เขาพยายามปลอบเธอและก็ตัวเองด้วย พูดได้แค่นั้นร่างทั้งสองก็โอบกอดซึ่งกันและกันและเขาก็ปล่อยให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวด น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินออกมา หากย้อนเวลาได้เขาจะไม่มีวันที่จะดึงเอาเธอเข้ามามีส่วนร่วมกับความเจ็บปวดครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย มันก็คงจะง่ายกว่าสำหรับเขาและเธอที่จะปรับตัวและทำในสิ่งที่แม่ปรารถนา แล้วนี่เขาจะทำยังไงดี
เขารักเธอเหลือเกิน รักมาก รักเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิตของเขา แต่มันก็ยังมีความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดเข้ามากีดกันเอาไว้ มันเหมือนกับเส้นตายที่เขาต้องเลือกระหว่างความรักกับความกตัญญู แล้วเขาจะมีทางเลือกอื่นอีกหรือไร
“คุณรู้มั้ย คุณคือผู้หญิงที่ผมรัก และจะแต่งงานด้วย แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามนี้ ผมก็ขอให้คุณรู้ไว้ด้วยว่า คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ผมจะรักคุณคนเดียว และตลอดไป และต่อไปนี้ก็คือความกตัญญูและหน้าที่ของลูกเท่านั้นสำหรับผม”
เขาพูดพลางเชยคางน้อยๆ ขึ้นมอง และมือนุ่มอบอุ่นนั้นก็เช็ดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มขาวๆ ที่หลายครั้งเขาเคยสัมผัสหาความหอมจากเนื้อเนียนๆ อย่างมีความสุข
“ขิมเข้าใจค่ะ คุณกลับไปเถอะค่ะ กลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดี ส่วนขิมก็ต้องทำหน้าที่ลูกที่ดีเหมือนกันขิมคงจะไม่ได้ไปร่วมงานแต่งคุณนะคะ โชคดีค่ะ ลาก่อน”
พูดได้แค่นั้นเทียมหทัยก็ผละจากเขาวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเข้าบ้านไป ทิ้งให้เขายืนมองตามร่างที่ค่อยๆ ห่างเขาไปทุกๆ นาที โดยที่เขาไม่คิดที่จะตามไป เพราะไม่ต้องการสร้างความเจ็บปวดให้กับเธออีกต่อไป! .
แล้วผู้ชายที่หมดหวังในรักก็ค่อยๆ เดินจากไป! ! โดยที่ทุกเหตุการณ์นั้นได้อยู่ในสายตาของบังอรโดยตลอด และเธอเองก็เห็นใจในสภาพของทั้งสองคนเป็นอย่างดี
ภาพเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานพร้อมกับสีหน้าและรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขของเจ้าสาว ที่หน้าประตูทางเข้างาน กับคุณหญิงรสรินทร์นั้น ทำให้เทียมหทัยที่เปลี่ยนใจมาร่วมงานด้วย แต่ขอแยกกับกรรชัย และพรรณีเพราะไม่อยากจะเข้าไปในงาน เธอได้แต่แอบยืนมองเขาต้องฝืนยิ้มกับแขกที่มาและถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก มันทำให้เทียมหทัยรู้สึกเจ็บแป๊บๆ ที่อก
น้ำตาแห่งความเจ็บปวดนั้นไหลรินออกมาอย่างไม่รู้ตัว ขาก็พาลดื้อไม่ยอมก้าวออกไปตามที่หัวใจสั่ง ธรรทรรีบต้อนรับกรรชัย และพรรณีพร้อมทั้งคุณพร้อมตามมารยาท แต่สายตาก็สอดส่ายหาใครบางคนที่เขาหวังที่จะได้พบเห็นในวันนี้ แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของเธอ
“คงจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะมาร่วมงานแต่งงานของผู้ชายที่ตัวเองรักได้หรอก”
