รสวจีหญิงสาวที่เกิดมาในตระกูลที่ดี หน้าตาสะสวย เธอพิการหูหนวกตั้งแต่กำเนิด แต่สามารถพูดออกเสียงได้ แต่เพราะไม่ได้ยินเสียงของตัวเองจึงทำให้เธอไม่พูดในตอนแรก จนคนคิดว่าเธอทั้งหูหนวกและเป็นใบ้ด้วย
เธอฝึกการพูดออกเสียงไปพร้อมๆ กับการใช้ภาษามือโดยมีครูสอนเฉพาะทาง เสียงที่ออกมานั้นเป็นเสียงที่แปร่งหู หากคนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าเธอเป็นคนต่างชาติที่พูดไทยไม่ชัด
และเพราะการฝึกออกเสียงนี่เองทำให้เธอเรียนรู้วิธีอ่านปากจึงพอรู้ว่าใครพูดถึงเธอว่าอย่างไรบ้าง
อย่างเช่นในตอนนี้ที่เธอตามมารดามาดูงานที่บริษัท และแนะนำตัวเธอให้ทุกคนรับรู้ว่าเป็นทายาทคนเดียวของบริษัทแห่งนี้
“ได้ข่าวว่าคุณรสวจี เอ่อ...” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลกำลังจะพูดเรื่องความพิการโดยกำเนิดของรสวจี
“ใช่ค่ะ ลูกสาวฉันบกพร่องทางการได้ยิน แต่นั่นคงไม่ใช่ปัญหาในการตัดสินใจบริหารงานของที่นี่” สะบันงาพูดเสียงเข้ม เพราะที่นี่ไม่ใช้บริษัทเจ้าของคนเดียว อำนาจการตัดสินใจทุกอย่างจึงอยู่ที่เธอเท่านั้น แม้สามีจะเป็นผู้บริหาร แต่เธอคือเจ้าของกิจการที่มีอำนาจสูงสุด
รสวจีอ่านปากมารดาและผู้จัดการฝ่ายบุคคล เธอรู้ว่ากำลังพูดถึงเธอจึงเงียบนั่งอ่านปากแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมา
สักพักประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการมาถึงของกรกันต์ เขาหันไปไหว้สะบันงาแล้วขยับไปนั่งตรงเก้าอี้ตรงข้ามรสวจี
เธอมองหน้าเขาด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีใบหน้าที่คมคายและดูดีมาก การแต่งกายของเขาก็เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ดูน่าสนใจจนเธออดมองเขาไม่ได้
“กรกันต์จะทำหน้าที่ดูแลวจีและสอนงานต่างๆ ให้กับวจี” สะบันงาประกาศในที่ประชุม ทำให้ทุกคนหันมามองกรกันต์เป็นตาเดียว เพราะจากหัวหน้าสายงานผลิต จะข้ามขั้นมาเป็นผู้ช่วยผู้บริหารและสอนงานเธอแบบนี้ได้อย่างไร
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ” กรกันต์ทำภาษาสัญลักษณ์มือให้กับเธอ
“ยินดีเช่นกันค่ะ” รสวจีทำภาษามือตอบกลับไป
เมื่อเห็นว่ากรกันต์ใช้ภาษามือได้ก็ทำให้ทุกคนไม่ได้พูดขัดแย้งอะไรออกมา เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเหมาะไปกว่าเขาแล้ว
รสวจีมองเขา กรกันต์ดูนิ่งและสุขุมมาก และดูเหมือนว่าจะมีความกดดันหน่อยๆ ในหน้าที่ที่จ้องมาสอนงานเธอ
“ฉันฝากด้วยนะกันต์ เดี๋ยวจะออกไปดูห้องทำงานของวจีเสียหน่อยว่าจัดไปถึงไหนแล้ว” สะบันงาบอกแล้วลุกออกจากห้องประชุมไป เพื่อให้กรกันต์รับช่วงต่อ
“อันดับแรกผมต้องพาคุณรสวจีไปเดินชมส่วนต่างๆ ของบริษัทเราก่อนนะครับ คงต้องรบกวนผู้จัดการช่วยแนะนำด้วยเพราะผมเองยังไม่รู้จักแผนกอื่นๆ ดีพอ” กรกันต์บอกอย่างสุภาพ
“ก็แน่ล่ะ นายเป็นแค่หัวหน้างานที่อยู่ๆ ก็ดีดตัวมาเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร เพียงเพราะใช้ภาษามือได้” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
“ใช่ แน่จริงแกก็เดินไปเองสิ พาคุณวจีบ้าใบ้นี้ไปดูในโรงงาน อยากรู้เหมือนกันว่าจะบริหารงานยังไง ทั้งหนวกทั้งใบ้แบบนี้” ผู้จัดการของบริษัทพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
“ใช่ น่าจะแต่งงานกับนักธุรกิจสักคนให้มาช่วยบริหารงาน ไม่รู้คุณสะบันงาคิดยังไงจะให้ลูกสาวมารับช่วงต่อ”
“หาลูกเขยไม่ได้มั้ง” ผู้จัดการฝ่ายบัญชีพูดขึ้นมาแล้วทั้งสามคนก็หัวเราะเยาะขึ้นมา
“กรุณาให้เกียรติคุณวจีด้วยนะครับ อีกอย่างพวกคุณก็โตๆ กันแล้วจริงๆ เรื่องดูถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ควรมีอยู่ในสมองของพวกคุณ” กรกันต์พูดขึ้นมาเสียงเรียบ
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของรสวจีทั้งหมด เธออ่านปากแล้วนั่งดูท่าทีของกรกันต์ว่าจะช่วยเธอได้มากแค่ไหน
“ถ้าผมแค่ใช้ภาษามือได้ แต่ไม่มีความสามารถคุณสะบันงาคงไม่เลือกผมหรอกครับ แต่ที่ผมพูดไปก็เพราะไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาพนักงานอาวุโสอย่างพวกคุณก็เท่านั้น ผมทำงานที่นี่มาสามปี ได้เป็นแค่หัวหน้าฝ่าย ไม่ได้เลื่อนขั้นก็เป็นเพราะเส้นสายลูกหลานใครก็น่าจะรู้กันดีนะครับ” กรกันต์พูดขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้า แล้วหันมาใช้ภาษามือกับวจี
“ผมจะพาคุณไปเดินดูรอบๆ บริษัทนะครับ” เขาใช้ภาษามือกับเธอ
“ค่ะ” เธอทำภาษามือตอบรับแล้วคว้ากระเป๋าลุกตามกรกันต์ออกไป ไม่ยืมที่จะยิ้มให้กับบรรดาพนักงานอาวุโสที่นินทาตน
กรกันต์พาเธอเดินไปที่แผนกบุคคล หยุดยืนแล้วหันหน้ามาทำภาษามือแนะนำให้เธอเข้าใจ ก่อนจะทำตามขั้นตอนเดิมในแผนกอื่นๆ จบทั่วบริษัท
“คุณเป็นคนดีมากนะคะ ฉันดีใจที่ได้ร่วมงานกับคุณ” เธอใช้ภาษามือบอกเขาหลังจากทำความคุ้นเคยกับบริษัทของมารดาตนแล้ว
“คุณนิพนธ์ไปดูงานที่เชียงใหม่ จะกลับมาวันพรุ่งนี้ คุณวจีจะกลับกับคุณสะบันงาก่อนหรือจะเริ่มงานเลยครับ” เขาใช้ภาษามือถามเธอ เป็นนัยถึงบิดาของเธอที่ยังไม่กลับมา
“ฉันอยากอยู่ดูงานที่นี่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เชิญตามผมมาทางนี้ครับ” เขาสื่อสารกับเธอแล้วเดินนำหน้าไปยังห้องทำงานของเธอที่อยู่ติดกับห้องของนิพนธ์ผู้เป็นบิดา
สะบันงาที่ดูความเรียบร้อยอยู่ก็หันมายิ้มให้ทั้งคู่ที่เปิดประตูเข้ามา
“เป็นไงบ้าง พาวจีไปชมบริษัทมาเหรอ”
“ครับคุณสะบันงา” กรกันต์ตอบด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
“เป็นไงบ้างลูก” เธอพูดและใช้สัญลักษณ์มือถามบุตรสาว
“ดีค่ะแม่ วันนี้วจีอยากเริ่มงานเลย ท่าจะสนุก” เธอสื่อสารภาษามือกับมารดาแล้วหันไปยิ้มให้กับกรกันต์เป็นนัยว่าชื่นชมเขา
กรกันต์มองหญิงสาวตรงหน้า เธอดูน่ารักและสดใสไม่เหมือนกับคนที่พิการเลยสักนิด ดูเข้มแข็งและไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร อีกทั้งแววตาของเธอที่มองเขา กรกันต์มั่นใจว่าเธอเองก็คงรู้สึกเหมือนกับเขาในตอนนี้
‘รักแรกพบ มันเป็นอย่างนี้เหรอ’
สะบันงาเห็นสายตาของทั้งคู่ก็แอบยิ้มอย่างพอใจ
**********************
“ฉันมาคิดดูดีๆ แล้วฉันอยากให้ลูกแต่งงาน” สะบันงาปรึกษากับสามีในวันอาทิตย์ที่ทุกคนอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า
รสวจีอ่านปากมารดาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้น ถ้าเรามีลูกเขยมาช่วยในการบริหารงานช่วยมันก็คงดีไม่น้อย อีกอย่างผมต้องพูดตรงๆ ว่าพวกผู้จัดการอาวุโสในบริษัทไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่ยัยหนูเข้าไปบริหารงาน” นิพนธ์พูดกับภรรยาแล้วหันไปพูดกับลูกสาวพร้อมๆ กับภาษามือที่ตนเองก็เรียนมา
“วจีอยากโกรธพ่อนะ แต่สิ่งที่พ่อพูดมันคือความจริง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าหนูไม่ได้ยินหรือสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่องหรอกนะ เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหา แต่เพราะคนส่วนมากต้องการให้ผู้ชายเป็นใหญ่ไม่มีใครอยากให้ผู้หญิงเป็นใหญ่กว่าหรอก เหมือนอย่างพ่อดูสิต้องบริหารงานแทนแม่เขาหมด ทั้งที่แม่เขาควบคุมทั้งหมด”
“นี่คุณพูดประชดฉันหรือว่ากำลังชื่นชมฉันอยู่คะ” สะบันงาถามสามีแล้วหรี่ตามองเขา
“แล้วคุณแม่จะให้วจีแต่งงานกับใครล่ะคะ” เธอพูดสำเนียงแปร่งหูและใช้ภาษามือประกอบ
“แม่เห็นคนหนึ่งเหมาะสม แต่ว่าไม่รู้ว่าเขาจะยอมแต่งงานกับวจีหรือเปล่า”
“วจีน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แต่ผู้ชายคนนี้เขาดูมีความคิดเป็นของตัวเอง ดังนั้นหากต้องแต่งงานกับลูก เขาไม่น่าจะยอมแต่งเพราะเงินหรือเพราะผลประโยชน์ อีกอย่างหากต้องแต่งงานมาแล้วให้ผู้หญิงเป็นใหญ่กว่า อย่างบ้านของเราเขาจะยอมเหมือนพ่อหนูหรือเปล่า”
สองแม่ลูกสื่อสารด้วยการพูดประกอบภาษามือ
“ที่ผมยอมก็เพราะผมรักคุณ ใครจะว่ายังไงผมก็ไม่สนหรอก” นิพนธ์บอกอย่างเอาใจ เพราะตอนที่เขาแต่งงานและขึ้นแท่นผู้บริหารใหม่ๆ นั้น ก็ถูกพูดลับหลังอยู่เสมอว่าได้ตำแหน่งมาเพราะว่าเป็นสามีของสะบันงา
“คุณแม่หมายถึงใครคะ”
“กรกันต์”
เมื่อมารดาพูดถึงชื่อนั้นทำให้รสวจีอดใจเต้นไม่ได้ ตลอดระยะเวลาการทำงานด้วยกันกับเขามาหนึ่งเดือน ทำให้เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรที่น่าค้นหามาก เขายังไม่เคยพูดจาลับหลังเธอในทางที่ไม่ดีและยังช่วยปกป้องเธอจากคำพูดร้ายๆ ของคนในบริษัทด้วย
“หนูคิดว่ายังไง รังเกียจเขาหรือเปล่า”
“วจีตามใจคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ทุกวันนี้จะสั่งงานใครแต่ละทีก็เกรงใจ ถ้าไม่ได้คุณกันต์ช่วยคงไม่มีใครฟังวจีแน่”
“กรกันต์ก็เป็นคนดีนะคุณ ทำงานเก่ง เฉลียวฉลาด ไหวพริบดีเลยแหละ แล้วคุยเรื่องนี้กับเขาหรือยัง” นิพนธ์ชวนเปลี่ยนเรื่องคุย
“ยังค่ะ แต่ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะว่ากรกันต์เองเขาก็ดูสนิทสนมกับลูกเราไม่น้อย”
“แล้ววจีล่ะว่ายังไงลูก” นิพนธ์หันไปถามลูกสาว
“วจียังไงก็ได้ค่ะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าเหมาะสมวจีก็ไม่ขัดค่ะ” เธอพูดประกอบภาษามือแล้วอมยิ้มอย่างเอียงอาย
