บทที่ 1 ตรอมใจ
แคว้นต้าเซี่ย
สายลมกลางฤดูหนาวค่อนข้างเหน็บหนาวไม่น้อย ยามนี้ หลี่จื่อเวย กำลังนอนอยู่บนเตียง พลางส่งเสียงไอออกมาเป็นระยะ นางค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง ร่างบางพลันสั่นเทาด้วยความหนาวเย็น เมื่อเหม่อมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง ก็พบว่ายามนี้หิมะเริ่มบางตาลงไปไม่น้อยแล้ว แต่ทว่าอากาศภายนอกกลับยังคงหนาวเย็นอยู่
"แค่กแค่ก"
หลี่จื่อเวยรู้สึกคอแห้งเหลือเกิน นางหันมองไปที่โต๊ะไม้ซึ่งอยู่ข้างเตียงนอน เพื่อมองหาน้ำชาร้อนๆ มาดื่มเพื่อขับไอเย็นออกจากร่างกาย แต่ทว่าเมื่อนางยื่นมือไปจับกาชา กลับพบว่าในกาชานั้นไม่มีน้ำชาเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
"เถาเถา เถาเถา นำชาร้อนมาให้ข้าที แค่กแค่ก"
เสียงเรียกของนางค่อนข้างอ่อนแรง อีกทั้งยังไอออกมาไม่หยุด นางไอเสียจนเจ็บระบมไปทั่วทั้งลำคอ
"ฮูหยินน้อย บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ"
สตรีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนใจ ก่อนจะนำผ้าห่มที่นางนำติดมือมาด้วยห่มให้หลี่จื่อเวยเพิ่มอีกผืนหนึ่ง
"ฮูหยินน้อย ห่มผ้าเพิ่มอีกหน่อยนะเจ้าคะ ยามนี้ในห้องเก็บของมีเพียงผ้าห่มผืนนี้ที่ยังเหลืออยู่ เอ่อ บ่าวจะไปต้มน้ำร้อนมาให้ท่านดื่ม ชาดีๆ ล้วนถูกนายน้อยนำไปขายเป็นเงินหมดแล้วเจ้าค่ะ"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มขมขื่นออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อน
นางคือบุตรสาวคนโตของจวนตระกูลหลี่บิดาของนางเป็นตระกูลคหบดีที่ค่อนข้างมีฐานะ แต่เพราะท่านพ่อติดการพนันจนครอบครัวตกอับ และได้รับการยุยงจากอนุฉินให้ส่งนางมาแต่งเข้าจวนตระกูลมู่หรง ตระกูลคหบดีที่มีเงินทองอยู่ไม่น้อย นางจึงต้องแต่งงานกับ มู่หรงซาน คุณชายใหญ่ตระกูลมู่หรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สินสอดที่ทางตระกูลมู่หรงมอบให้ก็ถูกท่านพ่อนำไปใช้หนี้การพนันจนหมดแล้ว สินเดิมที่นางนำติดตัวมาก็มีไม่มาก ยามนี้ก็ถูกมู่หรงซานใช้ไปเกือบหมดแล้ว
มารดาของนางตายจากไปเมื่อสามปีก่อน ท่านพ่อหลงอนุจนไม่สนใจนาง ชีวิตของนางลำบากตั้งแต่ไร้ท่านแม่คอยปกป้อง ท่านแม่ของนางนั้นเดิมทีเป็นเพียงบุตรสาวของพ่อค้าที่ไม่ได้ร่ำรวย ไหนเลยจะทำให้ท่านพ่อใส่ใจรักใคร่เท่าอนุฉินที่มากเล่ห์กล อนุฉินนั้นเดิมทีเป็นม้าผอมที่ถูกขายออกมาจากหอนางโลม ท่านพ่อไปพบเจอนางเข้าและพานางเข้าจวน นางนั้นมีบุตรสาวหนึ่งคนและบุตรชายหนึ่งคน ท่านพ่อไม่สนใจกฎระเบียบอันใด นานวันเข้าก็ยกยอนางขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทนที่ท่านแม่ของนาง
