล น่าขบขันสิ้นดี เอ้า ยังไม่รับไปเช็ดเลือดอีก” ข้าเลิกคิ้วด้วยความตื่นตระหนก ใช้มือลูบคลำจมูกจนสัมผัสได้ว่ามีของเหลวอุ่นๆ เปื้อนเปรอะปลายนิ้ว ครั้นยกขึ้นมาดูก็แทบจะเป็นลม เลือดแดงฉานไหลไม่หยุดจนต้องรีบคว้าผ้าเช็ดหน้ามาจากผู้คุมลานประลอง เสียงหัวเราะขบขันและเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ ข้าทั้งอับอายทั้งตกใจ ได้แต่กล่าวออกไปตามมารยาท “ขอบคุณขอรับ” “เจ้าไหวหรือไม่” น้ำเสียงหวานใสของถังเย่าหรงดังขึ้น ใบหน้าเจือยิ้มจางๆ อาภรณ์สีเขียวและกลุ่มผมดำขลับพลิ้วไหวตามแรงลม ก่อเกิดภาพอันงดงามวิจิตร คำถามคล้ายเป็นห่วงเป็นใยที่หลุดออกจากริมฝีปากของนางทำให้บรรดาศิษย์ในสำนักโห่ร้องด้วยความอิจฉา กลับเป็นข้าที่รู้สึกไม่ชอบมาพากล ร่างกายของตนข้าย่อมรู้ดี การลอบเล่นสกปรกเช่นนี้ ยิ่งไม่รู้สึกตัวก็ยิ่งอันตราย อีกทั้งชีพจรข้าคล้ายจะเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้กลิ่นหอมจากตัวนาง ผู้คุมการประลองมองหน้าข้าแล้วยิ้มรู้ทัน “จิตใจปั่นป่วนกระวนกระวายของบุรุษหนุ่มต่อหน้าสาวงามมิใช่เรื่องประหลาด เอาละ เช็ดเลือดกำเดาเสร็จหรือยัง อีกครึ่งถ้วยชาจะเริ่มประลอง” “ข้าสบายดี ขอบคุณพวกท่านที่เป็นห่วง” ใจเต้นแรงเพราะสตรีกับผีน่ะสิ ให้ข้าไปใจเต้นแรงกับเฉินเจิ้งหยายังจะดีซะกว่า สตรียิ่งงดงามยิ่งมากพิษสง เหตุใดข้าจึงลืมคำสั่งสอนของอาจารย์ได้นะ หนึ่งถ้วยชาก็ใช่ว่าจะนาน ข้านั่งปรับลมปราณกลางลานประลอง รวบรวมสมาธิไปยังจุดตันเถียน ค่อยๆ กระตุ้นพลังปราณเบญจธาตุให้ไหลเวียนทั่วร่าง เมื่อผู้คุมเห็นว่าถึงเวลาแล้ว เขาจึงเดินเข้ามากลางลานประลองอีกครั้ง ข้ากับถังเย่าหรงจึงลุกขึ้นพร้อมกัน “พวกเจ้าพร้อมหรือไม่” ข้ากับนางพยักหน้าพร้อมกัน ผู้คุมจึงยกมือขึ้นสูง ก่อนจะให้สัญญาณมือเพื่อเริ่มการประลอง เสียงกลองดังกระหึ่มเป็นสัญญาณ “เริ่มได้” “รบกวนศิษย์พี่ออมมือด้วย” ข้ายกมือประสาน ก้มศีรษะตามธรรมเนียม ถังเย่าหรงฉีกยิ้มหวาน ยกมือประสานกลับ “รบกวนเช่นกันศิษย์น้อง” พูดจบนางก็ชูมือขึ้นทั้งสองข้าง บิดข้อมือคล้ายบุปผาเบ่งบาน พลันตวัดปลายเท้าสะกิดพื้น ใช้วิชาตัวเบาและหยิบยืมพลังจากกระแสลมหมุนกายรวดเร็วดุจลูกข่าง กลิ่นหอมหวานคล้ายกับกลิ่นดอกอิงฮวา[1] ฟุ้งกระจายทั่วลานประลอง ข้ารีบสะกิดเท้าไปยังต้นลม ไม่อาจปั้นสีหน้าไร้ความรู้สึกได้ ถังเย่าหรงยังไม่หยุดหมุน ร่างในอาภรณ์สีเขียวพลิ้วไหวเบ่งบานดุจบุปผาเริงระบำกลางสายลม งดงามจับตาจนผู้คนอ้าปากค้าง ลุ้นว่าเมื่อไรนางจะหมุนเสร็จสักที ตัวข้าเองก็รู้สึกวิงเวียนแทนนางจนพะอืดพะอมในลำคอ ที่สุดแล้วก็ต้องหลับตานิ่งเพ่งสมาธิ นางเป็นสตรี ข้าไม่อาจเอาชนะนางด้วยพละกำลังได้ เพื่อไม่ให้น่ารังเกียจก็ต้องอาศัยใช้กลวิธีดาบนั้นคืนสนองดังเช่นที่อี้หลิงใช้ อย่างน้อยก็ต้องให้นางแพ้ภัยตัวเอง ที่จริงข้ามิใช่คนดีอะไรนัก เพียงแต่หากทำร้ายนางด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษแล้วก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะชนะ เท่ากับลงแรงสูญเปล่า และยังถูกครหาอีกด้วย เมื่อได้หลับตาลง บริเวณโดยรอบก็คล้ายกับเงียบสงบ เสียงผู้คนห่างไกลออกไปจนคล้ายกับห่างกันนับพันนับหมื่นลี้ มีเพียงเสียงอาภรณ์ของถังเย่าหรงที่สะบัดไหวตามแรงลมเท่านั้น นางยังคงหมุนต่อเนื่องคล้ายกับว่ากางอาณาเขตกลิ่นหอมของตนให้ถ้วนทั่ว ผู้คนชะงักนิ่ง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงพูดคุย คล้ายกับว่าตกสู่ห้วงภวังค์ไปแล้วอย่างสมบูรณ์ “ลืมตาสิพ่อหนุ่ม คิดจะดูถูกข้าหรือ” เสียงกระซิบดังขึ้นข้างหู ขนกายข้าลุกชัน น้ำเสียงที่เคยหวานใสของถังเย่าหรงกลายเป็นเย็นเยียบเสียดแทงแก้วหูคล้ายกับเสียงเข็มเงินครูดกับผนังถ้ำน้ำแข็ง แหบแห้งเสียจนคล้ายกับเสียงของหญิงชราผู้หนึ่ง ข้าลืมตาขึ้น หัวใจกระตุกวูบ ใบหน้าของถังเย่าหรงมีรอยแตกระแหงคล้ายเปลือกไม้ น่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง ผู้คนรอบลานประลองนั่งตัวแข็ง มีเพียงบางคนที่ยังคงมีท่าทีเป็นธรรมชาติ ทว่าคนเหล่านั้นกลับมองมายังลานประลองเงียบๆ แววตาของแต่ละคนเป็นประกายประหนึ่งได้พบสุดยอดวิชา สุดยอดวิชา? มารดามันเถอะ! วิชาลับของหน่วยพฤกษามีวิชาหนึ่งที่ต้องหาสตรีซึ่งมีธาตุทองกับธาตุไม้ในร่างกาย ว่ากันว่าการฝึกเต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องกรีดหนังกำพร้าเพื่อฝังกลิ่นหอมและสมุนไพรลงไปใต้ผิว หากไม่ใช้วิชาก็จะมีผิวพรรณเปล่งปลั่งเต่งตึง ทว่าเมื่อใดที่เริ่มการร่ายรำใช้มนตร์มายาจากกลิ่นหอม ยิ่งอาณาเขตของพลังกว้างไกลและเข้มข้นเท่าไร ผิวกายที่เคยเปล่งปลั่งก็จะแห่งเหี่ยวปรากฏรอยกรีดแห้งกรอบคล้ายกับเปลือกไม้ อาจารย์เคยเล่าว่าหลายปีมานี้ท่านเจ้าสำนักสั่งห้ามฝึกฝนวิชานี้อย่างเด็ดขาดเพราะมีศิษย์ตายมากกว่าฝึกสำเร็จ มิคาดว่าปรมาจารย์หน่วยพฤกษากลับลอบฝึกฝนวิชานี้ให้ถังเย่าหรง มิน่าเล่า นางจึงต้องลงทุนแพร่กลิ่นหอมสะกดใจผู้คนรอบลานประลอง ข้ากลืนน้ำลาย รู้สึกโชคดีขึ้นมาที่กลิ่นกายตัวเองแรงจึงได้กลิ่นหอมของนางไม่รุนแรงนัก เพียงพริบตาถังเย่าหรงก็หายวับกลับไปที่เดิม สีหน้านางผิดหวัง ริมฝีปากบิดเบี้ยวจนหนังกำพร้าที่เป็นรอยเปลือกไม้หลุดล่อน “เอาเถอะ ข้าจะให้เวลาเจ้าตั้งตัว” สติข้าพลันกลับมา ไม่กล้าใช้สายตาเวทนามองนาง ยกมือขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อม “ขออภัยศิษย์พี่ ข้าเพิ่งเคยพบเห็นวิชาในตำนาน” ถังเย่าหรงหัวเราะเสียงแหลมเสียดแก้วหู ทว่าฟังดูแล้วคล้ายกับได้ยินเสียงร่ำไห้ในจิตใจนาง