เท่านั้นทั้งสองที่ผ่านโลกมามากแล้วก็พอดูออกได้ทันที การที่ลูกสาวของตนไม่ปฏิเสธการจับคู่แต่งงาน ก็คงเป็นเพราะเธอสนใจในตัวกรกันต์อยู่นั่นเอง
**********************
กรกันต์นั่งนิ่งหลังจากที่นิพนธ์และสะบันงาเรียกไปนั่งคุยที่ห้องทำงานของนิพนธ์ ในตอนนั้นรสวจีเองก็นั่งอยู่ด้วย เธออ่านปากทั้งสามคนพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น
“ที่ฉันพูดมาทั้งหมดคือเหตุผลที่อยากให้เธอแต่งงานกับวจี เธอเห็นว่าไงล่ะ” สะบันงาถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
กรกันต์พูดไม่ออกเขามองหน้ารสวจี และเจ้านายทั้งสองด้วยความคาดไม่ถึง
“ผมไม่ได้รังเกียจคุณวจีเลยนะครับ แต่ว่าการแต่งงานมันเป็นเรื่องสำคัญมาก อีกอย่างท่านประธานและคุณสะบันงาเองก็ยังไม่รู้จักผมดีพอ บางทีผมอาจจะมีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมกับคุณวจีก็ได้” กรกันต์พูดอย่างสุภาพและถ่อมตัว
“ก่อนที่ฉันจะอยากได้นายเป็นลูกเขย ฉันก็สืบมาหมดแล้วล่ะ พ่อแม่ของนายเองก็เป็นนักธุรกิจแต่ว่าล้มละลายไปเพราะพ่อนายติดพนันจนต้องหนีไปอยู่เมืองนอก ฉันเชื่อว่าสายเลือดนักธุรกิจอย่างนายจะสามารถดูแลบริษัทของฉันและดูแลลูกสาวของฉันได้” นิพนธ์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ทำให้กรกันต์ตกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายสืบประวัติตนเองมาจนหมด
“แล้วคุณวจีจะไม่รู้สึกน้อยใจเหรอครับที่จู่ๆ ก็แต่งงานกับผู้ชายที่เธอพึ่งเคยพบหน้าอย่างผม”
“แล้วนายล่ะรังเกียจวจีหรือเปล่า” นิพนธ์ถามกลับ
“ไม่เลยครับ คุณวจีน่ารักและเป็นคนเก่ง เธอเรียนรู้งานได้เร็ว ทำงานเก่งกว่าคนบางคนที่นี่เสียด้วยซ้ำ ผมยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับเธอแต่ไม่ได้อาจเอื้อมคิดเกินเลยไปกว่านั้น” เขาตอบตามความจริงทำให้ทั้งสะบันงาและนิพนธ์พอใจเขาเป็นอย่างมาก
รสวจีเองที่อ่านปากเขาเธอก็แอบยิ้มด้วยความเขินอาย
“แล้วเธอจะรับความกดดันได้หรือเปล่าหากต้องแต่งงานไปแล้วเธอจะต้องถูกมองว่าเป็นผู้ชายที่เข้ามา...เอ่อ” สะบันงาไม่กล้าพูดต่อเพราะว่ามันเป็นคำพูดที่เกรงว่าจะทำให้นิพนธ์รู้สึกไม่ดี แต่กรกันต์ก็พอเดาออกว่าเธอจะพูดอะไร
“ผมไม่สนใจหรอกครับเพราะที่ผ่านมาผมโดนดูถูกมามากกว่านั้น อีกอย่างไม่มีใครในโลกนี้เกิดมาสมบูรณ์แบบหรอกครับ” กรกันต์ตอบเช่นนั้นทำให้รสวจีแอบอมยิ้มด้วยความดีใจ
“ถ้าอย่างนั้นทางเราจะหาฤกษ์แต่งงานให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน” สะบันงาสรุปการเจรจาในวันนี้
“ครับ ขอบคุณที่ไว้ใจให้ผมได้ดูแลคุณวจี” กรกันต์พูดด้วยความสุภาพ
จริงๆ แล้วเขาก็พอมองออกว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้ตน หากแต่เป็นตนเองต่างหากที่ไม่กล้าอาจเอื้อมคิดไปไกลเกินกว่านั้น จนกระทั่งสะบันงาและนิพนธ์เปิดโอกาสให้เขาในวันนี้และเขาก็รับเอาไว้ด้วยความเต็มใจ
**********************