เมื่อนางแต่งเข้าจวนตระกูลมู่หรงได้ไม่นาน บิดาของมู่หรงซานก็มอบร้านอาหารให้นางหนึ่งร้าน เป็นร้านเล็กๆ อีกทั้งยังมีโรงน้ำชา และเงินทองอีกไม่น้อย มอบให้นางและเขาเป็นของขวัญวันแต่งงาน ตระกูลมู่หรงมีบุตรชายที่เกิดจากบ้านใหญ่หนึ่งคนก็คือมู่หรงซาน ส่วนบ้านรองคือบ้านของท่านอารอง ซึ่งก็คือน้องชายของท่านพ่อของมู่หรงซาน บ้านรองนั้นมีบุตรชายหนึ่งคนเช่นกันมีนามว่ามู่หรงเฉิน ได้ยินว่าเพิ่งจะแต่งงานไปเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งสะใภ้บ้านรองยังเป็นลูกสาวของบัณฑิตที่มีหน้ามีตาอีกด้วย
เพราะถูกเลี้ยงดูตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขานิสัยเสีย ไม่เห็นหัวใคร ติดการพนัน ดื่มสุรา คบหาสหายชั่ว แรกเริ่มเขาก็ดีกับนาง รับปากนางทุกอย่าง แต่ทว่าผ่านไปเพียงไม่นาน เขาก็เริ่มนำสินเดิมที่นางมีไปขาย จากนั้นก็เริ่มนำสมบัติที่มีไปขายอีกเพื่อแลกเงินไปเข้าโรงพนัน พ่อแม่สามีเองก็ปวดหัวไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าจะห้ามปรามเช่นไรดี อีกทั้งมู่หรงซานยังเถียงบิดามารดาของตนและไม่เชื่อฟัง เขาหยิ่งผยองไม่เห็นหัวใคร เขาพานางย้ายมาอยู่ที่เรือนเล็กท้ายจวนเพราะรำคาญเสียงบ่นของผู้เป็นมารดา เมื่อเขาอวดเก่งเช่นนี้บิดามารดาของเขาจึงไม่สนใจไยดีเขาและนางอีก
นางยังไม่ได้มีบุตรหรือตั้งครรภ์เนื่องจากสุขภาพไม่สู้ดี จนกระทั่งสามเดือนก่อนนางล้มป่วย ไม่มีเงินไปรักษาร่างกาย อาการจึงทรุดหนักลงเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่กล้าบอกแม่สามีเพราะไม่อยากให้ต้องวุ่นวายกันไปทั้งจวน อีกอย่างตัวนางเองก็เหมือนแต่งงานเข้ามาใช้หนี้ จึงไม่กล้ามีปากมีเสียงอะไร
หลี่จื่อเวยที่นึกถึงอดีตอันขมขื่นก็ยิ่งเจ็บปวดจนไอออกมาเป็นโลหิต ความหนาวเย็นเกาะกินร่างกายของนาง นางล้มตัวลงนอน ก่อนจะเริ่มหายใจถี่กระชั้น หลี่จื่อเวยเริ่มรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเลือนรางลงไปทุกขณะ ก่อนจะมืดดับไป
นางได้ตายไปพร้อมกับความขมขื่นที่กัดกินจิตใจมานานปีเสียแล้ว
หลังจากหลี่จื่อเวยตายไปได้หนึ่งวัน มู่หรงซานก็กลับจวนมาพอดี เขาไปใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพนันมาถึงสามวันสามคืน แต่ทว่ากลับเสียพนันจนหมดตัว เขาโมโหเป็นอย่างยิ่ง มารดามันเถอะ!!! เขาขายยันผ้าห่มแล้วนะ เหลือแค่ขายเมียเท่านั้น
ไม่สิ!!! เมียขายไม่ได้
เมื่อนึกถึงใบหน้าของหลี่จื่อเวยขึ้นมา มู่หรงซานก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที ภรรยาของเขางดงามเป็นที่สุด นางทั้งอ่อนโยน อีกทั้งยังไม่มีปากมีเสียง เขาจะทำสิ่งใดนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเขาเลยแม้แต่ประโยคเดียว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงตั้งใจจะเดินไปหานางที่ห้องนอนทันที แต่ว่าพอเดินเข้ามาในจวนก็พบว่าทั่วทั้งจวนต่างประดับผ้าสีขาวดำราวกับจัดงานศพ มู่หรงซานขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ที่บ้านมีใครตายเช่นนั้นหรือ ถึงเอาผ้ามาประดับเช่นนี้ อัปมงคลสิ้นดี
“ซานเอ๋อร์ เจ้ารีบไปดูภรรยาเจ้าเถิด นางตายแล้ว!!!”
