การนัดดูตัวครั้งที่สามสิบเจ็ดของรจนา เธอได้ถูกมารดานัดดูตัวกับนักธุรกิจคนหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องรีบแต่งงาน ซึ่งเธอเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเขาและไม่รู้เหตุผลว่าเขาอยากแต่งงานเพราะอะไร
หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดที่ดูสวยดูตามที่มารดาเลือกให้ แต่งหน้าสวยสง่าในวัยสามสิบสอง เพื่อออกไปพบกับคู่เดทของตน
“คราวนี้อย่าแผลงฤทธิ์อะไรใส่เขาอีกล่ะ แม่ล่ะแปลกใจจริงๆ ลูกคนอื่นแต่งงานไปหมดแล้ว ลูกสาวแม่อายุอานามก็สามสิบกว่า แต่ยังไม่ยอมแต่งงานมีแฟน” ผู้เป็นมารดาได้แต่บ่นตามประสาแม่ที่ห่วงลูก
“คนเรามีความสุขในชีวิตต่างกันค่ะแม่ จริงๆ หนูไม่ต้องมีแฟนก็สามารถดูแลตัวเองได้ แล้วอีกอย่างคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนจะรักกันจริงๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”
“แต่ว่าก็มีหลายคนที่พบรักแท้และได้แต่งงานกันในที่สุดไม่ใช่เหรอลูก”
“แต่คนนี้รีบแต่งงานเกินไป ดูไม่น่าเชื่อถือนะคะ”
“โรส เปิดใจหน่อยเถอะลูก ลูกจะระแวงผู้ชายทุกคนว่าจะเป็นเหมือนคู่อื่นๆ ไม่ได้หรอกนะ” พจนีย์บอกลูกสาวเสียงอ่อน
“เอาเป็นว่าครั้งนี้หนูจะพยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกันค่ะ ถ้าเขายืนยันว่าอยากแต่งงานกับหนู หนูก็จะแต่งงานกับเขา” เธอบอกมารดาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ ...มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากแต่งงานกับเธอแน่
รจนาไปที่ร้านอาหารตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ ขณะที่เธอจอดรถอยู่นั้นก็มีพนักงานขับรถส่งอาหารคนหนึ่งขับรถมาล้มอยู่ที่ท้ายรถของเธอ
หญิงสาวรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปดูคนเจ็บก่อน โดยไม่สนใจรถของตัวเองเลยสักนิด
“น้องเป็นยังไงบ้างคะ ให้พี่เรียกรถพยาบาลไหม” เธอถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรครับ ถลอกนิดเดียว แต่ว่ารถของพี่ผมไม่รู้ว่าโดนเฉี่ยวหรือเปล่า” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ไม่ต้องห่วงรถพี่หรอกค่ะ ห่วงตัวเองเถอะ จะขับรถไหวไหม มีออร์เดอร์ที่ต้องรีบเอาไปส่งหรือเปล่า” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะรู้ว่าพนักงานขับรถส่งอาหารหากส่งช้าจะมีผลต่อคะแนนประเมิน
