วสินชายหนุ่มวัย 35 เป็นเหมือนพี่ชายคนสนิท เป็นผู้ช่วย บอร์ดี้การ์ด เป็นพี่เลี้ยงของแสงฉาย ตั้งแต่ครั้งมารดาของแสงฉายยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นคนสนิทของทั้งบิดาและมารดามาก่อน พอแสงฉายมารับหน้าที่ดูแลกิจการของมารดา เขาก็ได้รับหน้าที่มาเป็นบอร์ดี้การ์ดให้กับเธอ แต่ก็ถือว่าเป็นพี่เลี้ยงคอยปกป้องรอเธอเข้านอนอย่างปลอดภัย ไม่ว่าภัยจะมาจากทิศทางไหนเขาก็จัดการได้ทั้งสิ้น แต่ทุกวันนี้วสินทำหน้าที่รับมือกับภัยจากครอบครัวใหม่ของบิดาแสงฉายอย่างน่าปวดหัว และคราวนี้เขาไม่รู้ว่าต้องปกป้องเธอจากอะไร แต่รู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย
ขณะที่แสงฉายไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่กลับห่วงชายแปลกหน้าที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ต้องคอยดูแลว่าเขาฟื้นหรือยัง ซึ่งไม่มีทีท่าเลย บางครั้งเธอก็เอามือไปอังที่จมูกเพราะกลัวว่าเขาจะตาย แต่เมื่อยังหายใจอยู่ก็โล่งอก เธอทำเช่นนี้อยู่จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น
“นายหญิงครับ” วสินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบและเบา ขณะที่แสงฉายนั่งบนพื้น
“ว่าไงคะ เรียบร้อยไหม”
“ผมเข้าเมืองไปซื้อเสื้อผ้ามาให้เขา เสื้อผ้าเก่าไม่มีครับเพราะว่าพวกเรามีแต่รูปร่างมาตรฐานคนไทย จะสูงหน่อยก็ผมแต่คิดว่าเขาใส่เสื้อผ้าผมไม่ได้เพราะเขาล่ำบึกกว่ามาก” วสินบอกพร้อมกับวางถุงกระดาษทั้งหมดลงที่พื้น
“ก็ไม่เป็นไรค่ะ แล้วมีใครสงสัยอะไรไหมคะ” เธอถามด้วยความเป็นห่วง
“ยังครับ อาจจะยังนะ แต่หลังจากนี้ไม่รู้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ทานอะไรแล้วหรือยังครับ”
“แม่บ้านน่าจะทำอะไรไว้ในครัวแล้วล่ะ แต่ยังไม่หิว พี่ศินไปพักผ่อนเถอะ”
“คืนนี้ขอนอนข้างล่างนะครับเผื่อมีอะไรให้ช่วย เดี๋ยวนอนที่โซฟาก็ได้”
“ลำบากเปล่าๆ ไปนอนที่บ้านดีกว่าค่ะ”
“ไม่ได้สิ หากเจ้าหนุ่มคนนี้ฟื้นกลางดึก แล้วมีอะไรให้ช่วย ตะโกนเรียกหรือโทรไปผมก็อาจจะไม่ตื่นนะครับ”
“เฮ้อ ก็ได้ค่ะ งั้นก็ตามสบายนะคะ เครื่องนอนอยู่ในตู้ค่ะหยิบเอาเลย”
“โอเคครับ ผมไปจัดการธุระส่วนตัวก่อนดีกว่า แล้วจะกลับมานะครับ ถ้าหิวก็หาอะไรทานซะนะครับนาย”
“ค่ะ ไม่ต้องห่วงแสงหรอก” ปากก็พูดไม่ให้เธอห่วง แต่เธอเป็นเจ้านายนี่นะ จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร
“ครับผม ขอตัวครับ” ว่าแล้วเขาก็เดินไปเปิดตู้อีกใบ ซึ่งเอาไว้เก็บเครื่องนอน เขาหยิบผ้าห่มและหมอนจากนั้นจึงออกไปจากห้อง พร้อมกับปิดล็อคประตูให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัย ส่วนแสงฉายก็เดินไปปิดหน้าต่างที่เป็นกระจกทั้งหมด พร้อมกับปิดผ้าม่าน แล้วกลับมารื้อค้นถุงเสื้อผ้าที่วสินนำมาให้ไปเข้าตู้เอาไว้ จากนั้นจึงกลับมานั่งตรงขอบที่นอนอีกครั้ง เพื่อดูอาการของชายแปลกหน้าที่ยังคงไม่ได้สติ ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวแต่อย่างใด เธอจึงเอามือแตะที่อกเปลือยข้างซ้ายของเขาอีกครั้ง เพื่อจับสังเกตว่าหัวใจเต้นอยู่หรือไม่ พอปกติก็เบาใจ
“ห้ามตายบนบ้านฉันนะ คุณต้องฟื้น และบอกฉันว่าคุณคือใคร ฉันจะได้ส่งคุณกลับถูก” แสงฉายเอ่ยกับร่างที่หมดสติพลางถอนใจ นึกสงสารและเป็นห่วง