เสียงของผู้เป็นมารดาทำให้มู่หรงซานต้องชะงักไปชั่วขณะ เขาหันขวับมามองท่านแม่ของตน ก่อนจะเอ่ย
“ท่านแม่ ไม่พอใจที่ข้าไม่ช่วยงานก็ช่างเถิด เหตุใดจึงต้องมาแช่งเมียข้าให้ตายด้วย!!!”
“แช่งกับผีน่ะสิ นางตายจริงๆ!!! เพราะเจ้านั่นแหละ นางป่วยหนักถึงเพียงนี้เจ้ายังอวดดีไม่มาบอกข้าสักคำ”
มู่หรงซานที่เห็นสีหน้าของมารดาว่าไม่ได้พูดเล่นก็รู้สึกใจคอไม่ดี เขาไม่ถามสิ่งใดอีกก็รีบพุ่งเข้าไปในเรือนเล็กทันที
เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าภรรยารักกำลังนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับเคลื่อนไหว ใบหน้างามซีดเผือด มู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี
"เถาเถา!!! เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจือจือจึงนอนหน้าซีดเช่นนั้น"
"ฮือ นายน้อย ฮูหยินน้อยตายแล้วเจ้าค่ะ"
"ฮะ!!!"
มู่หรงซานตกใจจนหน้าซีด เขารีบเดินเข้าไปหาหลี่จื่อเวยทันที ก่อนจะยื่นนิ้วไปแตะที่ปลายจมูกของนาง ฉับพลันเขาก็รู้สึกชาไปทั้งร่าง ก่อนจะรีบอุ้มนางมากอดเอาไว้
"จือจือ!!! จือจือ เจ้าตื่นสิ ฮือ จือจือ!!!"
เขากอดร่างที่ไร้วิญญาณของนางและร้องไห้ออกมา ก่อนจะค่อยๆ ครุ่นคิด
หากเขากลับมาจากโรงพนันเร็วกว่านี้ นางก็คงไม่ตาย
แต่จะให้ทำเช่นใดได้ ยามนั้นมือเขากำลังขึ้นนี่นา จะรีบกลับมาก็เสียดาย!!!
ฉับพลันเขารู้สึกว่าสตรีที่ตนกอดเอาไว้คล้ายจะขยับตัวเล็กน้อย เมื่อมู่หรงซานก้มลงมองก็พบกับหลี่จื่อเวยที่กำลังเหลือบตาขึ้นมามองเขา ใบหน้าของนางซีดขาว ท่าทีเช่นนี้ราวกับผีอาฆาตที่กำลังจ้องมองเขาอย่างไรอย่างนั้น
มู่หรงซานรีบผละออกจากนางทันที ก่อนจะขยับไปกอดเสาเตียงเอาไว้แน่น ปากก็ร้องไม่เป็นภาษา
"จือจือ!!! เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย ข้ารู้ว่าข้าน่ะหล่อเหลา ลีลาก็เร่าร้อน เจ้าตัดใจจากข้าไม่ได้ แต่มาทำเช่นนี้มันไม่ถูกต้อง เจ้าต้องไปเกิดนะ ข้าสัญญาว่าจะเข้าโรงพนันหาเงินมาซื้อของเซ่นไหว้เจ้าทุกวัน!!!"
หลี่จื่อเวยเอียงคอมองมู่หรงซานคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ไอ้คนบัดซบนี่มันเป็นใครวะเนี่ย?