“พอดีผมเลิกงานพอดีครับ กำลังจะกลับบ้าน” เขาตอบแล้วก้มหน้าลงอย่างสุภาพเหมือนคนเจียมตัว จนหญิงสาวมองด้วยความสงสาร และไม่อยากเอาเรื่องเขา
“งั้นน้องไปเถอะ”
“ขอบคุณมากที่ไม่เอาเรื่องผม” เขาบอกแล้วรีบขับรถออกไปเมื่อเจ้าของรถอย่างเธอไม่เอาเรื่อง
หลังจากนั้นรจนาก็สะพายกระเป๋าเตรียมตัวจะเดินเข้าไปที่ร้านอาหาร เห็นสองยายหลานกำลังคุ้ยขยะอยู่แล้วเด็กกำลังจะกินเศษอาหารในถุงขยะจึงรีบเดินไปดูเพราะทนเห็นไม่ได้
“อย่ากินนะ มันกินไม่ได้” เธอร้องบอกแล้วหยิบถุงเศษอาหารทิ้งลงในถัง
“แต่พวกเราหิวนี่” ยายบอกแล้วจะคุ้นขยะให้หลานกิน
“ยายอย่าคุ้นขยะ รอแป๊บนะเดี๋ยวหนูซื้อหมูปิ้งตรงนั้นให้” รจนาบอกแล้วเดินกึ่งวิ่งไปยังแผงขายหมูปิ้งข้างทางที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมกับน้ำดื่มที่ติดในรถตนอีกสองขวดมาให้กับทั้งคู่
“นี่จ๊ะ ข้าวเหนียวหมูปิ้งแล้วก็น้ำดื่ม” เธอยื่นให้สองยายหลาน
“ขอบใจมากนะแม่หนู ขอให้แม่หนูเจริญๆ ขึ้นไปนะลูก”
“ขอบคุณนะครับป้า” เด็กชายกล่าวเช่นนั้นทำให้รจนาถึงกับเอามือกุมหน้าตัวเอง
“นี่หนูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอคะยาย” รจนาพูดเสียงอ่อนแล้วทำหน้ามุ่ยเหมือนน้อยใจมากกว่าจะเป็นการโกรธ
“ไม่หรอกแม่หนู พ่อแม่เจ้าตัวเล็กนี่อายุยี่สิบกว่าๆ เอง มีลูกตั้งแต่ตอนสิบเจ็ดสิบแปด เด็กมันเลยเรียกแบบนั้น” ยายหัวเราะเบาๆ ที่คนสวยใจดีตรงหน้าตัดพ้อเด็กน้อยที่เรียกเธอว่าป้า
“อย่างนั้นหนูค่อยสบายใจหน่อย” รจนากล่าวแล้วโบกมือให้สองยายหลาน แล้วเดินไปที่ร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไป
เธอเดินเข้าไปแจ้งชื่อกับพนักงานและถูกเชิญให้เข้าไปนั่งในห้องวีไอพีที่มีชายวัยประมาณสี่สิบนั่งรออยู่
รจนาปรับสีหน้าเป็นคนที่ดูเหวี่ยงและเจ้าเล่ห์ แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเขา
“คุณมาช้าไปสิบนาที” เขาพูดขึ้นมาเสียงเรียบแล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ค้นหา
“พอดีรถติดค่ะ” เธออ้างเหตุผลอื่นไม่ได้บอกว่าตัวเองแวะช่วยคนขับรถส่งอาหารและสองยายหลานคู่นั้น
“ตายจริง อาหารน่าทานมากเลยนะคะ แต่ฉันทานไม่ได้เลยสักอย่าง ขอสั่งใหม่ได้หรือเปล่าคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่มีจริตจะก้านแล้วแกล้งทำเป็นเรื่องมากกับอาหารตรงหน้า
“ผมสั่งมาตั้งเยอะ”
“แล้วไงคะ ฉันไม่ชอบ สามชั้นทอดน้ำปลานี่ก็ไขมันเยอะ พะแนงนี่ก็มีแต่กะทิกินแล้วเลี่ยน แล้วยังจะปลาทอดกระเทียมฉันไม่กินกระเทียม แล้วก็..”
“จะไม่ถามชื่อผมก่อนเหรอครับ คุณโรส” เขาถามขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
หญิงสาวลอบยิ้มที่มุมปากที่ทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดได้
“ตายจริง ฉันลืมไปเลย แล้วคุณชื่ออะไรคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ดูดัดจริตจนน่าหมั่นไส้
“ทิวัช” เขาพูดเสียงเรียบแล้วกระตุกยิ้มขึ้นมา สบตาเธอจนรจนารู้สึกว่าเขาดูน่ากลัวกว่าที่เธอคิด
“เอ่อ ฉันอยากสั่งอาหารใหม่ ตกลงจะให้สั่งหรือเปล่า” เธอพยายามทำใจดีสู้เสือ สายตาของเขาทำเธอหวั่นใจอย่างประหลาด
“ตามใจคุณสิครับ” เขาผายมือเชิญเธอแล้วมองด้วยสายตาที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกอึดอัดใจ
‘ให้ตายสิ ตอนแรกเหมือนไม่พอใจ ตอนนี้ทำไมยิ้มน่ากลัวแบบนี้นะ’
**********************
รจนากลับถึงบ้านพร้อมกับถุงอาหารที่ห่อกลับมาจากร้านอาหาร เพราะเมนูที่ทิวัชสั่งมาแล้วเธอไม่ทานนั้นเธอเปลี่ยนใจในภายหลังให้พนักงานห่อกลับบ้านเพื่อนำกลับมาด้วย เพื่อให้เขาเห็นถึงความตะกละและโลภมากของเธอ
“หอบอะไรมาเยอะแยะเชียวลูก”
“อาหารเย็นของเราไงคะแม่ พอดีเขาซื้อให้หนูเอากลับมาทานที่บ้าน”
“เขาใจดีขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“ใช่แล้วค่ะแม่” หญิงสาวพูดแล้วยกยิ้มอย่างพอใจ คิดว่าผู้ชายเห็นเธอสั่งห่ออาหารกลับบ้านอย่างนี้คงจะถอดใจจากเธอแน่แล้ว
“คู่ดูตัวครั้งนี้แสดงว่ามีฐานะสินะ” พจนีย์พูดด้วยความดีใจ
“อ้าว แล้วแม่ไม่รู้จักเขาแล้วนัดให้หนูไปดูตัวกับเขาได้ยังไงคะ”
“พอดีแม่ก็คุยกันกับคุณฉวีที่เป็นประธานชมรมนัดดูตัว แล้วเขาแนะนำมาอีกทีน่ะ ก็รู้แค่ว่าเขายังโสด และอยากแต่งงานให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น”
“แต่เหมือนเขาจะรู้จักหนูดีทีเดียวล่ะ หนูยังไม่ได้แนะนำตัวเลยก็รู้จักชื่อหนูแล้ว” รจนาพูดขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าตอนนั้นทิวัชเรียกชื่อของเธอทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอกชื่อกับเขา
“สงสัยคุณฉวีเล่าให้เขาฟังละมั้ง เห็นว่าเขาติดต่อเข้ามาขอนัดดูตัวเองเลยนะ” พจนีย์บอกอย่างนั้น เพราะปกติแล้วคนที่จะมาใช้บริการนัดบอดกับฉวีนั้น ส่วนมากผู้เป็นพ่อเป็นแม่จะเป็นคนติดต่อมามากกว่า
“พูดยังไม่ทันขาดคำเลย คุณฉวีโทรมาแล้ว” พจนีย์พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นแล้วกดรับสายนั้น
พจนีย์มองลูกสาวแล้วเอามือทาบอกด้วยความตกใจ ตั้งใจฟังสิ่งที่ปลายสายบอกแล้วกดวางสายไปด้วยมือไม้ที่สั่นเท่า
รจนาลอบยิ้ม ฉวีคงบอกว่าผู้ชายที่เธอดูตัวด้วยปฏิเสธและเล่าวีรกรรมของเธอให้มารดาฟังแน่ ถึงได้มือไม้สั่นแบบนี้คงกำลังโกรธเธอ
‘เตรียมตัวหูชาแน่เรา’
แต่ว่าพจนีย์ยังคงนิ่งไป ท่าทางดูตกใจมากกว่าจะโกรธ ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกสงสัยอยากรู้คำตอบแล้ว
“สรุปเป็นยังไงคะ แม่ผู้ชายคนนั้นอยากนัดเจอโรสอีกเหรอคะ” เธอถามเป็นกังวล
“เขาไม่เดทกับแกแล้วยายโรส แต่เขาจะแต่งงานกับแกต่างหากล่ะแล้วแกก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วย งานแต่งงานของแกกำลังจะถูกจัดขึ้นในอีกเจ็ดวัน” พจนีย์บอกลูกสาวเสียงสั่น
“ห๊ะ! แต่งงานอีกเจ็ดวันเหรอคะ” รจนาถามด้วยความตกใจไม่แพ้มารดา
“ใช่แล้วโรสจะต้องแต่งงานในอีกเจ็ดวันและถ้าไม่แต่งบ้านเราซวยแน่ นั่นผู้มีอิทธิพลใหญ่ในจังหวัดเลยนะลูก”
“เขามีอิทธิพลขนาดนั้นเลยเหรอคะ” รจนารู้สึกสังหรณ์ใจตั้งแต่เห็นแววตาของทิวัชที่จ้องมองเธอแล้ว ว่ามันมีเลศนัยแปลกๆ
“ลูกเคยได้ยินชื่อชื่อแก๊งพยัคฆ์คำรามหรือเปล่า”
“ไม่เคยได้ยินค่ะ” เธอตอบมารดาเสียงสั่น
“แก๊งพยัคฆ์คำรามคือกลุ่มมาเฟียที่โหดมากเลยทีเดียว แล้วคุณทิวัชเขาเป็นหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์คำราม” พจนีย์บอกลูกสาวถึงสาเหตุของการแต่งงานที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
รจนาตกใจเป็นอย่างมากที่ท้าทายเขาบนโต๊ะอาหารแบบนั้น ไม่ถูกเขาบีบคอตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว
“พรุ่งนี้เขาจะมารับโรสไปลองชุดแต่งงาน เตรียมตัวเอาไว้นะ แล้วทำตัวดีๆ ด้วย คราวนี้ลูกเจอคนจริงแล้ว” พจนีย์บอกแล้วเดินไปนั่งดมยาดมที่โซฟากับเรื่องงานแต่งงานฟ้าแลบของบุตรสาว
**********************
ทิวัชมารับเธอไปลองชุดแต่งงานด้วยกันในวันต่อมา โดยที่เขานั่งรถตู้สีดำและมีคนขับรถให้ เขามีสีหน้าที่ดูพอใจเมื่อเจอหน้าเธออีกครั้งในขณะที่รจนาก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับเขา
พจนีย์ให้การต้อนรับว่าที่ลูกเขยเป็นอย่างดี แต่เพราะทิวัชไม่อยากเสียเวลาอยู่นาน เขาจึงขอตัวรจนาให้ไปกับเขาอย่างสุภาพ และพจนีย์ก็อนุญาตทันทีโดยไม่ต้องคิดนาน
“แม่ฝากดูน้องด้วยนะคะ คุณทิวัช”
“ผมกำลังจะมาเป็นลูกเขยแม่แล้ว เรียกผมว่าวัชเฉยๆ ก็ได้ครับ” ทิวัชบอกเสียงนุ่มแล้วหันมามองรจนาด้วยสายตาที่ดุดัน
“เราขึ้นรถเถอะ” เขาพูดกับเธอเชิงออกคำสั่ง ทำให้รจนาต้องรีบทำตามเขาเพราะไม่อยากมีปัญหา
“ไม่ถามเหรอว่าทำไมผมถึงจะแต่งงานกับคุณรวดเร็วขนาดนี้” เขาถามเธอเสียงเรียบ รจนารู้สึกเกร็งถ้าจะเงียบก็กลัวโดนเขาต่อว่าจึงตัดสินใจถามออกไปเสียงเบา
“ทำไมคะ”
“เพราะผมอยากแต่งงานก่อนอายุสี่สิบ อีกเจ็ดวันจะเป็นวันเกิดผม ผมจึงต้องแต่งงานในอีกหกวันข้างหน้านี้”
