“จะย้ายไปเมื่อไหร่คะคุณหมอ” พรเพ็ญที่เดินตามหลานสาวมาเอ่ยถามเสียงสั่น ลางสังหรณ์บางอย่างแล่นวาบเข้ามาในอกจนกระบอกตาร้อนผ่าว
“ตอนนี้แหละครับ”
นายแพทย์เจ้าของไข้พูดจบก็เดินเข้าไปในห้อง เพื่อเตรียมการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังแผนกผู้ป่วยหนัก ปล่อยให้หญิงสาวทั้งคู่ยืนมองตามไปพลางน้ำตาไหลพราก
“น้าเพ็ญ แพงคงไม่ได้ตัดสินใจผิดหรอกนะจ๊ะ ที่ไม่ยินยอมให้หมอผ่าตัดลำไส้ของแม่ แพงสงสารแม่ ไม่อยากให้แม่เจ็บมากกว่านี้อีก เมื่อตอนบ่ายก็เจาะไขสันหลังมาครั้งหนึ่งแล้ว”
พิมพกานต์พูดกับน้าสาว แล้วน้ำตาก็พลันไหลทะลักออกมาราวกับทำนบกั้นพัง นับตั้งแต่เธอเดินทางมาถึงและได้พูดกับมารดาไปเพียงไม่กี่ประโยคเมื่อตอนใกล้เที่ยง กระทั่งถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องผู้ป่วยหนักที่ตอนนี้เธอและน้าสาวกำลังนั่งอยู่หน้าห้อง อาการของคนเจ็บทรุดหนักลงเรื่อยๆ ทั้งไข้ขึ้นสูงจนต้องฉีดยาช่วยลดไข้ ความดันลดต่ำลงจนต้องให้ยาเพิ่ม เธอเห็นเข็มต่างๆ ถูกเจาะเข้าไปที่แขนทั้งสองข้างรวมทั้งที่ขาแล้วน้ำตาก็ร่วงพรู เพราะรู้ว่ามารดาคงต้องเจ็บมาก เธอเห็นยังรู้สึกเจ็บแทนเลย
“น้าเห็นด้วย ในเมื่อหมอบอกเองว่าผ่าตัดแล้วเปอร์เซ็นต์การรอดมีไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ น้าก็ไม่อยากให้พี่พิมพ์เจ็บตัวมากกว่านี้เหมือนกัน แค่นี้ก็เจ็บไปทั้งตัวอยู่แล้ว”
พรเพ็ญพูดน้ำเสียงเจือสะอื้น มีอาการไม่แตกต่างจากหลานสาวนัก ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตามองไปทางห้องที่พี่สาวนอนอยู่ นึกไม่ถึงว่าคนแข็งแรงที่ไม่เคยเจ็บป่วย แค่ท้องเสียกลับมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนหมอบอกให้ทำใจ
ซึ่งใครจะทำได้!
“น้าเพ็ญ แพงตั้งใจไว้แล้วว่าวันหยุดยาวจะกลับบ้านมาหาแม่ ถ้ารู้อย่างนี้แพงจะกลับมาหาแม่บ่อยๆ แพงเกลียดตัวเองนักที่ชอบพูดแต่คำว่าเดี๋ยวนั่น เดี๋ยวนี่ แต่ไม่เคยทำได้ตามที่พูดสักครั้ง” พิมพกานต์พูดพลางร้องไห้สะอึกสะอึ้นด้วยความเสียใจ เพราะเธอได้ยินนายแพทย์เจ้าของไข้บอกว่ามารดาของเธอคงอยู่ไม่พ้นคืนนี้อย่างแน่นอน ด้วยอาการที่เป็นอยู่หนักเกินเยียวยา ตอนนี้บรรดาญาติรวมทั้งเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันต่างพากันมานั่งรอดูใจเป็นครั้งสุดท้าย
ใครจะทำใจได้เมื่อต้องทนดูวาระสุดท้ายของผู้เป็นที่รัก เป็นเรื่องยากที่จะทำใจจริงๆ
“คิดว่าแม่ทำบุญมาแค่นี้...” พรเพ็ญปลอบหลานสาว ทว่าพูดยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นคนสองคนกำลังเดินตรงมา
พิมพกานต์หันไปมองตาม เห็นคนเดินนำหน้าเป็นหญิงชรารูปร่างท้วมทว่าท่าทางกระฉับกระเฉง สวมชุดผ้าซิ่นไหมสีแดงเข้มเสื้อลูกไม้สีขาว ซึ่งก็คือนางลิ้นจี่ย่าของเธอ ตามด้วยนางปิ่นประภาผู้เป็นป้าในชุดข้าราชการครูเดินตามหลัง และชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาในชุดข้าราชการทหารเดินรั้งท้ายสุด
“น้องแพงของย่า”
พิมพกานต์ลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นไหว้นางลิ้นจี่ผู้เป็นย่า ซึ่งอีกฝ่ายก็ดึงหลานสาวคนเดียวเข้าไปกอดพลางลูบหลังลูบไหล่แล้วพูดปลอบโยน
“ย่าเพิ่งรู้ว่าแม่เราไม่สบายมาก เข้มแข็งไว้นะหลานย่า”
คนถูกบอกให้เข้มแข็งน้ำตาพลันร่วงพรูอีกครั้ง ก่อนจะกอดตอบร่างท้วมๆ ของผู้เป็นย่า แล้วซบหน้าลงกับอกและสะอื้นฮัก
“ย่าจ๋า แพงอยากให้ปาฏิหาริย์มีจริง จะได้ช่วยยื้อชีวิตของแม่ได้”
ปาฏิหาริย์คือสิ่งที่เธอเคยมองว่าเป็นสิ่งไร้สาระและยากที่จะเกิดขึ้นจริงได้ แต่เวลานี้เธออยากให้เกิดกับผู้เป็นมารดาเหลือเกิน
“เมื่อวันก่อนย่าเจอแม่เราที่ตลาด ยังเห็นปกติดีอยู่ ไม่นึกว่าแค่ท้องเสียจะเป็นหนักถึงเพียงนี้ พิมพ์เอ๊ย” นางลิ้นจี่พูดถึงอดีตลูกสะใภ้ที่นางรักใคร่ด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะก่อนจะเดินมาหาหลานสาว นางเข้าไปคุยกับหมอแล้วถึงรู้ว่าเวลาของอีกฝ่ายใกล้จะมาถึงแล้ว
“น้องแพงหลานป้า” หญิงวัยกลางคนในชุดข้าราชการครูดึงหลานสาวเข้ามากอดไว้บ้างอย่างสงสาร
“ป้าภาจ๋า” พิมพกานต์ซบหน้าสะอื้นกับไหล่ของนางปิ่นประภาพี่สาวของบิดา
“ไม่ต้องร้องไห้นะลูก ถึงไม่มีแม่แต่ยังมีป้าและญาติๆ อยู่เคียงข้างน้องแพงเสมอ นี่พี่เจนก็ไม่อยู่ ไปธุระที่สระแก้ว แต่ป้าโทร. ไปบอกแล้ว เดี๋ยวคงรีบกลับมา รายนั้นรักน้าพิมพ์นักหนา” นางปิ่นประภาพูดพลางลูบหลังหลานสาวคนเดียวอย่างสงสาร
คำปลอบของผู้เป็นป้าได้รับการตอบสนองตรงกันข้าม เพราะยิ่งบอกว่าไม่ต้องร้อง น้ำตายิ่งไหลพรั่งพรู
“น้องแพง พ่อ....เสียใจด้วย”
น้ำเสียงสั่นเครือเจือความเศร้าหมองที่ดังมาจากเจ้าของร่างสูงในชุดข้าราชการทหาร ทำให้พิมพกานต์ค่อยๆ ขยับกายออกจากอ้อมกอดของผู้เป็นป้าหันไปมองคนพูดซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายเธอ จนใครเห็นก็รู้ว่าต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันอย่างแน่นอน หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ แม้จะหายโกรธอีกฝ่ายแล้ว แต่อดพูดประชดออกไปไม่ได้ตามความรู้สึกแง่งอนน้อยใจที่ยังคงหลงเหลืออยู่
“พ่อมีเวลามาเยี่ยมแม่ด้วยเหรอ”
คนเป็นบิดาหน้าเจื่อนลง “ทำไมถามพ่ออย่างนั้นล่ะลูก”
“นั่นสิพี่พัฒน์ ไม่กลัวเมียพี่ว่าเอาเหรอ” พรเพ็ญที่เหมือนจะรอโอกาสอยู่ถามอดีตพี่เขยด้วยน้ำเสียงแกมเยาะหยันทั้งที่นัยน์ตาแดงก่ำ
“แล้วทำไมพี่จะต้องกลัวใครว่าเอาด้วยล่ะเพ็ญ” นาวาเอกสุพัฒน์ถามพลางดึงบุตรสาวมากอดด้วยความรักระคนสงสาร ซึ่งคนถูกกอดแม้จะยอมให้กอด แต่คนเป็นบิดาก็มองออกว่าแม้เจ้าตัวจะหายโกรธเขาแล้ว แต่ความน้อยใจที่เขาสัมผัสได้ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่แค่นี้คนทำผิดอย่างเขาก็ดีใจแล้ว เวลาเท่านั้นที่จะช่วยให้ทุกอย่างคลายลง
“นั่นสิยายเพ็ญ ใครมันจะกล้าว่า” นางปิ่นประภาถามเสียงสูง
“คืออย่างนี้จ้ะป้าจี่ มีคนเล่าให้เพ็ญฟังว่าเมียพี่พัฒน์เที่ยวไปพูดปาวๆ ในตลาดว่าไม่อยากให้พี่พัฒน์มาเหยียบโรงพยาบาลเพราะกลัวจะติดเชื้อโรค อย่าให้เจอตัวนะ แม่จะด่าให้อายคนทั้งโรงพยาบาลเลยคอยดู” พรเพ็ญพูดอย่างเจ็บแค้นแทนพี่สาว