“ใครกันที่ใจร้ายทำคุณได้ลงคอ หรือว่าคุณเป็นคนร้ายที่หนีตายมานะ ถ้าเป็นอย่างหลังคุณได้เจอกับตำรวจแน่” เธอเอ่ยลอยๆ อีกครั้ง ก่อนจะจับผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าอกให้กับชายหนุ่ม จากนั้นเธอจึงไปจัดการธุระของตัวเอง ทำทุกอย่างให้เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะเดียวกันวสินก็มานอนเป็นเพื่อน เผื่อว่าเธอต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน อีกอย่างเขาไม่ไว้ใจที่มาที่ไปของชายหนุ่มคนนั้น
จวบจนกระทั่ง เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แสงฉายหลับบนโซฟาด้วยความอ่อนเพลียจากการทำงาน เธอหลับยาวจนถึงวันรุ่งขึ้นเลยทีเดียว ขณะที่คนตัวโตหลับหมดสติตลอดทั้งคืนก็เริ่มจะขยับตัว พร้อมกับเปลือกตาอันหนักอึ้งที่เบิกขึ้นทีละนิด ก่อนจะกระพริบถี่ๆ เพื่อไล่แสงจ้าภายในห้อง หลังจากที่ไม่ได้ลืมตาเสียนาน
ดวงตาคมกริบสีฟ้าน้ำทะเลค่อยๆ มองบนเพดานห้อง ซึ่งคล้ายรีสอร์ต เพดานเหมือนใช้ไม้เส้นเล็กๆ สานจนเป็นแผ่นขนาดใหญ่แล้วนำขึ้นไปติดเอาไว้ มีผ้าสีขาวบางพลิ้วพาดไปมาเพื่อประดับตกแต่ง ภายในห้องโปล่งสบาย ประตูหน้าต่างเปิดโล่ง มีเพียงผ้าม่านสีขาวแบบบางและแบบหนา สองชั้นปิดบังเอาไว้ปลิวไสวโต้ลมที่พัดผ่านเข้ามาจนถึงที่นอน ชายหนุ่มลุกไม่ไหวได้แต่เกลือกกลิ้งดวงตาไปมา เขาเหมือนอยู่ในความฝัน ทุกอย่างดูนวลตาอบอุ่นไปหมด
“อืม” ชายหนุ่มครางในลำคอ และเมื่อเริ่มขยับตัวก็ปวดระบมไปทั้งหมด พอลุกไม่ได้จึงพยายามมองว่าภายในห้องมีใครหรือไม่ และพบว่าที่โซฟากว้างมีหญิงสาว นอนหลับใหลอยู่ ชายหนุ่มเพ็งพินิจว่าเธอเป็นใคร แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือว่า เขาตายแล้วหรือเปล่า
เขาคิด และพยายามขยับตัว แต่จังหวะเดียวกันนั้นแสงฉายก็ขยับตัวตื่นอัตโนมัติเพราะเป็นเวลาตื่นพอดี และตามสัญชาติญาณเธอก็ผงกศีรษะขึ้นดูคนบนที่นอน แต่แล้วก็ต้องดีใจเมื่อเห็นว่าเขารู้สึกตัวลืมตาแล้ว เธอจึงลุกไปหาทันที จังหวะเดียวกันนั้น เขาก็ต้องนอนตกตะลึกพรึงเพริด อีกทั้งยังคงเมาขี้ตา อ่อนเพลีย
ไร้เรี่ยวแรง ในห้องยังนวลไปด้วยผ้าม่านสีขาว แล้วเธอที่เดินมาก็เหมือนกับนางฟ้าสวยมาก สวยเหลือเกินจนเขาอึ้ง ได้แต่บอกตัวเองว่าตายแล้ว เขาตายแล้วแน่ๆ ถึงได้เห็นนางฟ้า ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาก๊วยสีฟ้า ผมสีน้ำตาลเข้มปล่อยสลายปลิวไปตามแรงลม ให้ตายสิ
“สวัสดีค่ะ คุณเอ่อ รู้สึกตัวแล้วเป็นยังไงบ้างคะ จำอะไรได้ไหม” แสงฉายถามด้วยภาษาอังกฤษชัดเจน ฉะฉาน เขาก็ได้แต่อึ้งชั่วครู่ พยักหน้าเล็กน้อยเพราะยังอึ้งอยู่ และมองเธอไม่วางตาเลยทีเดียว
“ท่าทางคงจะบอบช้ำอยู่มาก เอาเป็นว่า เราค่อยคุยกันเรื่องอื่นก็แล้วกันนะคะ” แสงฉายไม่อยากเซ้าซี้คนอ่อนแอนัก ฉะนั้นก็ต้องรอเวลา
“ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่กระซิบแผ่วเบา ผ่านริมฝีปาก แทบจะไม่ได้ยิน จนเธอต้องเอียงหูฟังและอ่านปากของเขา
“ขอบคุณครับ” เขาบอกอีกครั้งซึ่งเธอก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอบอกและยิ้มอีกครั้ง
“คุณเป็นใคร แล้วผมตายหรือยัง เอ่อ ผม... อยู่ที่ไหน บนสวรรค์เหรอ” ขนาดไม่มีแรงแต่ก็ยังอยากจะถามเยอะแยะ เธอคิด
“คุณยังไม่ตาย ไม่ได้อยู่บนสวรรค์ แต่คุณอยู่บ้านฉัน ไม่ต้องห่วงนะคุณปลอดภัยแล้ว” เธอบอก เขาจึงพยักหน้าอีกครั้ง
“ตอนนี้คุณต้องพักรักษาตัวให้หายดีก่อน ฉันเพิ่งให้หมอมาตรวจร่างกายเมื่อเช้า มียาทานและยาเอาไว้ทา คุณต้องทำตามอย่างเคร่งครัด จะได้หายเร็วๆ”
“คุณดีกับผมมาก” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม
“ก็ถ้าฉันได้ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นใคร
มากจากไหน แล้วเกิดอะไรขึ้น ได้แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลาคุณจะเล่าให้ฉันฟังบ้าง
ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนะคะ”
“แน่นอนครับ แต่ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดีที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ มันเป็นจิตสำนึกขั้นพื้นฐาน เมื่อเราเห็นใครสักคนได้รับความเดือดร้อน หรือกำลังจะตายไปต่อหน้า เราก็ต้องช่วย”
“คุณช่วยโดยที่ไม่รู้ว่าผมเป็นใครด้วยซ้ำ”
“ก็หวังว่าคุณคงจะไม่ใช่โจร เมื่อหายดีแล้วจะไม่แว้งมาปล้นฆ่าฉันหรอกนะคะ” เธอบอกตรงๆ เพราะหวั่นใจอยู่ไม่น้อย
“หึๆ ผมเหมือนโจรเหรอ” เขาหัวเราะทั้งที่ไม่มีเรี่ยวแรง
“บางที โจรก็มาใสคราบผู้ชายหน้าตาดี” นี่เธอกำลังชมเขาสินะว่าหน้าตาดี
“ผมไม่หักหลังผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตผมได้ลงคอหรอก โดยเฉพาะกับคุณ”
“คุณยังไม่รู้จักฉันเลย และฉันก็ยังไม่รู้จักคุณ”
“ผม... เอ่อ” เขากำลังจะบอกชื่อ ทว่ายั้งปากเอาไว้ทัน จากนั้นก็คิดชื่อใหม่แบบปัจจุบันทันด่วน เพราะไม่อยากจะบอกอะไรตอนนี้ ต้องระวังตัวเองกลัวคนพวกนั้นจะตามหาเจอ อย่างน้อยการไม่มีชื่อเจสันอยู่ที่นี่เลยมันก็จะดีกว่า
“คุณจำอะไรได้ไหมคะ” เธอถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นเขาครุ่นคิด ขมวดคิ้ว
“เอ่อ ผม... เจรัลด์ แบล็ค เรียกว่าเจอร์รี่ก็ได้ครับ” เขาบอก พอเธอฟังดังนั้นจึงยิ้มหวาน เพราะรู้สึกว่าชื่อของเขาเท่ไม่หยอก
“เจอร์รี่เหรอคะ ฉันแสงฉายค่ะ เรียกแสงเฉยๆ ก็ได้ แต่อาจจะเรียกยากสักหน่อย” เธอรู้ว่าเวลาฝรั่งเรียกชื่อเธอมันจะออกซานชายประมาณนั้น
“แสงฉาย... แสงฉาย sunshine ได้ไหม มันออกเสียงได้แบบนี้ ชื่อคุณเรียกยากจัง”
“ใช่ค่ะ เอาตามสะดวกก็แล้วกันค่ะ เอาล่ะ ฉันชวนคุยมากเกินไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค ผมอยากลุกนั่ง คุณพยุงได้ไหม” เมื่อเขาพูดจบ เธอก็เข้าไปพยุงเขาให้นั่ง โดยให้พิงหมอนสองใบแทน
“ไม่อยากพักหรือไม่อยากได้อาหารเหรอคะ”
“คุณดีกับผมจังเลย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียอีกครั้ง
“ฉันอาจจะไม่ใช่คนดีก็ได้ แต่แค่มีน้ำใจ อืม คุณทานอะไรได้คะ อาหารไทยนะ อาหารฝรั่งฉันไม่ถนัดหรอก”
“โจ๊กอุ่นๆ ก็ได้ครับ แต่ว่า อย่าเพิ่งให้ผมอยู่คนเดียวได้ไหม ไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้”
“ฉันจะลงไปสั่งแม่บ้าน อีกอย่างจะทานยาก็ต้องทานอาหารก่อน เดี๋ยวเข้ามาค่ะ”
“ก็ได้ครับ ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยและยิ้มอย่างอ่อนเพลีย แต่จังหวะเดียวกันนั้นประตูก็ถูกเคาะพอดี