บทที่ 3 การลาจากที่ไม่อยากเจอ E.1

1134 คำ
พิมพกานต์สวมชุดแส็กสีดำนั่งพับเพียบอยู่หน้ากระถางธูปที่ตั้งอยู่ด้านหน้าศพของผู้เป็นแม่ ที่ตอนนี้นอนหลับสนิทชั่วนิรันดร์อยู่ภายในโลงครอบด้วยเรือนไทยสีน้ำเงินขาว ซึ่งถูกประดับประดาด้วยไฟอีกชั้นหนึ่งอย่างงดงาม ดอกไม้สดสีขาวสะอาดตาหลากชนิดถูกตกแต่งตั้งแต่บนสุดนับจากตัวเรือนลงมาจนถึงบันไดด้านล่าง ถัดไปเป็นพวงหรีดหลายสิบพวงจากคนที่มาร่วมงานวางอยู่เป็นแถวรวมทั้งที่แขวนอยู่รอบๆ ศาลาอีก สร้างความโศกเศร้าให้เกิดขึ้นกับหญิงสาวไม่น้อย กลิ่นหอมเอียนๆ จากธูปดอกใหญ่ที่เพิ่งจุดลอยวนเวียนอยู่ในอากาศ ทำให้บรรยากาศรอบข้างยิ่งดูหมองหม่นมากขึ้น หญิงสาวถูกบรรดาญาติผู้ใหญ่สั่งนักสั่งหนาว่าให้คอยหมั่นดูธูปอย่าให้ดับเป็นอันขาด บอกว่าถ้าธูปดับจะทำให้วิญญาณของผู้เป็นแม่ไปไม่ถึงที่หมาย ซึ่งเธอก็ไม่รู้หรอกว่าที่หมายนั่นคือที่ไหน ดวงตาคู่สวยของพิมพกานต์ที่เคยเปล่งประกายสดใส บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าหมองอีกทั้งแดงช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก หญิงสาวเหม่อมองไปยังรูปภาพของมารดาที่ตั้งเยื้องไปทางขวามือ ไม่รู้ว่าตาเธอฝาดไปหรือเปล่าเพราะราวกับเห็นรอยยิ้มน้อยๆ จากรูปส่งมาให้ ทำให้อดนึกถึงภาพสุดท้ายตอนก้มลงกราบแทบเท้าเพื่อขอขมามิได้ ฉับพลันน้ำตาก็ไหลรินออกมาอีกครั้ง เพราะภาพดังกล่าวคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอไปอีกนานแสนนาน แม้จะพยายามทำใจอย่างที่ญาติๆ หลายคนพร่ำบอก แต่ยังไม่สามารถทำได้ ใครไม่ได้พบเจอด้วยตัวเองคงไม่เข้าใจความรู้สึกที่เธอได้รับหรอก “น้องแพง” คนถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าไปมองน้าสาวซึ่งสวมกางเกงสีดำเสื้อแขนยาวสีขาวเดินมาทรุดนั่งลงข้างๆ “ว่าไงจ๊ะน้าเพ็ญ” “ตอนที่น้องแพงบอกน้าว่าเห็นพี่พิมพ์แต่งชุดขาวไปยืนอยู่ข้างเตียงตอนเช้ามืดน่ะ รู้ไหมว่านั่นคือลางสังหรณ์ อย่างที่เรียกกันว่าถ้าฝันร้ายจะกลายเป็นดี แต่ถ้าฝันดีจะกลายเป็นร้าย พี่พิมพ์คงหมดอายุขัยแล้วจริงๆ ถึงไปปรากฏตัวให้เห็นอย่างนั้น” พรเพ็ญพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจือความเศร้าสร้อย นัยน์ตาแดงช้ำไม่ต่างจากหลานสาว “ตอนนั้นแพงเองก็รู้สึกแปลกๆ” พิมพกานต์บอกพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดน้ำตาแล้วพูดเสียงสั่นเครือ “แต่ก็พยายามมองข้ามและคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือฝันไป แพงจำคำพูดของแม่ได้อย่างแม่นยำ แม่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าให้กลับมาอยู่บ้านเรา แพงฟังแล้วก็งง ปกติแม่ไม่เคยพูดแบบนี้ เพราะรู้ว่าแพงกำลังสนุกอยู่กับงาน” พรเพ็ญฟังจบก็จ้องไปยังหน้าของคนพูด เกือบจะถามโพล่งออกไปแล้วว่าตัดสินใจหรือยังเรื่องจะกลับมาอยู่บ้าน ทว่ายั้งปากไว้ได้ทัน เอาไว้รอให้งานศพผ่านพ้นไปก่อนค่อยถามคงยังไม่สาย ทว่าดูเหมือนการคิดในใจของเธอราวกับอีกฝ่ายจะล่วงรู้ยังไงยังงั้น เพราะจู่ๆ หลานสาวก็พูดออกมา “ตอนไปกราบขอขมาแม่ แพงสัญญาว่าจะกลับมาอยู่บ้านเรา แพงรู้สึกเหมือนแม่ส่งยิ้มมาให้เลยจ้ะน้าเพ็ญ ตอนนั้นจำได้ว่าขนที่แขนลุกซู่เลย” คนเป็นน้าเมื่อได้รับฟังก็แอบยินดี แล้วเอ่ยถามถึงสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ “แล้วเมื่อวานนึกยังไงถึงแต่งชุดขาวดำมา รู้ไหมว่าโบราณเขาถือ เวลาไปเยี่ยมใครที่โรงพยาบาลห้ามสวมชุดขาวดำมันเป็นลางไม่ดี” ดวงหน้าของคนถูกถามซีดเผือดลง เพราะตอนเธอหยิบมาใส่ไม่ได้คิดถึงข้อนี้จริงๆ “แพงไม่ได้คิดถึงตรงนี้จริงๆ จ้ะน้าเพ็ญ เพราะเสื้อผ้าชุดทำงานส่วนใหญ่ของแพงเป็นสีขาวดำแทบทั้งนั้น ชุดสีขาวดำในอดีตหลายคนอาจมองว่าเป็นชุดแทนความเศร้าโศก แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นสีสุภาพ แพงหยิบมาใส่ทำงานโดยไม่นึกว่าจะต้องไปหาแม่ที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายจริงๆ” พูดจบน้ำตาพลันไหลรินออกมาอีกจนต้องเงยหน้าขึ้น เพื่อให้น้ำตาเจ้ากรรมไหลย้อนกลับลงไป คนเป็นน้าเห็นแล้วรู้สึกสงสารนัก จึงยกมือขึ้นลูบแก้มซีดเซียวของหลานสาวพลางพูดปลอบโยน “หักห้ามใจบ้างเถอะน้องแพง อย่างที่น้าบอกแหละว่าพี่พิมพ์คงทำบุญมาแค่นี้ คนตายแล้วถือว่าได้ไปสบาย คนเป็นแบบเราๆ สิลำบาก” “แพงจะพยายามจ้ะน้าเพ็ญ ตอนนี้ขอตัวไปล้างหน้าก่อนนะจ๊ะ” พิมพกานต์บอกน้าสาวก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำด้านข้าง เพื่อล้างหน้าและทำใจตามที่อีกฝ่ายบอกเพราะเดี๋ยวเธอจะต้องคอยต้อนรับแขกที่มาร่วมงานศพของมารดาอีก พรเพ็ญซึ่งเป็นฝ่ายบอกให้หลานสาวทำใจ แต่หลังลับร่างของอีกฝ่ายไปจากสายตา หญิงสาวก็เงยหน้ามองไปเรือนไทยสีขาวน้ำเงินซึ่งภายในนั้นมีร่างของพี่สาวนอนหลับใหลอยู่ชั่วนิรันดร์ แล้วพลันดวงตาทั้งคู่ก็พร่ามัวด้วยหยาดน้ำที่จู่ๆ ไหลออกมา ก่อนจะรีบควักผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเพราะไม่อยากให้ใครเห็นโดยเฉพาะหลานสาว ทว่าเมื่อหันไปมองทางด้านหน้าของงาน ดวงตาของพรเพ็ญที่เมื่อกี้ยังเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาก็พลันเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ขึ้นมาทันที ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนจังก้าแล้วเดินออกไปยังตรงนั้น และเค้นเสียงออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกสองคนแม่ลูกออกไปเดี๋ยวนี้ ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกแก” สองแม่ลูกที่พรเพ็ญโกรธจนแทบอยากจะจับโยนออกไปถ้าทำได้คือขวัญใจกับบุตรสาว ซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงลายดอกทั้งคู่ แม้จะไม่ใช่ลายดอกสีสันสดใสแต่ก็ไม่ควรใส่มางานศพ “ทำไมฉันจะมาไม่ได้ ในเมื่อผัวฉันอยู่ที่นี่ ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นแม่เลี้ยงของหลานสาวแก แล้วพูดจาหัดระวังปากระวังคำบ้าง ถึงยังไงฉันก็เคยเป็นเพื่อนกับพี่สาวที่หาชีวิตไม่ของแกมาก่อน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม