ตอนที่ 3 หาของป่า
"แม่...แม่ได้ยินเสียงอะไรไหมจ๊ะ"พิมพ์มาดาเงยหน้าขึ้นมา หญิงสาวมองหน้ามารดาตนเองอย่างตกใจ เธอหันไปถามมารดาเสียงตื่นกลัว พิมพ์มาดาเป็นหญิงสาวชาวเขาเธอสวมชุดพื้นบ้านของตนเองและสะพายตะกร้าสานเอาไว้ด้านหลัง เพื่อเอาไว้ใส่ของป่าที่เธอหาได้
"ได้ยินลูก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงอะไร" พิมลหันไปบอกลูกสาว เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากต้นเหตุอันใด พิมลเป็นสาวชาวเมืองทว่าเธอมาแต่งงานกับผู้ชายชาวเขา เธอจึงใช้ชีวิตกับสามีและลูก ๆ ของเธอที่บนภูเขาที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้
"พี่พัชจะไปไหน เดี๋ยวสิ"พิมพ์มาดาตะโกนเรียกพี่ชายตนเองเสียงดังพลพัชร์ไม่สนใจอะไรชายหนุ่มวิ่งหน้าตั้งไปตามเสียงทันที เขาได้แต่ตะโกนบอกให้แม่และน้องรีบวิ่งตามมาอย่างเร็วด่วน
"ตามมาเร็ว พี่เห็นเรือบินมันตกเมื่อกี้" ชายหนุ่มบอกเสียงตื่นเต้น
"รอด้วยตาพัช รอแม่กับน้องด้วย" พิมลเห็นลูกชายวิ่งออกไปด้วยความเร็ว นางจึงหันไปคว้าแขนลูกสาวให้วิ่งตามกันออกไปบ้าง
พลพัชน์พามารดาและน้องสาววิ่งเข้ามาในป่าลึก ถ้าเขาคาดคะเนไม่ผิดเสียงเฮลิคอปเตอร์ที่ตกดังลั่นต้องมาจากทางนี้อย่างแน่นอน ทั้งสามวิ่งตามกันเข้าไปอย่างทุลักทุเลผ่านหนามป่าที่ทิ่มแทงเกี่ยวขาได้แผลไปตาม ๆ กัน เมื่อมาได้ไกลพอสมควรทั้งสามก็ยืนตะลึงมองซากเฮลิคอปเตอร์ที่ไฟกำลังลุกท่วมอย่างน่าหวาดเสียว
"อย่าไปใกล้นะพัช เดี๋ยวมันระเบิดใส่ เฮ้อ...ไฟไหม้ขนาดนี้คงไม่มีคนรอดแล้วล่ะลูก" พิมลบอกลูก ๆ ด้วยเสียงเศร้า เธออดจะเศร้าใจกับโชคชะตาของคนบนเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ไม่ได้จริง ๆ
"นั่นน่ะสิแม่ มีกี่คนก็ไม่รู้เนอะ ขอให้ดวงวิญญาณที่ประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปสู่สุคติด้วยเถิด" พิมพ์มาดาพนมมือขึ้นอธิษฐานส่งวิญญาณให้กับคนบนเฮลิคอปเตอร์นี้ให้จากไปด้วยดี
"อืม ไปเถอะอยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็คงออกมาตามหาเองแหละ" พลพัชร์เองก็เห็นด้วย ชายหนุ่มหันหลังเดินนำหน้าแม่และน้องออกมา
พิมพ์มาดาเงยไปมองเปลวไฟข้างหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินตามพี่ชายตนเองไป ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวหญิงสาวก็หันไปเห็นอะไรบางอย่าง ร่างบางไม่รอช้าเธอยกผ้าถุงวิ่งออกไปทันที
"แม่… พี่พัช… มาตรงนี้ก่อนจ้ะ เร็ว ๆ เข้า" พิมพ์มาดาเบิกตากว้างอย่างตกใจ ร่างบางทรุดตัวลงนั่ง เธอยืนมือไปอังจมูกของชายหนุ่มตรงหน้า ลมหายใจอ่อนรวยริน หญิงสาวรีบตะโกนเรียกมารดาและพี่ชายตนเองอย่างเสียงดัง
พลพัชร์และพิมลที่เดินออกไปโดยไม่ได้มองอะไร ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าพิมพ์มาดาไม่ได้เดินตามออกมาด้วย กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงหญิงสาวตะโกนออกมาเสียงดังนี่แหละ
"อะไรพิมพ์มีอะไร เฮ้ย! ตายหรือยังพิมพ์" พลพัชร์ถามเสียงดัง เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