นั่นคือความคิดของเขา คิดได้แค่นั้นเขาก็สลัดความคิดนั้นออกไป แล้วรีบเรียกสติกลับมาที่ตัวเอง เพราะไม่อยากให้แขก และผู้เป็นแม่ต้องเสียหน้าไปมากกว่านี้ เพราะตลอดเวลาตั้งแต่งานเริ่มนั้น เขาก็เหมือนกับคนที่ไร้ซึ่งวิญญาณ ต้องฝืนยิ้มให้กับผู้คนที่เขาไม่มีกระจิตกระใจแม้แต่จะต้อนรับ
แต่แล้วสายตาก็เหมือนกับเห็นใครบางคนที่คอยจ้องมองเขาอยู่ จนเขา
ต้องรีบขอตัวกับแขกที่มาร่วมงานแล้ววิ่งออกมาดูให้หายสงสัย พร้อมทั้งอลงกรณ์ก็ตามออกมาติดๆ แต่มันก็มีแค่ความว่างเปล่า นี่เขาคงจะคิดถึงเธอมาก ถึงได้เห็นใครๆ เป็นเหมือนเธอไปหมด
“คุณขิมคงไม่มาหรอกครับเจ้านาย” อลงกรณ์พูดปลอบใจเจ้านาย
“นั่นสินะ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะมาดูคนรักแต่งงานกับผู้หญิงอื่นหรอก จริงมั้ยกรณ์” เขาพูดปลอบใจตัวเอง
“แค่นี้คุณขิมก็เจ็บมากพอแล้วครับ ถ้ามางานนี้ได้ก็คงจะเป็นหญิงแกร่งมากในสายตาผม เรากลับเข้าไปในงานเถอะครับเจ้าสาวคุณธรรรออยู่”
เขาเตือนสติเจ้านาย และเขาก็เหมือนได้คิดอะไรแล้วก็หันหลังกลับไปโดยดี! ร่างบางๆ ที่แอบอยู่อีกมุมหนึ่งนั้นได้รับรู้บทสนทนาของทั้งคู่อย่างชัดเจน น้ำตาที่ดูเหมือนจะไม่มีวันเหือดแห้งก็พรั่งพรูออกมาอีก และก็เดินจากที่นั้นไปอย่างคนไร้ซึ่งวิญญาณ
หลังจากที่ออกจากงานมาเทียมหทัยก็ขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย จนในที่สุดเธอก็เดินเข้ามาในสถานที่ๆ เขาได้จัดงานวันเกิดให้เธอตามลำพัง เธอเปิดห้องเข้ามาและนาฬิกาที่ผนังบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว
แต่เทียมหทัยไม่คิดแม้แต่จะสนใจกับเวลา สภาพห้องวันนี้ยังคงไม่แตกต่างจากวันนั้นเท่าไหร่ หากแต่เพียงดอกไม้ที่เคยประดับไว้ถูกเอาออกไป คงจะเพราะความเหี่ยวแห้งและโรยรา นั่นเอง เธอมองไปรอบๆ ห้องอย่างเจ็บปวดเหลือเกิน เพลงอวยพรวันเกิดที่เขายังคงเก็บไว้ในเครื่องเสียงถูกเธอเปิดฟังอีกครั้ง
ภาพที่พนักงานคอนโดนำเค้กมาอวยพรให้ โดยมีเขายืนยิ้มอยู่ข้างหลังยังคงปราฏกขึ้นในความทรงจำของเธอ และภาพของเขาบรรจงสวมแหวนแห่งวงศ์ตระกูลของเขาที่นิ้วให้เธอก็ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับให้คำมั่นสัญญากับเธอเอาไว้
“ผมอยากให้คุณจงจดจำวันนี้ระหว่างเราสองคนเอาไว้ตลอดไป และคุณจงจำไว้ว่าเมื่อผมมอบแหวนวงนี้ให้ใคร คนๆ นั้นก็คือคนที่ผมอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตระหว่างเราสองคน ขอให้คุณคิดและจำไว้ว่าผมรักคุณมาก และจะรักคุณคนเดียวตลอดไป”
มันเจ็บปวดเหลือเกินกับคำพูดของเขา
“ขิมก็รักคุณค่ะ และขิมก็จะรักษาแหวนวงนี้ไว้ตลอดไปค่ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตราบใดที่ขิมยังสวมแหวนวงนี้ที่นิ้ว! นั่นหมายถึงว่าทุกห้องหัวใจของขิมนั้นจะมีคุณคนเดียวค่ะ”
เทียมหทัยเปิดเพลงซ้ำอีกครั้งแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งที่เบาะที่ถูกจัดวางไว้กับพื้น แล้วปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอย่างไม่อดกลั้นมันเอาไว้อีกแล้ว เสียงร้องไห้โฮออกมาบวกกับร่างที่ฟุบลงกับโต๊ะกลางตัวเล็กๆ
ร่างสั่นเทาเพราะความเจ็บปวดจนไม่อาจจะหาสิ่งใดเปรียบได้ นี่หรือที่เขาเรียกว่าการอกหัก มันเจ็บอย่างนี้หรอกหรือ