กลิ่นหอมชนิดใหม่ฟุ้งกระจาย “ข้าฝึกวิชานี้ก็เพราะอยากรู้นักว่าหากสตรีที่งดงามเพียงเปลือกนอก แล้วมาอัปลักษณ์เช่นนี้ จะยังมีใครเอ็นดูอยู่หรือไม่” นางพุ่งเข้าหาข้า กรีดกรายนิ้วคล้ายผีเสื้อกระพือปีก กลิ่นหอมรุนแรงจนฉุนฟุ้งกระจาย เข็มทองขนาดเล็กนับสิบเล่มพุ่งเข้าหาข้าประหนึ่งเม่นสลัดขน ข้าเคลื่อนไหวช้าลงเพราะกลิ่นหอมนั้น ทว่าในขณะเดียวกันภาพของเข็มนับสิบเล่มที่พุ่งมาหาก็ช้าตามไปด้วย พลังกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวขึ้นมาบนศีรษะ รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายคล้ายมีลมหอบพัดเอาความหอมฉุนของถังเย่าหรงออกไป ข้ายกเท้าขึ้นใช้พื้นรองเท้ากวาดเข็มกลางอากาศ เข็มตกกระจายบนพื้น นางแค่นเสียงขึ้นจมูก แววตาดุร้าย ทว่าหลังจากที่ข้ากำลังจะกระโดด ปลายนิ้วเท้าก็เจ็บจี๊ด “อ๊าก!” ฮือๆ ท่านแม่ เข็มเล่มหนึ่งปักลงที่จุดสำคัญกลางฝ่าเท้าข้า โชคดีที่ถังเย่าหรงอยู่ไกล อีกทั้งพื้นรองเท้าก็หนามาก ข้าแสร้งทำเป็นยกเท้าข้างนั้นขึ้นทำท่าพิสดารไม่ให้นางสงสัย จากนั้นจึงถอนเข็มทองออก ยกขึ้นสูดดมเล็กน้อย ข้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางคงเห็นข้าเลือดกำเดาไหลจึงตั้งใจจะให้ข้าเลือดออกจนสลบ ยาที่อาบลงบนเข็มกลับเป็นตัวยาที่เร่งชีพจรให้เต้นเร็ว พลังหยางข้าจึงเข้มข้นขึ้น สวรรค์คงเห็นใจข้าถึงตั้งใจให้เข็มเล่มนี้ปักลงตรงจุดชีพจรที่ฝ่าเท้า กรุยชีพจรเส้นสำคัญให้ข้าอีกหนึ่งเส้น ข้ายิ้มมุมปาก หันกลับไปมองถังเย่าหรง “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยกรุยชีพจรให้ข้า” “เจ้าพูดอะไร” ถังเย่าหรงถามเสียงแห้ง พลังกดดันไร้รูปปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว “อ้อ ข้าบอกว่า ข้าจะไม่ออมมือ” “ดี เข้ามา!” นางพูดเสียงกร้าว ข้าวางเท้าลง เจ็บแปลบเล็กน้อย คาดว่าพอต่อสู้เสร็จเท้าอาจจะบวมจากแรงที่เข็มปักเท้า หรือไม่ก็ตัวข้าที่เหยียบพื้นอย่างแรงเต็มกำลัง ถังเย่าหรงพุ่งจู่โจม เมื่อเห็นว่าโจมตีระยะไกลไม่ได้ผลนางก็รุกเข้าประชิด ประกบฝ่ามือเป็นรูปดอกบัว ก่อนจะพุ่งเข้าหาข้า ท่าร่างคล้ายกับอสรพิษไล่ฉกคน รวดเร็วปราดเปรียว ทั้งยังหอมจรุงใจ ข้ายกมือขึ้นปัดป้อง ไม่ทราบเพราะเหตุใดท่าร่างของนางนั้นกลับเชื่องช้ายิ่ง แม้จะรุนแรงทว่าข้ากลับมองออก จึงใช้เท้าข้างที่บาดเจ็บสะกิดพื้นเพื่อหลบหลีกเป็นระยะ ยิ่งนานเข้า ถังเย่าหรงก็ยิ่งหงุดหงิด ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสิ่งใด “ตงฟางหย่งหมิง อย่าล้อข้าเล่น รีบเอาจริงเสียที” “ศิษย์พี่ถัง ข้าก็เอาจริงอยู่นี่” ข้าชักจะไม่เข้าใจ แค่เพียงหลบหลีกหมัดของนางได้ ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่เอาจริง