"ยังพี่พัช มาช่วยกันหน่อยเราต้องพาเขากลับไปที่บ้านเรานะ ถ้าปล่อยไว้เขาตายแน่ ๆ" หญิงสาวประคองศีรษะชายหนุ่มขึ้นมาบนตัก ทั้งสามมองสภาพร่างกายของคิรากรแล้วก็รู้เลยว่าอาการหนักหนาสาหัสมาก
"นั่นน่ะสิพัช เราไปหาอะไรมาลากเขาไปดีไหม รถเข็นไง รถเข็นของเราพัชวิ่งไปเอามาลูก" พิมลออกคำสั่งกับลูกชายทันที
"ถ้าเขาเป็นคนไม่ดีล่ะแม่ คนชั่วน่ะ" ถึงแม้จะอยากช่วย แต่ความปลอดภัยของคนในครอบครัวก็สำคัญ ถึงแม้หมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่จะมีประชากรไม่มากแต่หากนำคนไม่ดีเข้าไป ครอบครัวเขาก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วย
"พี่พัช! จะดีจะชั่วก็ช่วยคนก่อน พิมพ์ปล่อยให้เขาตายต่อหน้าไม่ได้หรอกนะ" พิมพ์มาดาดุพี่ชายเสียงเข้ม ทั้งแม่และน้องเห็นพ้องตรงกัน พลพัชร์จะทำอะไรได้นอกจากวิ่งออกไปเอารถเข็นที่เอามาไว้ขนสัตว์ที่เขาตั้งใจมาล่าก็เพียงเท่านั้น
พิมพ์มาดาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเลือดที่เลอะใบหน้าของชายหนุ่มอย่างเบามือ เธอมองไม่ออกหรอกว่าเขามีใบหน้าเช่นไร เพราะตอนนี้อาการบาดเจ็บและบวมช้ำบนใบหน้าและร่างกายก็บดบังความหล่อเหลาของคิรากรไปหมดสิ้นแล้ว
พิมลสังเกตเห็นขาของชายหนุ่มปูดออกมา เธอจึงนำเอาไม้แผ่นที่หาได้มาดามขาชายหนุ่มเอาไว้ พิมลฉีกผ้าถุงของตนเองนำมามัดเอาไว้ไม่ให้กระดูกเคลื่อน
"แม่จ๋าเขาจะตายไหมจ๊ะ" พิมพ์มาดาถามมารดาอย่างสงสัย ดวงตาหวานมองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสาร ถ้าเขาตายไปครอบครัวที่บ้านเขาจะรู้หรือไม่ เธอไม่อยากให้ใครต้องมาจบชีิวิตที่น่าเศร้าลงเช่นนี้
"แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เราก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมเถอะ ถ้าไอ้หนุ่มนี่ดวงยังไม่ถึงที่ตายก็รอด" พิมลเองก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ชายหนุ่มตรงหน้าจะรอดหรือไม่ ทว่าเธอเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า ฟ้าที่สว่างเมื่อสักครู่กลับมีเมฆมาบดบัง ฝนตั้งเค้าจะตกลงมาอีกแล้ว และเพราะฝนตกเมื่อคืนเธอจึงพาลูก ๆ ออกมาเก็บเห็ดเหลืองที่จะงอกก็ต่อเมื่อหลังฝนตกเท่านั้น
"ทำไมพี่พัชช้าจังฝนจะตกแล้วนะ" พิมพ์มาดาบ่นออกมา ทว่ามือบางก็ไม่ได้หยุดห้ามเลือดที่ศีรษะชายหนุ่มเลย
พลพัชร์ใช้เวลาไปกลับสักพัก เพราะจากตรงนี้กับที่จอดรถเข็นก็ไกลกันพอสมควร ชายหนุ่มวิ่งหอบลิ้นห้อยมาจอดที่หน้าทั้งสามคน พิมลและพลพัชร์ช่วยกันยกร่างของคิรากรขึ้นไปบนรถอย่างระวัง พิมพ์มาดาเองก็จับรถเข็นเอาไว้แน่น
เมื่อนำคนตัวโตขึ้นรถได้ทั้งสามก็ช่วยเข็นรถออกไปอย่างระมัดระวังไม่ให้กระเทือนขาที่หักของคิรากรมากจนเกินไป ต้องระวังขาด้วย และทำเวลาด้วย ช่างยากลำบากทว่าก็ไม่มีใครบ่นอะไรออกมา ทั้งสามใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงก็มาถึงบ้าน แต่กว่าจะถึงบ้านฝนก็เทลงมาเสียแล้ว พลพัชร์สละผ้าขาวม้าของตนเองทำหลังคากั้นน้ำฝนไม่ให้ตกใส่หน้าของชายหนุ่มได้อย่างชั่วคราว