ตอนที่ 4 เฝ้าไข้
"อะไรนะคุณพี่ ฮือ ๆ ณีไม่เชื่อ ลูกเราต้องไม่เป็นอะไร ณีต้องได้เห็นลูกก่อน ฮือ ณีไม่เชื่อ ฮือ ๆ" เพียงทราบข่าวว่าลูกชายตัวเองยังไปไม่ถึงจุดหมาย เจ้าสัวคณินก็สั่งคนตรวจสอบเรดาร์การบินของเฮลิคอปเตอร์ ไม่นานทั้งหมดก็ทราบว่าเกิดอุบัติเหตุกับคิรากรขึ้นแล้ว ศิราณีร้องไห้จนเป็นลมไปหลายรอบตเจ้าสัวคณินก็กอดปลอบเอาไว้ตลอดเวลา
"คุณหญิงใจเย็น ๆ ตอนนี้สภาพอากาศไม่อำนวย เราไม่สามารถเข้าไปเก็บกู้ซากเฮลิคอปเตอร์ได้ แต่ผมให้คนของเราเดินเท้าเข้าไปแล้ว คุณหญิงใจเย็น ๆ นะ เจ้ากรต้องไม่เป็นอะไร" ถึงแม้จะสะเทือนใจมากแค่ไหน ทว่าเจ้าสัวคณินก็ต้องยืนหยัดเป็นที่พึ่งของภรรยาให้ได้ คิรากรเป็นลูกชายที่เขาภาคภูมิใจ เขาย่อมต้องไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
"อะไรนะครับฮ.เฮียตกเหรอ...”บุรินทร์พูดออกมาอย่างตกใจ สีหน้าชายหนุ่มสนเท่ห์ขึ้นมา แต่แล้วเขาก็รีบตีสีหน้าเป็นยียวนขึ้นแทนที่
“ทำใจไว้บ้างก็ดีนะครับป๊า แม่ใหญ่ เพราะโหม่งพื้นแบบนี้รอดมาก็ปาฏิหาริย์แล้วล่ะ" บุรินทร์พูดออกมาเสียงนิ่ง ทว่าแววตากลับสั่นระริก เหมือนกับว่ามีบางอย่างที่ติดอยู่ในใจของเขา ศิราณีได้ฟังคำพูดของลูกเลี้ยงก็เป็นลมไปอีกรอบ เจ้าสัวคณินรีบเข้าไปประคองเอาไว้ในอ้อมกอด
ผกามาศมองดูอย่างอิจฉาริษาที่คนเป็นสามีพะเน้าเอาใจเมียใหญ่เช่นนี้ผกามาศเป็นภรรยาคนที่สองของเจ้าสัวคณินและยังเป็นมารดาของบุรินทร์อีกด้วย
"ตาบุตร ถ้าปากแกจะพูดแต่เรื่องดี ๆ ไม่ได้ก็ไสหัวกลับห้องไป ผกามาศพาลูกชายเธอกลับไปซะ" เจ้าสัวตวาดลั่นอย่างโมโห ยิ่งทำให้ใจของผกามาศเดือดดาลขึ้นไปอีก
"ขอโทษด้วยค่ะคุณพี่ ตาบุตรยังเด็ก ลูกก็พูดไปตามที่คิด มันอาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้" ผกามาศรีบเอ่ยคำขอโทษเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะหันไปโอบกอดลูกชายอย่างปลอบใจที่โดนคนเป็นพ่อดุด่าเสียงดัง
"แม่ใหญ่ใจเย็น ๆ นะคะกิ๊กว่าเฮียกรต้องไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ"กนกวรรณลูกสาวคนสุดท้องกับเมียสุดท้ายของเจ้าสัวเอ่ยขึ้นมาบ้าง ในเวลานี้ทุกคนในบ้านต่างก็มารวมตัวกันเพื่อฟังข่าวของทายาทอันดับหนึ่งอย่างคิรากรกันทุกคน
"ใช่ค่ะพี่ณี พี่ต้องอย่าคิดมาก ตราบใดที่เรายังไม่เห็นกับตาณาก็ไม่เชื่ออย่างแน่นอน ปาฏิหาริย์ต้องมีค่ะ ใครมันทำร้ายตากร ณาขอให้มันได้รับผลกรรมภายในสามวันเจ็ดวันด้วยเถอะ"กรุณาถึงจะเป็นคนสุดท้ายที่เจ้าสัวโปรดปรานมาก ทว่าเธอเองก็เคารพเมียหลวงอย่างศิราณีมากเช่นกัน และเห็นได้ชัดว่าอุบัติเหตุนี้ไม่ธรรมดา กรุณาเหล่สายตาไปทางผกามาศและบุรินทร์อย่างไม่ไว้วางใจ
"เธอว่าใครยัยณา" ผกามาศตวาดเสียงเขียว
"เปล่านี่คะพี่มาศ ณาไม่ได้เอ่ยชื่อสักหน่อย" กรุณาเองก็ลอยหน้าลอยตาตอบกลับไป ใครจะกินปูนร้อนท้องก็ตามใจ เธอไม่ได้เอ่ยชื่อเสียหน่อย
"พอ ๆ เฮียจะไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ณาพาพี่ณีไปพักเถอะ" เจ้าสัวคณินที่เห็นว่าบรรดาเมีย ๆ เริ่มจะถกเถียงกันเขาก็รีบหยุดสงครามน้ำลายขึ้นมาเพราะความรำคาญ กรุณาเข้ามาประคองศิราณีเอาไว้ เจ้าสัวคณินจึงเดินออกไปจากห้อง
.
..
ทางฝั่งหมู่บ้านบนเขาพนาตกใจมากที่อยู่ ๆ ลูกเมียก็พาใครก็ไม่รู้กลับมาบ้าน แต่จะบอกว่าตกใจก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะปกติแล้วลูกสาวคนเล็กมักจะนำสัตว์บาดเจ็บกลับมาเสมอ พิมพ์มาดาเป็นคนจิตใจดีและขี้สงสาร และด้วยเพราะพิมลเองก็เคยเป็นพยาบาลมาก่อน นางจึงรู้วิธีการรักษา ถึงแม้ตอนเป็นพยาบาลจะรักษาคน แต่ลูกสาวกลับนำสัตว์มาให้รักษา แต่นางก็รักษาให้ทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ทุกครั้งจะเป็นสัตว์ ทว่าครั้งนี้กับเป็นคน พนาทราบได้ทันทีว่าการพาชายบนรถเข็นกลับมานี้เป็นความต้องการของลูกสาวอย่างแน่นอน
"เราต้องพาเขาไปรักษาในเมืองนะแม่ บาดเจ็บขนาดนี้แม่จะรักษาเขาได้ไหม" พิมพ์มาดารู้ว่ามารดาตนเองรักษาคนได้ และบางครั้งคนในหมู่บ้านก็มารักษากับมารดาเธอบ้าง ไม่ใช่ว่าบ้านเธอจะเปิดโรงหมอใหญ่โตอะไร แต่ว่าการรักษาเล็ก ๆ น้อยๆพิมลเองก็ทำได้ นางมีวิชาชีพในด้านนี้และยังมีใบอนุญาตเปิดคลินิกอีกด้วย
"แม่ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปแล้ว เดี๋ยวฝนหยุดตกเราก็ค่อยไปจ้างรถผู้ใหญ่ไปส่งเขาที่โรงพยาบาลเถอะ จะได้ไปแจ้งตำรวจให้เขาตามหาญาติพี่น้องพ่อหนุ่มคนนี้ด้วย คืนนี้ไม่แน่ว่าพ่อหนุ่มคนนี้อาจจะมีไข้สูง เดี๋ยวแม่จะอยู่เฝ้าเอง พิมพ์ไปหุงหาอาหารเถอะลูก"
พิมลมองอาการเป็นห่วงของลูกสาวออก ในหัวของพิมพ์มาดาไม่ได้คิดเรื่องชู้สาว เธอเพียงแค่สงสารคนที่เธอเก็บมาได้ก็เท่านั้น เหมือนเช่นที่เธอเก็บสัตว์บาดเจ็บมาได้ หญิงสาวก็มักจะนอนเฝ้าพวกมันอยู่เสมอ บางครั้งพี่ชายเธอล่าสัตว์มาได้ ถ้าตัวไหนไม่ตาย เธอก็จะแอบเอามารักษาเสียทุกครั้งไป พลพัชร์จึงจำเป็นที่จะต้องฆ่าให้ตายก่อนจะนำกลับมาบ้านทุกครั้ง
"จ้าแม่"
พิมพ์มาดาพยักหน้ารับ เธอหลบออกไปทำอาหารเย็นให้กับครอบครัว เมื่อทำเสร็จทุกคนก็ล้อมวงมารับประทานอาหาร ยกเว้นคิรากรที่ยังสลบไม่ได้สติอยู่เช่นเดิม
"ไปนอนเถอะพิมพ์แม่เฝ้าเอง" พิมลส่ายหน้าให้กับลูกสาวตนเองที่ยังคงนั่งดูแลชายหนุ่มไม่ยอมห่าง
"แม่นั่นแหละไป วันนี้แม่ก็รักษาเขาตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะเสร็จแม่แทบจะไม่ได้พักเลย พิมพ์เฝ้าเองก็ได้จ้ะ" หญิงสาวตอบปฏิเสธออกไป ยังไงเธอก็เป็นคนพาเขามา เธอก็อยากจะเห็นเขาตอนที่ฟื้นขึ้นมาด้วย
"แต่พิมพ์เป็นผู้หญิงนะลูก คนอื่นรู้เขาจะมองไม่ดี ยิ่งบ้านป่าบนเขาบนดอย วัฒนธรรมคนที่นี่หัวเก่ามากนักนะลูก" อย่างที่รู้มารดาของเธอเป็นสาวชาวเมือง หัวคิดของพิมลจึงแตกต่างจากคนที่นี่มากนัก ทว่าก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้ ถ้ามีข่าวหลุดไปแน่นอนว่าคนที่เสียหายก็คือลูกสาวเธอ
"ใครมันจะไปคิดน่ารังเกียจขนาดนั้นก็ปล่อยมันไปเถอะจ้ะแม่ คุณเขาเจ็บขนาดนี้ จะฟื้นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ พิมพ์อยากจะเห็นกับตาว่าเขาปลอดภัยน่ะแม่"คนก็นอนเป็นผักเป็นปลา จะลุกขึ้นมาปลุกปล้ำเธอก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถึงฟื้นขึ้นมาขาก็หัก ดีที่แม่เธอดามให้แล้ว ถึงจะดามแล้วก็ใช่ว่าจะเดินได้เลย
"เอาเถอะตามใจพิมพ์แล้วกันลูก คอยดูอย่าให้พ่อหนุ่มนี่ไข้สูงนะ นี่ปรอทวัดไข้กับยาลดไข้พิมพ์คอยเช็ดตัวและให้ยาทุก 4 - 6 ชั่วโมงนะลูก ถ้ามีอะไรก็ไปเรียกแม่นะ" เมื่อห้ามไม่ได้พิมลก็ต้องเลยตามเลย โชคดีว่าตอนนี้ฝนตกหนัก ชาวบ้านยังไม่มีใครรู้เห็นมากเท่าไร จึงไม่มีใครมาดูชายหนุ่มคนนี้
พิมลลอบมองทั้งคู่ก่อนจะเดินจากไปเงียบ ๆ เอาเถอะช่วยคนแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด พรุ่งนี้ฝนหยุดตกก็ค่อยพาไปรักษาในเมืองต่อก็ยังไม่สาย