“ทำไมคุณต้องอยากแต่งก่อนอายุสี่สิบค่ะ”
“เพราะถ้าผมไม่แต่งงานก่อนอายุสี่สิบ ผมจะอดได้มรดกตามพินัยกรรมที่แม่ผมเขียนไว้นะสิ”
“ถ้ามีเรื่องมรดกมาเกี่ยวข้อง คุณจะหาผู้หญิงที่ไหนก็ได้นี่ค่ะ ใครๆ ก็อยากร่ำรวยสุขสบาย ทำไมต้องเป็นฉัน” รจนาตัดสินใจถามเขาไปตรงๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิด
“ถ้าผมจะเลือกผู้หญิงสักคนมาแต่งงานกับผม ก็ต้องเป็นคนที่ผมวางใจได้ ไม่เห็นแก่เงินเพียงอย่างเดียว ผมไม่ใช่คนที่สักแต่ว่าเลือกใครก็ได้หรอกนะ” เขาพูดแล้วก้มหน้าเช็กราคาหุ้นโดยไม่สนใจเธออีก
รจนาพยายามทำตัวเรื่องมากบนโต๊ะอาหารแต่กลับเตะตาผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร เธอเองก็สงสัยไม่น้อย
พอถึงร้านชุดเจ้าสาว รจนาเข้าไปลองชุดแต่งงานที่เขาเลือกไว้ให้ เธอเดินออกมาให้เขาดูในชุดที่สวยละมุนจนทิวัชนั้นเผลอยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
หลังจากลองชุดเสร็จแทนที่เขาจะพาเธอไปส่งบ้านก็กลับพาเธอไปทานอาหารต่อ แต่รจนาก็ไม่กล้าบ่นเพราะมารดาย้ำนักย้ำหนาว่าให้เอาใจเขาเพราะว่าอิทธิพลของเขานั้นมีผลต่อความอยู่รอดของครอบครัวเธอ
“คุณฉวีบอกว่าดูตัวมากถึงสามสิบเจ็ดครั้ง คุณอยากแต่งงานมากนักเหรอ” เขาถามออกมาตอนที่เธอกำลังดื่มน้ำอยู่ ทำให้รจนาถึงกับสำลักน้ำออกมา
“แล้วสามสิบหกครั้งก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนเลือกคุณเลยสักคน สงสัยว่าเขาคงทนคุณไม่ได้”
“ฉันไม่อยากแต่งงานต่างหากล่ะ เลยไม่เลือกพวกเขาเอง”
“แล้วทำไมถึงยอมแต่งงานกับผม”
รจนานิ่งไป จะให้บอกตรงๆ ว่ากลัวอิทธิพลก็คงทำให้เขาไม่พอใจ ยังไงก็ไม่สามารถปฏิเสธการแต่งงานได้แล้ว พูดเอาตัวรอดไว้น่าจะดีกว่า
“คุณมีฐานะที่มั่นคง ฉันคิดว่าฝากอนาคตไว้กับคุณได้” ถ้าจะให้โกหกมากกว่านี้ก็คงต้องบอกว่ารักเขาแล้วล่ะ
“ดี ตรงดี ไม่อ้อมค้อม” เขาพูดแล้วมองหน้าเธอจนหญิงสาวทานอาหารต่อด้วยความอึดอัด
“แต่ถ้าคุณแต่งงานกับฉันเพื่อที่จะรับมรดก แล้วพอถึงเวลาคุณจะหย่ากับฉันภายหลังหรือเปล่าคะ”
“ที่ถามเพราะกลัวผมจะทอดทิ้งคุณ หรือว่ากลัวไม่ได้ส่วนแบ่งมรดก”
“ฉันจะได้ทำตัวถูกไงคะ ว่าแต่งงานหลอกๆ เพื่อเอามรดกแล้วต่างคนต่างอยู่หรือว่ารอเวลาหย่า”
“แต่งงาน สร้างครอบครัว มีลูกกัน เหมือนครอบครัวอื่นๆ” ทิวัชตอบเสียงเรียบหน้าแดงก่ำ
เมื่อรจนาเธอได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป ไม่กล้าถามอะไรต่อให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจ พลางนึกในใจว่าไม่น่าตอบรับการดูตัวในครั้งนี้เลยจริงๆ
**********************