จบประโยคที่เชือดเฉือนร่างเล็กรีบสลัดตัวด้วยความแรงเท่าที่มี เร่งฝีเท้าเหยียบย้ำทางเดินพื้นหยาบด้วยน้ำตานองหน้าอย่างเสียใจ เธอวิ่งขึ้นห้องด้วยความเร็วเพื่อหลบลี้หลีกหนีภัยอันตรายที่อยู่ด้านหลัง ห้องนอนเท่านั้นที่เป็นที่ปลอดภัยสำหรับเธอในตอนนี้
ปัง~ปัง~ปัง
กำปั้นหนักทุบเข้าที่ประตูหน้าห้องของคนที่ถูกเค้ารังแกเมื่อครู่หลายต่อหลายครั้ง ประตูห้องสีขาวที่ปิดสนิทในยามค่ำคืนไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออกมาได้ง่ายๆ พยัคฆ์รีบเดินไปหยิบดอกกุญแจสำรองมาไขประตูห้องอย่างสึกโมโห
" เธอคิดว่าจะหนีฉันพ้นหรอนารี" พยัคฆ์พึงพำอย่างหัวเสียมือก็ไขกุญแจอย่างหงุดหงิด
แกร๊ก!
“ลุกขึ้นมาคุยกับฉันให้รู้เรื่องนะนารี”
“ยังไม่สะใจอีกหรอคะถึงตามมาด่านารีถึงในห้อง เอาสิคะ ฮึก จะด่าแบบไหนดี ยัยเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าดีไหม ยัยเด็กขาดความอบอุ่น ยัยเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ ยัยเด็กไร้ค่า แบบนี้ดีไหมคะ พอใจพี่พยัคฆ์รึยังสะใจรึเปล่า ฮึก”ทุกอย่างที่เด็กสาวพรั่งพรูออกมามันอยู่ใต้หลุมมืดลึกของหัวใจที่เธอกดเอาไว้ รอแค่วันปะทุเท่านั้นเอง
“รู้ตัวเองดีนี่! เธอไม่ควรปล่อยน้ำตาไร้ค่าของเธอออกมาให้คนอื่นได้เห็นนะเพราะมันน่าสมเพช”
“นารีก็ไม่ได้อยากน่าสมเพชในสายตาใคร แต่ใจของคนเรามันเปราะบางหรือเข้มแข็งไม่เท่ากันหรอกค่ะ งั้นมันจะมีคำว่าโรคซึมเศร้าและคิดฆ่าตัวตายอยู่บนโรคนี้ทำไมจริงไหมคะ?”
“ถ้ารู้ตัวว่าไร้ค่าขนาดนั้นเธอจะอยู่บนโลกนี้ทำไมจริงไหม?” เพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่ทำให้ใจดวงน้อยดำดิ่งลงเหว เหมือนสายฟ้าฟาดผ่านขั่วหัวใจพร้อมฆ่าเธอให้ตายแดดิ้น
มือเล็กทั้งสองข้างกำชายเสื้อบางจนแน่น ม่านน้ำตาผลิตบดบังกรอบตาสวยจนพร่าเลือนอย่างน่าสงสาร เสียงสะอื้นไห้ที่ไม่ได้กรี๊ดร้องฟูมฟายทำให้พยัคฆ์ตกใจกับภาพที่เห็น ใจแกร่งกระตุกจี๊ดเหมือนเข็มแหลมเข้าทิ่มแทงเนื้ออ่อนของตัวเอง
ฮึก~ฮึก~ฮึก
ร่างบางที่เคยเข้มแข็งกลับอ่อนแรงลงจนเข่าอ่อนยวบ นารีปล่อยตัวลงพื้นอย่างทิ้งตัว ก้นน้อยกระแทกพื้นไม้ปาร์เก้ด้วยความแรงแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บที่ร่างกายสิ่งที่เธอเจ็บปวดมากมายคือหัวใจดวงน้อยต่างหาก
น้ำตาที่เคยพร่าเลือนก่อนหน้ามันไหลหยดย้อยตามแรงโน้มถ่วงของโลกผ่านแก้มนวลหยดแมะลงพื้นอย่างน่าสงสารเธอก้มหน้าอยู่แบบนั้นโดยไม่เหงิบเงย ดวงตาคมขลับวูบไหวเพียงชั่วครู่ก็กลับมาเกรี้ยวกราดดังเดิม พยัคฆ์ทิ้งระเบิดตูมใหญ่เอาไว้ แล้วเดินออกไปอย่างไม่รู้สึกผิด ก็ใครใช้ให้เธออยากแต่งงานกับฉันกันละเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้รู้จักนึกกลัวจนไปบอกคุณย่าว่าไม่อยากแต่งกับฉัน หึ!
เช้า
นารีที่เดินลงมาด้วยหน้าตาที่ไม่สดใส ขอบตาบวมช้ำที่ผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน แม้แต่นอนเธอยังสะอื้นใจแทบขาด
“คุณหนูทำไมหน้าซีดแบบนี้ค่ะ? ไม่สบายรึเปล่า” นมวาสรีบเดินเข้ามาหานารีที่กำลังก้าวเท้าเดินลงบันไดขั้นสุดท้ายพลางส่งมืออุ่นที่สะอาดแตะอังหน้าผากมนดวงความตื่นตระหนก
“นารีไม่ได้เป็นอะไรค่ะนมวาส แค่ปวดหัวนิดหน่อย” เด็กสาวฝืนยิ้มประดับขึ้นที่ใบหน้าเพื่อไม่ให้นมวาสเป็นห่วง
“แต่คุณหนูหน้าซีดมากเลยนะคะตัวลุมๆเหมือนจะไม่สบาย”
“นมวาสเป็นห่วงนารีใช่ไหมคะ?” เธอเอ่ยถามในขณะที่สายตาก็ยังมองคนสูงวัยอยู่แบบนั้น ด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“เป็นอะไรคะบอกนมได้ไหม? เผื่อสิ่งอึดอัดที่อยู่ในใจเวลาระบายออกมาจะทำให้คุณหนูของนมดีขึ้นนะคะ” นมวาสที่ใช้ชีวิตมาค่อนอายุลูบหลังมือนุ่มอย่างแผ่วเบา นั้นยิ่งทำให้นารีคิดได้ว่าเธอไม่ควรทำให้คนที่รักและห่วงเธอทุกข์ใจไปด้วย นี่ขนาดนมวาสที่เห็นเธอในช่วงเช้ายังเป็นห่วงเธอขนาดนี้ แล้วถ้าคุณแม่กับคุณย่าพุ่มเห็นละท่านจะรู้สึกยังไง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอรีบวิ่งเข้าห้องน้ำล้างหน้าอีกครั้งเพื่อเรียกความสดใสสดชื่นกลับคืนมา
“คุณหนูทำอะไรคะ”
“นารีดูสดใสยังค่ะนมวาส” นารีที่วิ่งไปห้องน้ำเมื่อสักครู่หอบหิ้วพกพาตัวเองออกมาด้วยความสดใส
“คนเก่งของนมไปทานข้าวเช้านะคะจะได้ทานยา” นารีเดินตามไปอย่างว่าง่ายด้วยใบหน้าที่แสร้งทำเป็นสดใสเพื่อกลบเกลื่อนบดบังความเศร้าหมองของใบหน้าอีกชั้น
พยัคฆ์ที่เดินตามหลังนารีมาติดๆ หย่อนก้นลงนั่งในที่ประจำ ถึงจะนั่งกันคนละฝั่งแต่หน้าก็หันเข้าหาเจอกันอยู่ดี
นารีนั่งทานข้าวเงียบๆ ฟังผู้ใหญ่คุยกันสัพเพเหระ จนวกวนเข้ามาถึงเรื่องแต่งงานของพยัคฆ์กับนารี
“แม่รัศมีได้ฤกษ์แต่งงานวันไหนเดือนไหนบอกแม่สิ”คุณอย่าพุ่มเอ่ยถาม
“เดือนหน้าค่ะคุณแม่ก่อนที่หนูนารีเปิดเทอมค่ะ” คุณหญิงรัศมีที่อิ่มข้าวพอดีหยิบผ้าขาวที่มีลักษณะพับครึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่อยู่บนตัก ขึ้นมาซับที่มุมปากพลางเอ่ยบอกแม่ของสามีด้วยรอยยิ้มปลื้มปิติ
เคร้ง!
เสียงช้อนที่กระทบกับจานข้าวจนเกิดเสียงดังจากความไม่พอใจของคนตัวโตบนโต๊ะอาหารทำให้คุณปู่เปล่งเสียงเอ็ดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“แกควรจะมีมารยาทให้มากกว่านี้นะพยัคฆ์ อย่าหยาบคายกับคนในครอบครัว”