ถังเย่าหรงหรี่ตาลง มองเท้าข้างที่บาดเจ็บของข้า พลันยิ้มชั่วร้าย แย่ละสิ นางเห็นจุดอ่อนของข้าแล้ว! จากท่าร่างที่เน้นฝ่ามือ นางเริ่มใช้เท้า กลิ่นหอมจากร่างกายของนางปั่นป่วนจนข้าเริ่มดวงตาพร่าเลือน แล้วก็พลันมองเห็นอะไรบางอย่างตรงคอของนาง ข้าพลิกกายขยับหนี ถังเย่าหรงใช้ท่าร่างไล่กวดตาม ข้าแสร้งทำให้เท้าข้างหนึ่งลื่นบนแอ่งน้ำในลานประลอง นั่งกางขาราบไปกับพื้นน้ำ หว่างขาเย็นเยียบ ถังเย่าหรงก้มลงจู่โจมเท้าของข้า เพียงพริบตาข้าก็ดีดตัวขึ้น ตวัดขาไปที่ท้ายทอยของถังเย่าหรง ผัวะ! กลิ่นหอมเจือจาง ถังเย่าหรงเบิกตากว้าง หนังกำพร้าลอกล่อนจนเผยใบหน้าเนียนใสอีกครั้งแล้วล้มลงข้างกายข้า หมดสติไปในที่สุด “ฉลาดขึ้นแล้วนี่ หย่งหมิงรู้จักหลอกลวงผู้อื่นแล้ว” อาจารย์เอ่ยยิ้มๆ พลางคีบปลาใส่ในจานให้ข้า “กินปลาเยอะๆ เจ้าจะได้ฉลาดยิ่งขึ้น” “อาจารย์ ท่านไม่ต้องหวังดีกับข้าขนาดนี้ก็ได้” ข้าซึ้งจนน้ำตาไหล มองเท้าข้างที่พันผ้าพันแผลจนกลายเป็นก้อนกลมที่พาดอยู่บนม้านั่ง “ไม่ได้ๆ หย่งหมิงต้องกินเยอะๆ อาจารย์จะได้วางใจ” “ถ้าอย่างนั้นข้าขอกินขาหมู” ข้าเอื้อมตะเกียบไปยังขาหมูที่ถูกอบจนนุ่ม เพียงแค่สะกิดหนังของมันน้ำแกงด้านในก็ไหลทะลัก กลิ่นหอมฟุ้งยั่วยวนเสียจนท้องไส้ปั่นป่วน เพียะ! “ห้ามกิน เจ้าเจ็บเท้าอยู่ กินขาหมูไม่ได้” อาจารย์เอาตะเกียบมาขวางตะเกียบข้า น้ำแกงและหนังหมูอันน้อยนิดกระเด็นมาโดนจมูกของข้าอย่างแม่นยำ แบบนี้ฆ่าข้าเถอะ “อาจารย์... ขอคำเดียว” ข้าอ้อนวอน อาจารย์ถลึงตาใส่ “มีหนึ่งย่อมมีสอง สู้ไม่ต้องกินเสียดีกว่า” ข้าทำปากเบะ อยากจะร่ำไห้ “แล้วผู้ใดบอกให้ท่านทำขาหมูให้กิน” “เจ้า” “เช่นนั้นข้าก็มีสิทธิ์” “เท้าของเจ้าจะมีปัญหาเอาได้ กินของมันมากๆ ไม่ดี จริงไหมอี้หลิง เอ้า กินให้มาก เผื่อหย่งหมิงมันด้วย” อาจารย์ใช้ตะเกียบแซะขาหมูแล้วคีบใส่จานของอี้หลิง ในใจของข้าหวีดร้อง ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น ขาหมูฉ่ำน้ำแกงสีออกน้ำตาลนิดๆ ก่อนอบนำไปย่างไฟจนเกรียมเล็กน้อย กลิ่นเครื่องแกงหอมอบอวลกระตุกต่อมน้ำตาของข้าจวนเจียนจะขาดใจ “ขอบคุณผู้อาวุโส” อี้หลิงก้มหน้ารับ ยกมุมปากน้อยๆ คนผู้นี้แม้อาจารย์ปู่จะรับไว้ ทว่าเขาก็ไม่เรียกอาจารย์ข้าว่าศิษย์พี่ อาจารย์กับอาจารย์ปู่ก็มิได้ใส่ใจ คล้ายกับรู้ดีว่าคนผู้นี้ไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่นอน ขาหมูสีเข้มถูกอี้หลิงค่อยๆ ใช้ตะเกียบแยกมันกับเนื้อออกจากกัน จากนั้นชิ้นเนื้อก็ถูกคนผู้นั้นคีบเข้าปาก ละเลียดกินอย่างช้าๆ ก่อนจะเลียริมฝีปากอันมันแผล็บแล้วยิ้มเยาะข้า หนังหมูกองอยู่มุมหนึ่งของชาม บัดซบ! ของโปรดของข้า!!! [1] อิงฮวา ดอกซากุระ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม