“อุ๊ย! พี่ธี ระวังสิคะ” เธอเซเล็กน้อยเมื่อเขาทิ้งน้ำหนักตัวลงมาทาบทับ แถมยังโอบเอวบางของเธอไม่ยอมห่าง
“ขอโทษครับ ขาไม่มีแรง” ธีรัชอมยิ้มที่ได้โอบกอดหญิงสาว แต่เจ้าหล่อนไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดไปว่าธีรัชไม่มีแรงจริงๆ
“พี่ธีหิวหรือยังคะ” เธอพาเขาออกมานอนพักครู่ใหญ่ก็เอ่ยถาม
“นิดหน่อยครับ”
“อาหารโรงพยาบาลมาพอดีเลยค่ะ” แม่บ้านเข้ามาแจกจ่ายอาหารให้ผู้ป่วย ธีรัชมองอาหารแล้วเบือนหน้าหนี
“อยากกินฝีมือลดา”
“วันนี้ลดาไม่ได้กลับไปทำอาหารให้ เอาไว้เป็นพรุ่งนี้นะคะ” เธอรีบพูด เอาใจ
“พี่ไม่ได้อยากรบกวนให้ลดาไปทำอาหารมาให้พี่นะครับ แค่พี่อยากกินฝีมือของลดาเลยพูดออกมาเท่านั้น”
“ค่ะ” ลดารับคำยิ้มให้เขา ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ ที่เขามองอาหารตรงหน้าแล้วมองหน้าเธอ
“ทำไมเหรอคะ”
“แขนพี่ไม่มีแรงครับ”
“จะให้ป้อนอีกเหรอคะ” เธอถามตรงๆ
“ครับ” ธีรัชเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาก็ยอมรับมันออกมาตรงๆ เช่นกัน ลดาค่อยๆ บรรจงป้อนอาหารให้คนป่วย เขาอ้าปากรับ กินอาหารอย่างมีความสุข ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนเธอต้องเอ่ยถาม
“สงสัยว่าพี่ธีจะเป็นคนป่วยที่อารมณ์ดีมากๆ คนหนึ่งเลยนะคะ”
“ถึงจะป่วยแต่ใจมีความสุข ได้เห็นหน้าลดาแล้วพี่รู้สึกว่าอยากจะยิ้มให้กว้างๆ” ได้ยินธีรัชพูดแบบนั้นลดาก็เขินอายอย่างบอกไม่ถูก
“หมดชามพอดีเลยค่ะ พี่ธีเจริญอาหารจังเลยนะคะ” เธอเปลี่ยนรีบเรื่อง รีบเข็นภาชนะออกไปจากเตียงคนป่วย ธีรัชยิ้มกว้างที่เห็นอาการขัดเขินของเธอ
ลดาอยู่คอยดูแลธีรัชจนชายหนุ่มออกจากโรงพยาบาล เขาหายเป็นปกติ และตื่นเต้นที่บิดามารดาพาเถ้าแก่ไปทาบทามสู่ขอผู้หญิงที่อยู่ในหัวใจของเขาเรื่อยมา
พิธีแต่งงานอย่างเรียบง่ายถูกจัดขึ้นที่บ้านสวนของคุณยายจิตร เจ้าบ่าวแห่ขบวนขันหมากมายังบ้านเจ้าสาวพร้อมด้วยขบวนกลองยาวที่ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน ลดาแอบชะโงกหน้าไปดูขบวนขันหมากของธีรัชแล้วอมยิ้ม
ธีรัชต้องผ่านประตูเงินประตูทองจากน้องสาวและเพื่อนๆ ของน้องสาว กว่าจะเข้าไปถึงตัวเจ้าสาวได้ ทั้งสองทำพิธีทำบุญตักบาตรในตอนเช้า พิธีหมั้นและแต่งงานจัดขึ้นพร้อมกันในวันเดียว ซึ่งมีการนับสินสอด รดน้ำสังข์ และกินเลี้ยงในช่วงกลางวันไปจนถึงช่วงค่ำ
หนุ่มๆ ที่มารุมจีบลดามาร่วมงานเพื่อแสดงความยินดีกับหญิงสาวด้วย ยกเว้นศักดิ์ชายที่ฝากซองมา เพื่อนทั้งสามของธีรัชต่างอวยพรให้เพื่อนมีความสุข แม้จะเสียดายอยู่มากที่จีบลดาไม่สำเร็จ แต่ก็ยินดีที่เห็นหญิงสาวมีความสุขกับผู้ชายที่รักมานานอย่างเพื่อนของตน
เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินทักทายแขกเหรื่อ ต้อนรับญาติๆ ที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ก่อนที่ในช่วงค่ำจะเป็นพิธีส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าห้องหอ
ญาติผู้ใหญ่ต่างอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีความสุข รักกันจนแก่เฒ่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน สิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือขอให้มีลูกสืบสกุลเร็วๆ พอญาติผู้ใหญ่ออกไปจากห้องหอแล้ว ธีรัชก็ประคองร่างของเจ้าสาวขึ้นจากพื้นเพราะเมื่อครู่ต่างนั่งพับเพียงรับพรจากผู้ใหญ่เพื่อจะได้กราบได้สะดวก
“อุ๊ย!” ลดาอุทานเมื่อร่างของเธอเซน้อยๆ รู้สึกเหมือนเหน็บจะกิน
“เป็นอะไรครับ เหนื่อยเหรอ” ธีรัชเอ่ยถามเจ้าสาวคนสวย
“เหน็บกินน่ะค่ะ แล้วก็เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ” เป็นธรรมดาที่จะเหนื่อยเพราะเธอต้องตื่นแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่หัวรุ่ง
“เดี๋ยวพี่นวดให้นะ” เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของเธอ เมื่อกดเธอให้นั่งตรงขอบเตียงเรียบร้อยแล้ว
“อุ๊ย! ไม่ต้องค่ะพี่ธี”
“พี่นวดให้ จะได้หายชา” เขาจับข้อเท้าเล็กๆ ของเธอไปนวดจนเธอรู้สึกผ่อนคลาย ลดามองธีรัชนิ่งก่อนจะเผลออมยิ้มในความน่ารักนั้นของเขา
“ดีขึ้นหรือยัง” เขาเงยหน้าขึ้นถาม
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” เธอตอบเสียงสั่นเล็กน้อยเพราะมือของเขานวดอยู่ที่ขาและเท้าของเธอ ทำให้รู้สึกวาบหวามไม่น้อย
“อาบน้ำกันดีกว่า” เขาไล้ขาของเธอเบาๆ คนฟังหน้าแดงเมื่อคิดว่าเขากำลังจะชวนไปอาบน้ำด้วยกัน
“พี่ธีอาบก่อนก็ได้ค่ะ” คนพูดหน้าร้อนผ่าว
“อาบพร้อมกันไหม” เขาชวนทีเล่นทีจริง แต่ชวนจริงๆ ยังไล้ขาของเธอเล่นไม่หยุดมือ
“น่าอายจะตายไป”
“ลองดู น่าตื่นเต้นดีออกพี่ว่า” ธีรัชลุกมานั่งข้างๆ เธอ ไล้มือและแขนของเธอเล่น “ไม่อยากลองเหรอ อยู่กันสองคนไม่มีใครเห็นหรอกครับ” ธีรัชกระซิบถามอยู่ตรงริมหู เขาหอมแก้มเธอซ้ำๆ ดึงเธอมากอด ไล้สีข้างของเธอไปมา
“อาบก็ได้ค่ะ” เธอตอบกลับไปเสียงสั่นพร่า ใบหน้าร้อนผ่าวแดงก่ำเหลือกำลัง
“เดี๋ยวพี่รูปซิปทางด้านหลังให้นะ” เขากระซิบอยู่ตรงริมหู ลดาก้มมองมือตัวเองอย่างเขินๆ ใจสั่นระริกขณะหันหลังให้เขารูดซิปชุดแต่งงานให้
“กลัวพี่หรือเปล่า”
“กลัวค่ะ” พอเธอตอบแบบนั้น เขาก็หัวเราะเบาๆ
“พี่ไม่ใช่ยักษ์นะครับ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นยักษ์เสียหน่อยค่ะ”
“ครั้งแรกจะทำเบาๆ พี่จะถนอม” เขารูดซิปชุดแต่งงานลงไปค้างอยู่ตรง เอวคอด ขยับเข้ามากระซิบอยู่ตรงริมหูเบาๆ ปลดชุดเจ้าสาวของเธอลงไปจากร่างบอบบาง ลดารู้สึกขนลุกซู่ ตัวเธอสั่นจนเขาสัมผัสได้
ธีรัชขยับเข้ามากอดเธออย่างอ่อนโยน มือหนากอบกุมปทุมถันอวบอิ่มของเธอเอาไว้ เขาเคล้นคลึงเบาๆ สัมผัสของเขาทำให้เธอหลุดเสียงครางออกมาด้วยความรัญจวนใจ
“ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับพี่นะครับ เรื่องธรรมชาติไม่ต้องกลัวหรอก” เขารู้ว่าเธอถูกเลี้ยงมาเช่นไร ลดาเป็นคนรักนวลสงวนตัวและครอบครัวก็ค่อนข้างหัวโบราณ
“ไปอาบน้ำกันนะ” เขาปลดชุดเจ้าสาวของเธอออกไปจากตัว เรือนร่างที่เปลือยเปล่าล่อนจ้อนทำให้เขาทอดสายตามองผิวผุดผ่องของเธอไม่วางตา
ลดามองเจ้าบ่าวของเธอปลดเสื้อผ้าออกจากเรือนร่างด้วยสายตาที่ขัดเขินอยู่มาก นี่เป็นครั้งแรกที่ลดาได้มองผู้ชายเปลือยกายต่อหน้า เธออยากจะเบือนหน้าหนีแต่ทำไม่ได้ รูปร่างแข็งแรงของเขาที่แตกต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง ทำให้เธอมองเขานิ่งเหมือนต้องมนตร์สะกด
“ก่อนอาบน้ำต้องทำอะไรก่อนไหม” เขาเอ่ยถาม เธอกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าตัวเองกำลังใบ้กิน พยายามนึกว่าต้องทำอะไร
“ว่าไงครับ” เขาถามซ้ำอีกครั้ง มือหนาลูบไล้ไปตามแขนเปลือย ลดารู้สึกว่าขนของเธอลุกซู่ขึ้นมาในทันที
“เช็ดหน้าก่อนค่ะ” เธอรีบตอบเมื่อตั้งสติได้ ธีรัชถึงกับกดยิ้มมุมปาก
“ยิ้มอะไรคะพี่ธี”
“ยิ้มเอ็นดูคนขี้อาย” เขาขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ขณะที่เธอเบี่ยงหลบอย่างเขินอายจริงๆ
“อย่าแกล้งล้อกันสิคะ ให้มาแก้ผ้าต่อหน้าแบบนี้ถ้าไม่อายสิคะแปลก”
ลดาก้มงุดมองแค่มือตัวเองนิ่ง
“พี่เช็ดเครื่องสำอางให้นะ” เขาเดินไปหยิบมาอย่างคล่องแคล่วเพราะก่อนหน้านี้ต้องย้ายข้าวของของมาไว้ด้วยกัน เขาก็แอบสำรวจว่าเธอมีข้าวของอะไรบ้าง
“พี่ธีรู้ได้ไงคะว่าต้องใช้ตัวนี้เช็ดเครื่องสำอาง”
“วันก่อนพี่ถาม ลดาก็บอกพี่ว่ามีเครื่องสำอางอะไรบ้าง”
“อ้อ... ลดาลืมค่ะ พี่ธีความจำแม่นจังเลย”
“สำหรับผู้หญิงที่รักพี่ก็จำแม่นทุกอย่างละครับ”
“อย่ามาปากหวานนะคะ” เธอพูดอย่างเขินอาย
“หลับตาสิครับคนดี พี่จะเช็ดเครื่องสำอางให้” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นเธอก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย ธีรัชยิ้มอ่อนโยนค่อยๆ เช็ดเครื่องสำอางให้เธออย่างเบามือ
“เรียบร้อยแล้วครับ” เขาเช็ดจนสำลีสะอาดไม่มีคราบเครื่องสำอางติดอยู่อีก
“คราวนี้ก็แกะผม”
“เราจะแก้ผ้าโล่งโจ้งกันแบบนี้เหรอคะ” เธออยากหาเสื้อคลุมมาสวมใส่เพราะโดนเขาปลดเสื้อผ้าออกจากกายไปหมดแล้ว เขาเองก็กำลังเปลือยเปล่า ต่อหน้าของเธอ
“แบบนี้แหละครับ จะได้ชิน”
“พี่ธีชินคนเดียวสิคะ ลดาไม่เห็นชินด้วยเสียหน่อย”
“เดี๋ยวก็ชิน เชื่อพี่สิ” เขาแกะผมให้เธออย่างเบามือ ก่อนจะสางให้
“ไปอาบน้ำกันดีกว่า”
“อุ๊ย! พี่ธี” เธออุทานเมื่อโดนอุ้มตัวลอยขึ้นสู่อ้อมแขนแกร่ง รีบกอดคอหนาของเขาเอาไว้แน่น
“ต่อจากนี้ไปต้องอาบน้ำกับพี่ทุกวันนะ”