บทที่ 1.2

1082 คำ
ผมเข้าไปประชิดตัวเอื้องขวัญได้สำเร็จ อีกครั้งที่ผมเห็นถึงความต่างของส่วนสูงระหว่างเรา ผมสูงร้อยแปดสิบกว่า ๆ ส่วนยัยนี่...น่าจะร้อยหกสิบต้น ๆ เตี้ยม่อต้อดีจังเลย กะทัดรัดน่าพกพา...แต่คงไม่พออิ่มเท่าไหร่ ครืด... ทว่าไม่ทันที่เอื้องขวัญจะทันได้ง้างปากตอบโต้ แรงสั่นเตือนของวัตถุสื่อสารบนหัวเตียงก็ทำให้ยัยนั่นหันขวับกลับไปเหมือนเจอประตูสวรรค์ และใช่ โทรศัพท์มือถือดังกล่าวเป็นของเอื้องขวัญเองนั่นล่ะ ก่อนหน้านี้ผมเสียมารยาทเอาออกมาดู เบอร์ที่ยัยนั่นเมมเอาไว้มีแค่สามเบอร์ หนึ่ง...เบอร์ตำรวจ สอง...เบอร์โรงพยาบาล สาม...เบอร์ของไอ้เวรตัวหนึ่งที่ชื่อตะวัน อาทิตย์ก่อนผมให้ลูกน้องตามสืบจนรู้ว่าไอ้ห่าตะวันเป็นผู้จัดการร้านอาหารกึ่งผับที่เธอทำงานอยู่ เห็นว่ากำลังกุ๊กกิ๊กกันด้วย ท่าทางมีฐานะ เป็นคนใจดี อบอุ่น มีความเป็นผู้ใหญ่ แล้วเชื่อเหอะว่าไอ้คนที่โทรเข้ามาต้องเป็นมัน เซนส์ผมแรง พลั่ก! หมับ เอื้องขวัญผลักอกผมอย่างแรงหมายจะวิ่งไปรับโทรศัพท์ แต่ผมใช้ท่อนแขนข้างหนึ่งล็อกไหล่ยัยนั่นเอาไว้ ก่อนกระซิบข้างหูเป็นเชิงข่มขู่ “ที่นี่เป็นเขตของฉัน...ถ้าเธอทำตามใจตัวเอง อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” มากกว่าคำว่าบ้า มากกว่าคำว่าเอาแต่ใจ และมากกว่าคำว่าสารเลว...ผมเป็นได้ทั้งหมด “คิดว่าฉันจะฟังคำขู่ของแกเหรอ!” เอื้องขวัญดิ้น ไม่สนใจว่าผมจะพูดยังไง แหม...เมื่อก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม แปะ... “เชื่อฟังกันหน่อยคนดี... ” ขณะพูด มือข้างหนึ่งของผมก็แปะลงที่ขาอ่อนของร่างบาง ลากไปด้านหน้าจนเกือบถึงจุดกึ่งกลางของร่างกาย “จำไม่ได้เหรอว่าเวลาที่ฉันโกรธ ฉันจะปล้ำ...” “...อ๊ะ” “ถ้าไม่อยากโดนกระแทกจนจุกลุกไม่ไหว ก็ฟังที่พูดสักนิดนะครับ” End Describe. คำขู่ของเขามันเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ ฉันตัวสั่นและเกร็งสะท้านไปในเวลาเดียวกันที่เขาใช้ปลายนิ้วแข็งกระด้างลูบไล้ขาอ่อนด้านในซึ่งใกล้กับจุดกึ่งกลางของร่างกาย มันให้ความรู้สึกหมิ่นเหม่ น่ากลัว และทำให้ฉันหายใจไม่ออก สิ่งที่เตโชเคยทำในอดีต...การถูกเขาข่มเหงในครั้งนั้นทำให้ฉันกลายเป็นคนกลัวเซ็กซ์ ฉันเคยดูซีรีย์ต่างชาติ แค่พระนางจูบกัน มีอะไรกันใต้ผ้าห่ม มองไม่เห็นเนื้อตัวเปล่าเปลือยฉันก็ยังหวาดผวาจนร้องไห้ เตโชทำให้ฉันเป็นแบบนี้ มันทำให้ฉันเป็นแบบนี้ มันคนเดียว... “ยะ หยุดนะ!” ฉันตวาดเสียงสั่นและพยายามเอามือของมันออกจากร่างกายของตัวเอง ทว่าเตโชกลับใช้ลมหายใจร้อนผ่าวและน้ำเสียงแหบพร่ากระซิบข้างหู “เชื่อฟังคำสั่งฉันสิเด็กดี ไม่งั้นปล้ำนะ...” เชื่อเถอะว่าต่อให้เขาใช้น้ำเสียงชวนระทดระทวย แต่ฉันคนนี้รู้ดีที่สุดว่าสันดานของมันเป็นยังไง “ทำไมฉันต้องฟังคำสั่งแก ฉันไม่ใช่ทาส...