โรงพยาบาลเอกชนใจกลางเมือง
ตึกผู้ป่วยใน
พอเพียงเดินเข้ามานั่งรอด้านในยังไม่รู้ว่าจะหาเขาเจอได้ยังไง โรงพยาบาลที่นี่ก็ไม่ใช่เล็กๆ เธอไม่รู้ว่าเขาจะไปตึกไหน นั่งกดดูโทรศัพท์อยู่สักพักจีพีเอสของเขาก็มาปักอยู่ที่โรงพยาบาลเขาเป็นประเภททำอะไรตรงเวลาและมักจะไปไหนมาไหนเวลาเดิมๆ ต่างกับเธอที่แล้วแต่จะคิดได้
เค้าท์เตอร์เซอร์วิส
"ขอโทษนะคะ เคยเห็นผู้ชายคนนี้ไหมคะ"เดินไปเดินมาอยู่สักพักเธอก็ตัดสินใจถามพนักงาน จะให้เดินตามหาทั้งวันก็ตายพอดี
"เออ..ไม่เคยเห็นนะคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะทางเราจะได้เอาข้อมูลไปเช็คให้อีกที"
"คือเขาเป็นสามีฉันน่ะค่ะ ฉันคิดว่าเขาป่วยหนักแต่คงไม่กล้าบอกฉัน ก่อนที่เขาจะเป็นอะไรไปฉันก็แค่อยากรู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไร คือเขารักฉันมากน่ะค่ะก็เลยปิดบังไม่อยากให้ภรรยารู้" พูดขนาดนี้แสดงขนาดนี้ก็เชื่อกันบ้างเถอะ พนักงานงานสาวเริ่มซุบซิบกัน เธอก็เลยตัดสินใจยื่นใบสมรสในโทรศัพท์ให้เธอทั้งสองคนดู
" อ้อ..เดี๋ยวทางเราจะเช็กให้นะคะ ขออนุญาตเช็กจากชื่อนามสกุลนะคะ"พนักงานก้มลงพิมพ์ชื่อคนไข้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แต่ไม่ปรากฏชื่อคนไข้ในระบบ แต่ๆ เดี๋ยวก่อน ทำไมชื่อนี้ถึงปรากฏชื่อเป็นเจ้าของคนไข้เตียงพิเศษ ที่ตึกB6ล่ะ พนักงานสาวมองหน้ากันเลิ่กลั่กจะบอกดีไหม แต่คำตอบมันคือบอกไม่ได้มันเป็นความลับของลูกค้า ในใจลึกๆ ก็กลัวครอบครัวของคุณผู้หญิงจะร้าวฉาน ทำไมสามีถึงไม่ยอมบอกว่ามาโรงพยาบาลทำไม แถมยังเป็นเจ้าของคนไข้ผู้ป่วยวีไอพี ค่าใช้จ่ายสูงหลักหลายล้านมาตลอดสองปี นี่มันลูกค้าเกรดพรีเมี่ยมของโรงพยาบาลเก็บได้เก็บ
"เอ่อ คือไม่พบประวัติคนไข้เข้ามารักษาตัวที่นี่นะคะ"
"อ้อ ค่ะ งั้นก็ขอบคุณมากค่ะ" พอเพียงมองจับพิรุธพนักงานสาว สีหน้าท่าทางออกขนาดนี้โกหกเธอชัวร์ๆ คงเป็นความลับของลูกค้าสินะ ได้..ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้จิบๆ เธอสืบเองก็ได้
เดินไปเดินมาเกือบชั่วโมงก็ยังไม่เจอพอกดดูโทรศัพท์ก็พบว่าเขาออกไปแล้ว ไม่เป็นไรวันนี้ไม่เจอก็ไม่เป็นไรยังเหลือเวลาอีกมาก หรือเธอควรจะถามเขาตรงๆ แต่ถ้าถามตรงๆ เขาก็ต้องรู้เรื่องที่เธอแอบติดตั้งแอปพลิเคชันและแอบตามเขามา มันจะเป็นปัญหาใหญ่ลุกลาม หากมันไม่มีอะไร โอเครอ รอหลักฐานเท่านั้น...
สองวันต่อมา
ณ.โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
พอเพียงยังคงมาตามสืบต่อ เธอเดินตามหาเขาเกือบทุกที่ แต่มีที่หนึ่งที่ไม่เคยไปก็คือตึกB6 ตึกนั้นเป็นตึกคนไข้ระดับวีไอพีพูดง่ายๆ ก็คือสำหรับคนรวยซึ่งเธอคิดว่าเขาไม่น่าจะมาตึกนี้ จากที่ไม่เคยคิดจะเข้าไป วันนี้เธอคงต้องเข้าแล้ว หามาตั้งนานหวังว่าคงไม่มาจบที่ตึกนี้หรอกนะ เพราะถ้ามาตึกนี้จริงๆ ความสงสัยของเธอคงมีต่อ สามีของเธอไม่ได้ร่ำรวยอะไรเขาเป็นเพียงผู้จัดการโรงแรมธรรมดาและเขาก็ไม่น่าจะมีญาติที่รักษาตัวอยู่ตึกนี้ เดินวนไปวนมาจนรอบตึก ถามใครก็ไม่มีใครบอก พนักงานที่นี่เก็บความลับลูกค้าได้ดีเยี่ยม ตอนนี้เธอคลาดกับเขาอีกแล้วเพราะเอาแต่เดินตามหา เหนื่อยไม่ไหว..
พอเพียงตัดสินใจกลับบ้านไปตั้งหลักในจังหวะที่หันหลังเดินกลับก็ไปชนเข้ากับรถเข็นคนป่วย
"อุ้ย! ขะขอโทษค่ะ" ร่างบางรีบถอยออกมาก้มหน้าขอโทษ หญิงสาวที่นั่งอยู่บนรถเข็นเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เธอ รอยยิ้มของเธอสดใสมาก
"ไม่เป็นไรค่ะ คุณเจ็บตรงไหนไหมคะ " เดินชนรถเข็นคงเจ็บน่าดู "คุณพยาบาลคะ ช่วยดูเธอหน่อยนะคะ" พยาบาลสาวยืนจับรถเข็นอยู่ขยับเดินออกมา
"ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องกลัวว่าคุณจะเจ็บ ฉันเดินชนคุณ" คำพูดห่วงใยของหญิงสาวทำให้พอเพียงแปลกใจ และรอยยิ้มสดใสของเธอก็ยังให้ความรู้สึกจริงใจไม่เสแสร้ง
"ฉันไม่เจ็บหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ" หลังจากนั้นพยาบาลสาวก็ค่อยๆ เข็นรถเข็นออกไป หญิงสาวหันมายิ้มโบกมือบ๊ายบายให้กับเธอ
พอเพียงเดินออกมาด้วยความรู้สึกงุนงง เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ปกติเวลาที่เธอเดินชนคนอีกฝ่ายก็มักจะหงุดหงิดหรือไม่ก็อาจจะพูดจาไม่ดีใส่... โอเคอย่างน้อยๆ วันนี้เธอก็ได้เจอเรื่องดีๆ บ้าง
ผ่านมาสองอาทิตย์ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ พอเพียงพยายามสืบอยู่หลายครั้งแต่ก็คลาดกับเขาตลอดไม่รู้ว่าเขารู้แล้วหรือยังไงเขาถึงไม่ได้ไปโรงพยาบาลแล้ว จะห้าวันแล้วที่เขาไม่ได้ไปที่นั่น เธอก็เลยเลิกตาม เหนื่อยมาเกือบทั้งอาทิตย์แถมยังต้องมานั่งปั้นหน้าทำตัวตามปกติทั้งที่ใจมันลุกเป็นไฟอยากจะถามให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ก็กลัวว่าเขาจะรู้ว่าเธอแอบตามเขาไป แล้วมันจะเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากไม่มีอะไร
.......................
"วันอาทิตย์นี้คุณพ่ออยากเจอพี่ตุลย์ คงมีเรื่องอยากจะคุยด้วย" ป๊าของเธอรู้จักกับเขามาก่อนที่เธอจะรู้จักเขาเสียอีก เขากับป๊าสนิทสนมกันแต่เธอก็ไม่รู้ว่ามากแค่ไหน วันแรกที่เธอได้รู้จักเขาก็รู้จักผ่านป๊านี่แหละ วันนั้นเขาเข้ามาคุยงานกับป๊าที่บริษัทและเธอก็ได้เจอเขาแต่ผู้ชายอย่างตุลย์ภพแม้แต่ป๊าก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้
"อาทิตย์ที่จะถึงนี้เลยเหรอ พี่ว่าจะกลับบ้าน" ช่วงนี้เขายุ่งมากไม่รู้อะไรต่ออะไรวุ่นวายไปหมด
"จะกลับบ้าน แล้วทำไมพี่ตุลย์ถึงไม่ชวนเพียงบ้างเลย" เธอเคยเจอคุณลุงกับคุณป้าของเขาเพียงไม่กี่ครั้ง สามีของเธอบอกว่าลุงกับป้าเลี้ยงเขามาตั้งเล็กๆ ชีวิตเขาช่างน่าสงสารต่างจากเธอลิบลับ
"พี่แค่กลับไปเอาของ ก็เลยไม่ได้ชวน" บ้านที่เขาจะกลับคือบ้านจริงๆ ไม่ใช่บ้านที่กรุงเทพ เมื่อก่อนครอบครัวเขาอาศัยอยู่ที่กรุงเทพแต่เมื่อพ่อเขาเสียแม่ก็ย้ายไปอยู่ที่ปราจีนบุรี ที่นั่นเงียบสงบและน่าอยู่มากกว่า ส่วนบ้านที่กรุงเทพก็มีลุงชิดกับป้าน้องคนเก่าคนแก่ของพ่อดูแลบ้านให้ เขาให้ความเคารพลุงกับป้าเหมือนพ่อแม่อีกคน ส่วนตัวเขาก็ไปๆ มาๆ กรุงเทพปราจีนบุรีเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ได้อยู่ที่ไหนเป็นหลักเป็นแหล่งจนกระทั่งแต่งงานก็อยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นหลัก ตั้งแต่แต่งงานมาข้อดีมันก็มีข้อเสียมันก็เยอะหลักๆ เลยคือความเป็นอิสระที่มันหายไป..
"เพียงอยากไปด้วย เปลี่ยนเป็นไปวันเสาร์ไม่ได้เหรอคะวันเสาร์พี่ตุลย์ก็หยุดนี่" เธอก็อยากเปลื่ยนบรรยากาศไปเที่ยวบ้านสามีบ้างก็เท่านั้น
"วันเสาร์นี้พี่ไม่ว่างมีนัดคุยงานกับลูกค้า" งานก็เยอะชีวิตก็โครตรโกลาหลวุ่นวาย ใครมันจะไปสุขสบายเท่าเธอไม่มีอีกแล้ว..
" ทีอย่างนี้แล้วรีบบอกไม่ว่าง พอไปโรงบา..อะ โรงแรมแล้วว่างไปตลอด" อยากจะเอานิ้วจิ้มตาเขาให้บอดจริงๆ อย่าให้จับได้ก็แล้วกัน
"ที่โรงแรมมันเป็นงานของพี่ พี่ก็ต้องว่างไปสิ งั้นก็เอาเป็นว่า ถ้าพี่กลับมาทัน พี่จะแวะเข้าไปก็แล้วกัน บอกป้านิ่มไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อพี่นะ พี่น่าจะไปถึงช่วงเย็น กินข้าวเย็นกันก่อนเลย" พูดแค่นี้ก็น่าจะพอเดาออกว่าเขาสนิทกับครอบครัวของเธอแค่ไหน เขาเข้ากับทุกคนได้ดี..
" ค่ะ" เขาพูดขนาดนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง
หลังจากคุยกันเสร็จสองสามีภรรยาก็เข้าห้องนอน พอเครียดๆ ก็อยากจะผ่อนคลายก็มีแอบสะกิดบ้าง พอได้ลองเริ่มก่อนแล้วความเคอะเขินมันก็น้อยลง เขาถือคติด้านได้อายอด ส่วนอีกคนก็ยังคงทำหน้าที่ของภรรยาได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ถึงจะมีเรื่องให้ขุ่นเคืองหรือน้อยใจบ้าง แต่เธอก็ทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ติดขัด แยกไปคนละส่วนค่ะ จับได้เมื่อไหร่แล้วได้รู้กัน ตอนนี้ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแต่ต่อไปละไม่แน่
.............................
วันอาทิตย์ที่แสนจะวุ่นวายของเจ้าชายชาเย็น
ขับรถไปกลับกรุงเทพปราจีนบุรีมันก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลย กรุงเทพนี่ขึ้นชื่อในเรื่องการจราจรที่รถโคตรจะติด ตอนนี้กลับจากปราจีนมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพเขายังไปไม่ถึงไหนเลย ถ้าจะติดขนาดนี้เอาเสื่อมาปูนอนเถอะครับ เหลือบดูนาฬิกาก็ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว คงถึงบ้านเธอทุ่มหนึ่ง ไม่น่าเกินนั้น..
บ้านรัตนบัลลังก์
ประตูบานใหญ่สีทองถูกเปิดต้อนรับ แค่เห็นรถคนงานทุกคนก็ดีใจ เขาเป็นคนเข้าถึงง่ายไม่ถือตัวทุกคนในบ้านก็เลยชอบใจ
"คุณตุลย์สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ" ลุงยามหน้าบ้านพูดทักทาย
"ครับ คุณลุงสบายดีนะครับ"
"สบายดีครับ"
รถยนต์ราคาระดับกลางๆ ถูกจอดเทียบคู่กับรถหรูหลายคัน..
"อ้าว คุณตุลย์มาถึงแล้วเหรอคะ ไม่เจอตั้งนานป้าคิดถึงมากรู้ไหม" ป้านิ่มเดินเข้ามาทักทาย ตุลย์ภพมักจะทักทายป้านิ่มเหมือนเป็นแม่อีกคน
"ผมเองก็คิดถึงป้านิ่มมากครับ"ร่างสูงก้มลงสวมกอดร่างอ้วนท้วม "ป้านิ่มสบายดีนะครับ" เมื่อก่อนช่วงที่แต่งงานแรกๆ เขามาที่นี่บ่อยมากแต่ระยะหลังเขาเลือกที่จะไม่มา อ้างว่าติดธุระบ้างอะไรบ้างก็เพราะว่าไม่อยากจะผูกพัน เขารู้ดีว่าการจากลามันเจ็บปวดแค่ไหน
"สบายดีค่ะ คุณท่านจัดปาร์ตี้เล็กๆ รอคุณตุลย์อยู่ที่สระ เข้าไปกันเถอะค่ะ ทุกคนรออยู่" ป้านิ่มเดินนำเข้าไป คนแก่ยิ้มหน้าบาน เมื่อไหร่จะมีเบบี๋กันนะนี่ก็ปีกว่าละ
"ครับ"
เดินผ่านห้องโถงใหญ่เข้ามาด้านใน ประตูกระจกทะลุออกไปยังสระน้ำขนาดกว้าง มุมขวามีโต๊ะบาร์ เครื่องดื่มราคาแพงวางเรียงรายอยู่ด้านบน
"อ้าว มาถึงแล้วหรือ" เจ้าสัวเหว่ยนั่งรอลูกเขยอยู่ที่โต๊ะข้างบาร์ ส่วนเฮียหยางกับพอเพียงนั่งอยู่ไม่ไกล
"คุณพ่อสวัสดีครับ วันนี้รถติดมากผมขอโทษที่ทำให้รอ" ตุลย์ภพสวัสดีเจ้าสัวด้วยท่าทางสนิทสนมเป็นปกติ
"ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ คนกันเองทั้งนั้น มานั่งก่อนมา" เจ้าสัววางมือลงเก้าอี้ข้างตัว พร้อมกับเทเครื่องดื่มให้ลูกเขย แค่มองตาก็เห็นลิ้นไก่ต่างคนต่างรู้ทันกัน
"ขอบคุณครับ" หลังจากทักทายพ่อตาเสร็จเขาก็หันไปทักทายพี่ชายภรรยา..
" เฮียหยางสวัสดีครับ" เป็นน้องเขยต้องมีมารยาทเฮียหยางอายุมากกว่าเขาประมาณสองปี
" สวัสดีครับ ไม่เจอกันนาน สบายดีนะ" เฮียหยางพูดทักทายน้องเขยปกติ แต่สายตาของเขาแสดงถึงความขุ่นเคืองอย่างปิดไม่มิด..
"สบายดีครับ น้องเพียงมานั่งข้างๆพี่สิครับ" ภรรยาเขานี่ยังไง เดินมาไม่ทักแล้วยังจะไปนั่งซะห่าง
พอเพียงมองบนอยู่ต่อหน้าคนอื่นพูดกับเธอแสนเพราะยังกับคนละคน "ค่ะ พี่ตุลย์จะดื่มอะไรไหมคะ" เธอรู้ว่าเขาไม่ดื่มวอดก้าที่ป๊าเทให้ สามีเธอดื่มแค่ไวน์อย่างอื่นเธอไม่เคยเห็นเขาแตะ
"พี่ขอไวน์แดงครับ" ยิ้มให้น้อยๆพอเป็นพิธี ทำไมเขารู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้มันอึมครึมหรือเขาจะคิดมากไปเอง