นางรีบตรงเข้าไปผลักร่างของเด็กชายที่กำลังนั่งอยู่ให้พ้นทาง พร้อมกับแทรกกายเข้าไปดูอาการหญิงสาวผู้มีใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษซึ่งกำลังหายใจอย่างรวยริน
คุณแม่หมาดๆ หายใจแผ่ว ผิวพรรณซีดเซียวเพราะเสียเลือดมากจากการคลอดลูก สายสะดือของเด็กยังไม่ทันได้ตัดออกด้วยซ้ำ!
“มองอะไรอยู่! รีบไปต้มน้ำและนำผ้าสะอาดมาสองผืน เร็วเข้า!” คนที่ถูกสั่งสบตาผู้พูดอย่างงงงวยเพราะคิดตามไม่ทัน ท่าทีจากศัตรูที่เปลี่ยนเป็นมิตรถึงขั้นเอ่ยสั่งกันทำให้เขานิ่งอึ้งอยู่กับที่ เหอซิงที่กำลังร้อนรนจึงหันไปเตะเขาแรงๆ ทีหนึ่ง
“ทำตามที่ข้าสั่ง! มิเช่นนั้นแม่ของเด็กอาจไม่รอด!”
หัวขโมยตัวน้อยเบิกตากว้างพร้อมกับเด้งตัวลุกขึ้นทันควัน แต่ก็ไม่วายคลี่ห่อผ้าออกแล้ววางทารกลงบนนั้นอย่างเบามือ เสร็จแล้วจึงวิ่งไปอีกทิศหนึ่ง
เมื่อเหอซิงหันไปมองจึงพบว่าอีกฝ่ายหายเข้าไปตรงฉากกั้นซึ่งเกิดจากการนำเศษไม้ผุๆ ที่เอามาตอกเข้าด้วยกัน ความห่างจากท่อนไม้ทำให้นางมองลอดเข้าไปถึงด้านใน
คนที่เพิ่งวิ่งเข้าไปเริ่มจุดไฟจึงทำให้นางเห็นหลังคาที่มุงด้วยฟาง ทับด้วยเศษผ้าเก่าที่เอามาเย็บติดๆ กันอีกชั้นหนึ่งพอให้กันลมหนาวในยามค่ำคืน เด็กหญิงมองสภาพที่แสนทรุดโทรมแล้วก็ลอบถอนหายใจ เลือกที่จะดึงสายตากลับมาพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง
ดูจากใบหน้าแล้วนางคงมีอายุจะประมาณยี่สิบต้นๆ เท่านั้น สีหน้าของหญิงสาวอ่อนล้าทว่าพยายามฝืนลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เอาแต่จ้องมองลูกน้อยที่ขยับตัวอยู่บนห่อผ้า ครั้นเมื่อเหอซิงมองไล่ไปตามสายตาของนางจึงได้รู้ว่าเด็กชายขโมยมาคือสมุนไพรที่ใช้ต้มเป็นยาบำรุงเลือด กรรไกร เข็มและด้ายสีดำ ซึ่งอีกฝ่ายคงหยิบฉวยของเหล่านี้มาเพื่อเหตุนี้โดยเฉพาะ
ใบหน้าของเหอซิงผ่อนคลายลง ความรู้สึกที่มีต่อเขาดีขึ้นมาเล็กน้อย จึงตะโกนเข้าไปด้านในด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เมื่อน้ำเดือดแล้วก็รีบนำออกมา”
แสงไฟด้านในถูกเงาของเด็กชายทาบทับ ไม่นานนักเขาก็ใช้ผืนผ้าพันไว้ที่มือ ก่อนจะหอบหม้อเก่าๆ ที่บรรจุน้ำร้อนออกมาวางไว้ข้างร่างที่เล็กกว่า ส่วนผ้าสะอาดก็พาดบนบ่าเล็กเนื่องจากถ้าวางบนพื้นอาจจะทำให้เปื้อนได้
เมื่อจัดการตามที่ถูกสั่งเรียบร้อย คนที่ว่าง่ายขึ้นมาเฉยๆ เพราะเกรงว่าชีวิตของหญิงสาวจะได้รับอันตรายก็ทรุดเข่าลงข้างนาง ใบหน้าธรรมดาของเด็กชายวัยสิบขวบจ้องมองใบหน้าน่ารัก แม้เขาจะยอมทำตามที่นางพูดแต่ก็ไม่วายจ้องมองนางอย่างหวาดระแวง
“เจ้าเป็นแค่เด็ก จะรู้เรื่องการคลอดลูกได้อย่างไร”
“ข้าเคยทำคลอดมาแล้วหลายตัว” เสียงเล็กตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ ขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้ามึนงงไม่เข้าใจ หรือเมื่อครู่นี้เขาจะได้ยินผิดไป
“หละ..หลายตัว?”
เขาเอ่ยทวน ฝ่ายเด็กหญิงกลับเมินคำพูดของเขาอย่างไม่ใส่ใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอื้อมมือมาจับแขนเล็กด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ข้าเคยทำคลอดให้แม่วัวมาหลายสิบตัวแล้ว”
เขาอ้าปากค้าง ผุดลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วใส่พร้อมกับโวยวายออกมา
“จะ...เจ้า! กล้าล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?”
“ข้ามิได้พูดเล่น ข้าพูดจริง” เหอซิงยืนยันคำตอบอีกหน วัวกับคนก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกัน มันก็น่าจะคล้ายๆ กันไม่ใช่หรืออย่างไร สีหน้ามุ่งมั่นจริงจังของนางผิดกับผู้ถามที่คลายมือออกอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่เป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้วิธีการรักษา แม้แต่วัวตัวเป็นๆ ก็ยังไม่เคยได้เข้าใกล้ ด้วยเหตุนี้จึงส่งเสียงฮืดฮาดออกมา ยอมทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแต่โดยดี ดวงตาจ้องมองมือเล็กที่เริ่มลงมือช่วยแม่และทารกตาไม่กะพริบ
สัตวแพทย์สาวในร่างเด็กน้อยเริ่มจากการจุ่มกรรไกรลงในน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อ จากนั้นก็ตัดสายสะดือของแม่ออกจากตัวเด็ก อันที่จริงเข็มนั้นไม่ต้องใช้ เพียงแค่ใช้ด้ายผูกสายสะดือที่ตัดแล้วก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย นางหยิบจับทุกอย่างอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ ทุกการกระทำไร้ซึ่งความลังเลทั้งๆ ที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยเลือด
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดบนใบหน้าของคนที่เด็กชายจ้องมอง เหอซิงไม่คิดแม้แต่จะเช็ดเหงื่อ นับว่าเด็กหญิงมีความอดทนสูงไม่น้อย นางเฝ้ารอจนกระทั่งน้ำร้อนในหม้อเริ่มอุ่น เมื่อแน่ใจแล้วว่าอุณหภูมิไม่เป็นอันตรายต่อผิวบาง ก็นำตัวเด็กทารกลงไปล้างในน้ำสะอาด
เลือดที่เปรอะเปื้อนตามร่างกายถูกชำระล้างจนน้ำในหม้อกลายเป็นสีแดง
แม้นางอยากจะทำให้ดีกว่านี้ แต่ในเมื่อเวลานี้ไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยและสิ่งของที่จะเอื้ออำนวยได้ นางจึงต้องใช้ของเท่าที่มีไปก่อน
ทารกที่ขนาดเท้าเล็กเท่าฝาหอยในมือเล็กไม่ส่งเสียงร้องไห้ มือเล็กขยับไปมา และเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันได้ว่าทารกผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเหอซิงพิจารณาดูใกล้ๆ จึงเห็นเพศของเขาอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
“เป็นเด็กบุรุษ” พูดจบก็เช็ดตัวให้แห้งด้วยผ้าสะอาดผืนแรกที่รับมาจากมือหัวขโมยตัวน้อย ส่วนผ้าผืนที่สองก็ใช้ห่อตัวเด็กแล้วส่งให้อีกคน เขารับทารกน้อยไปอุ้ม แม้จะงกๆ เงิ่นๆ อยู่บ้างแต่ทุกกิริยาก็เต็มไปด้วยความทะนุถนอมและอ่อนโยน
เหอซิงจ้องมองเด็กทารกอยู่เพียงครู่เดียวก็ละสายตาไปยังผู้เป็นมารดา ผ้าที่เมื่อครู่ใช้เช็ดตัวเด็กถูกนำมาเช็ดคราบเลือดตามร่างกายที่ทิ้งกายนอนอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง
“ขอน้ำดื่ม” เสียงเล็กดังขึ้นมาทำลายความเงียบ ส่งผลให้คนที่กำลังสนใจทารกน้อยในอ้อมแขนลุกขึ้น พร้อมกับเดินเข้าไปหยิบชามเก่าๆ ที่บรรจุน้ำออกมาจากภายในฉากไม้ เหอซิงตรวจสอบดูความสะอาดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าใช้ได้จึงส่งต่อให้หญิงสาวดื่ม
“แล้วก็...เอายาบำรุงเลือดนี้ไปต้มซะ” คำสั่งดังขึ้นมาอีก ครานี้คนที่ถูกสั่งเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้นเด็กชายก็ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดตนได้ฟังคำสั่งจากนางนัก หรือแท้จริงแล้วเขาจะมีนิสัยเป็นประเภทที่ชอบฟังคำสั่ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจตนเองแต่กลับส่งเด็กในอ้อมกอดให้นางอุ้ม ก่อนจะฉวยเอาหม้อใบเดิมและห่อยาที่วางอยู่บนห่อผ้าเข้าไปด้านใน
“อย่าใช้น้ำเดิมต้มยานะ!” เสียงเล็กตะโกนไล่หลังอย่างขำขัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดเข้าไปด้านในฉากไม้ผุผัง สีหน้าขัดใจของเขาทำให้นางนึกถึงลูกๆ ที่ถูกพ่อแม่บังคับให้กินผักก็ไม่ปาน
“ข้ามิได้โง่!” น้ำเสียงไม่พอใจตอบกลับมา เรียกเสียงหัวเราะใสจากผู้ที่ออกคำสั่งได้เป็นอย่างดี
หลังจากคุณแม่วัยสาวได้ดื่มยาแล้ว สีหน้าของนางก็ดีขึ้น เหอซิงจัดแจงให้นางนอนราบอยู่กับพื้น ใช้ผ้าปูรองข้างกองไฟเพื่อให้นางอยู่ไฟภายในกล่องสี่เหลี่ยม ถัดไปมีเด็กทารกคอยให้กำลังใจแม่ของตน ทว่ายังไม่ทันที่นางจะเดินออกไปจากสถานที่แสนคับแคบนี้ ก็ถูกหญิงสาวคว้าชายเสื้อเอาไว้เสียก่อน
“เด็กคนนี้...ยังไม่มีชื่อ” น้ำเสียงอ่อนล้าดังเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากของผู้ที่ส่งยิ้มอ่อนแรงมาให้
ผู้ฟังเข้าใจเจตนาในทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลกลอกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงเล็กๆ จะเอ่ยออกไป “อวี่จิ้ง”
“อวี่จิ้ง” นางเลิกคิ้วสูงเหมือนอยากได้คำอธิบายเพิ่มเติม
“วันนี้เป็นวันจัดเทศกาลระบำวิหคเพื่อแสดงความเคารพต่อเทพแห่งฝน ทารกผู้นี้พอเกิดมาก็ร้องเพียงครั้งเดียวแล้วสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไม่ส่งเสียงใดๆ อีก” นางอธิบาย “ข้าจึงตั้งชื่อให้ว่า ‘อวี่จิ้ง’ อวี่ ที่แปลว่าฝน และจิ้ง ที่แปลว่าสงบ”
มือเรียวเล็กของเหอซิงเอื้อมไปกระชับผ้าที่ห่อร่างของทารกน้อย ร่างเล็กๆ ซึ่งมีเลือดฝาดขยับกาย พร้อมกับใช้มือเล็กอูมจับนิ้วของนางไว้แน่น
“อวี่จิ้ง...ช่างเป็นชื่อที่ดีนัก” คนเป็นแม่มองนางด้วยแววตาซาบซึ้งและขอบคุณอยู่ในที หลังจากนั้นก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อนด้วยความเหนื่อยล้า
ฝ่ายเหอซิงกลับออกไปด้านนอกไม่ได้เพราะติดที่นิ้วอวบอูมยังจับนิ้วนางแน่นไม่ยอมปล่อย ด้วยเหตุนี้นางจึงแก้ปัญหาด้วยการร้องเพลงกล่อมเหมือนที่ฉินฟางเคยร้องกล่อมนางตอนเด็ก ในที่สุดอวี่จิ้งก็ยอมปล่อยมือ เด็กหญิงจึงออกมายังด้านนอก
ครั้นออกมาก็พบกับหัวขโมยตัวน้อยคู่กรณีซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว เจ้าของเสียงเล็กจึงถามคำถามที่ค้างใจออกมา “นางคือแม่ของเจ้าหรือ”
“ไม่ใช่” เขาส่ายหัว เขาอายุสิบขวบแล้ว ไม่มีทางเป็นบุตรของหญิงสาวที่อายุเพียงยี่สิบต้นๆ ได้อย่างแน่นอน ทว่าสาเหตุที่เหอซิงถามก็เพราะนางอยากจะรู้ความเป็นมาของสองแม่ลูกคู่นี้ต่างหาก อีกฝ่ายจ้องมองนางชั่วครู่ ในที่สุดก็อดทนต่อแววตาที่จ้องมองมาไม่ไหวจึงยอมเอ่ยปาก