อ๊ะ” ฉันทำท่าจะตอบโต้เพราะไม่อยากให้ตัวเองดูน่าสมเพช รู้ว่ามันได้เปรียบกว่า แต่มันก็ได้เปรียบฉันมาตั้งนานแล้ว ฉันจะสู้เพื่อตัวเองบ้างไม่ได้เหรอ ทว่าก่อนฉันจะพูดจบประโยค เตโชก็ใช้ข้อนิ้วแข็ง ๆ ซึ่งสวมแหวนเงินทรงประหลาดลากมาแตะบริเวณจุดอ่อนไหวของร่างกาย ทำท่าจะดันมันเข้าไปข้างใน...ในขณะที่ฉันหนีบขาเอาไว้ไม่ให้มันทำตามอำเภอใจ “ปากดีเหมือนเดิม แล้วตรงอื่นยังดีไหม ตรวจสอบหน่อยสิ” “เตโช! ไม่เอา...ไอ้...” ฉันสะอึกสะอื้นเหมือนคนบ้าเมื่อบางสิ่งพยายามจะตรวจสอบร่างกายของฉันอย่างที่ปากว่า สัมผัสของมันยังดิบเถื่อนและหยาบคาย ซึ่งนั่นตอกย้ำภาพในวันวานจนฉันต้องกัดริมฝีปากตัวเองจนได้ยินเสียงของเนื้อ กลิ่นเลือดจาง ๆ ปะปนกับน้ำลายของฉัน ตัวฉันสั่นสะท้านจนควบคุมไม่ได้ ไม่เอาแล้วนะ... “เอ๊ะ ชักจะไม่เหมือนเดิมแล้วสิ” เตโชหยุดเคลื่อนไหวนิ้วมือ เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เพื่อสำรวจท่าทางของฉัน น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม รวมถึงท่าทางที่ดูอ่อนแอลงทำให้มันขมวดคิ้ว ทำท่าแปลกใจเสียเต็มประดา ฉันยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ฉันยังเป็นยัยเอื้องขวัญ แต่มัน...ทำให้ฉันเปลี่ยนไป! “...ยะ อย่ามายุ่งกับฉัน อึก” ฉันสำลัก ความรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ยิ่งทำให้ฉันหมดแรง สาบานว่าถ้าฉันหลุดออกไปได้ ฉันจะแจ้งความทั้งเรื่องในอดีตและสิ่งที่เจออยู่ตอนนี้... การข่มขืนเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก และมันต้องตายสถานเดียว... “ร้องไห้เป็นเด็กเลยเอื้องขวัญ น่ารักแปลก ๆ เนอะเราอะ” คำว่าน่ารักของเขา...โคตรน่าขยะแขยงสำหรับฉัน “ฉันจะ...อึก แจ้งตำรวจ...” ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากในครั้งที่ไรหนวดจากปลายคางสากระคายครูดบริเวณหัวไหล่ แถมยังหายใจรดกันซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้นเหมือนกำลังสังเกตการณ์ “ตำรวจทำอะไรฉันไม่ได้ เธอก็รู้” เตโชกระซิบชิดผิวกาย มันทั้งร้อนและเย็นไปในคราวเดียวชวนขนลุก สิ่งที่เขาพูด ไม่ใช่เพราะตำรวจทำอะไรเขาไม่ได้ แต่คนรวย ๆ อย่างเขาใช้เงินปิดปากใครก็ได้ ทำชั่วแค่ไหนก็ไม่มีใครมองเห็น สังคมเน่าเฟะมันก็แบบนี้...เงินสำคัญกว่าความยุติธรรมซะอีก “ฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด แก...” ฉันยังไม่ยอมแพ้ ทว่าก่อนจะทันได้เอ่ยจบ เตโชก็อุ้มฉันด้วยท่อนแขนเพียงข้างเดียวแล้วเดินตรงไปยังเตียงนอนที่ฉันเพิ่งตะเกียกตะกายหนีมาเมื่อสักครู่นี้ “ฮึก ไม่เอา!” เมื่อเห็นเตียง...ฉันก็สะอื้นหนักถึงขั้นยกมือขยุ้มกับหัวไหล่หนาเป็นการระบายความสิ้นหวังที่กัดกินหัวใจ ถ้าต้องเจอแบบนั้นอีก ฉันขอตายดีกว่า แต่น่าสมเพชเหลือเกิน เพราะต่อให้อยากกรอกยา เอามีดมาแทง หรือแขวนคอตัวเองกับราวระเบียง สุดท้ายแล้วฉันก็ยังมีเหตุผลที่ต้องประคองลมหายใจอันไร้ค่านี้ต่อไปอยู่ดี ฉันน่ะ แทบไม่มีทางเลือกเลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม