เรื่องที่ 6 เรื่องเล่าของอรอุษา (1/2)

2517 คำ
บรรยากาศที่แสนวุ่นวายของการจราจรในเวลาหลังเลิกงานทำฉันหงุดหงิดทุกครั้ง ทำไมกันนะเกือบทุกบริษัททำไมต้องเลิกงานเวลาเดียวกัน ทำไมไม่แบ่งว่าบริษัทนี้เข้างานเจ็ดโมงเลิกบ่ายสาม บริษัทนี้เข้างานแปดโมงเลิกสี่โมงเย็น หรือเข้างานสิบโมงเลิกหนึ่งทุ่ม ให้คนไม่ต้องแย่งกันใช้ถนนในตอนเช้า และไม่เบียดอัดกันในตอนหลังเลิกงาน “บ้าที่สุด” ฉันสบถออกมาเมื่อรถข้างหน้าเบรกกะทันหันและรถมอเตอร์ไซค์ของฉันก็ต้องเบรกตาม “นี่ขนาดใช้มอเตอร์ไซค์มาทำงานนะ กว่าจะกลับถึงห้องก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ไม่อยากคิดสภาพคนที่เดินทางด้วยรถยนต์เลยว่าจะถึงตอนไหน” ฉันตัดสินใจขับไปช้าๆ ซอกแซกไปตามช่องว่างระหว่างรถยนต์แล้วขับไปตามทางทุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ใช้ประจำเพื่อกลับไปยังหอพักของฉัน เอี๊ยด! ปัง! โครม! เสียงเบรกของรถตามด้วยเสียงชนกันแล้วรถของฉันก็ล้มลง ฉันกลิ้งไปตามถนนสองตลบแล้วรู้สึกปวดร้าวที่ข้อเท้าเป็นอย่างมาก โชคดีที่ขับช้าไม่อย่างนั้นคงเจ็บกว่านี้ “เป็นอะไรบ้างไหมคุณ” เสียงของคู่กรณีลงมาจากรถกระบะสีขาวยกสูง เขาช่วยพยุงฉันลุกขึ้น “ถามมาได้ว่าเป็นยังไง กลิ้งสองตลบอย่างนี้ จะบ้าหรือยังไงเลี้ยวมาตัดหน้ากัน จะรีบไปตาย..เอ่อ รีบไปตามหาใครเหรอคะ” ฉันที่กำลังด่าเขาไฟแลบ พอเงยหน้าเห็นหน้าเขาเท่านั้นแหละ เปลี่ยนคำด่าเป็นคำถามหวานๆ แทบไม่ทัน ‘หล่อโฮก หล่อวัวตายความล้ม แต่เอ๊ะ เขาเป็นคู่กรณีเรานี่นา’ ฉันที่กำลังเพ้ออยู่นึกได้แล้วหันไปดูสภาพรถของตัวเองที่ล้มอยู่ใกล้ๆ “ลุกไหวไหมผมจะพาไปโรงพยาบาล” เขาเสนอความช่วยเหลือ “ไหว” ฉันตอบเสียงห้วน รถพัง ขาเจ็บ แล้วฉันจะไปทำงานอย่างไรล่ะพรุ่งนี้ เขาเรียกเพื่อนในรถกระบะของเขามาช่วยยกรถฉันขึ้นไปยังท้ายรถของเขา แล้วให้เพื่อนนั่งจับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหลัง ส่วนเขาอุ้มฉันช้อนตัวในวงแขนพาไปนั่งที่เบาะหน้าด้วยกัน “ผมขอโทษด้วย ผมพึ่งมาที่นี่ครั้งแรก ไม่ชำนาญเส้นทางแถวนี้ ว่าแต่โรงพยาบาลอยู่ไหนผมจะพาคุณไปส่ง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนใจ “ตรงไปถึงสี่แยกข้างหน้า เลี้ยวขวาไปอีกสองกิโล อยู่ซ้ายมือ” ฉันบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปส่งคุณที่โรงพยาบาลก่อน แล้วจะเอารถคุณไปซ่อมให้ที่ศูนย์ แล้วจ่ายค่าซ่อมและค่ารักษาพยาบาลให้คุณ รวมถึงค่าทำขวัญและค่าเสียเวลาด้วย” เขาเสนอออกมาโดยที่ฉันยังไม่ได้เรียกร้องอะไร ฉันจึงได้แต่เงียบ เพราะไม่รู้จะพูดหรือโวยวายอะไรในเมื่อคู่กรณีก็รับผิดชอบขนาดนี้แล้ว ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นึกโชคดีที่มือถือไวโฟนยี่สิบสามโปรของฉันที่พึ่งถอยมาใหม่นั้นไม่เป็นอะไร แล้วรีบใช้มันถ่ายรูปของเขาเอาไว้ทันที “ทำอะไร” เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “กันคุณหนีไง” ฉันบอกเขาตามตรง ก่อนจะถ่ายรูปบาดแผลถลอกที่ขาและข้อเท้าที่บวมเป่งส่งไปลางานกับหัวหน้าในแช็ตกลุ่มของแผนก “ผมไม่หนีหรอกน่า” เขาพูดแล้วเลี้ยวเข้าไปที่โรงพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉินเพื่อให้เจ้าหน้าที่เปลมาพาตัวฉันเข้าไปรักษา “เอารถของเธอไปส่งซ่อมที่ศูนย์รถที่เราขับผ่านมาเมื่อกี้ แล้วไปพักที่โรงแรมก่อนเลย ฉันจะอยู่ดูคู่กรณีก่อน” เขาสั่งลูกน้องของเขาที่ตอนแรกฉันเข้าใจว่าหนุ่มหล่ออีกคนคือเพื่อนของเขา พอฉันได้ยินเขาพูดอย่างนั้นก็เลยวางใจที่ว่าเขาจะไม่ทิ้งฉันให้ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลตัวคนเดียว ฉันถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน หมอและพยาบาลมาตรวจดูร่างกายของฉันเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งไปที่ห้องเอกซเรย์แล้วสรุปผลว่าข้อเท้าฉันมันไม่ได้หัก แค่เท้าแพลงและมีบาดแผลภายนอกนิดหน่อยเท่านั้น แต่ก็ยังต้องนอนดูอาหารเพื่อเช็กว่ามีการช้ำในหรืออาการใดๆ เพิ่มขึ้นหรือเปล่า หลังจากนั้นฉันก็ถูกส่งตัวไปยังห้องพักฟื้นคนไข้ที่ตอนแรกเข้าใจว่าจะเป็นห้องรวม แต่โชคดีที่คู่กรณีสุดหล่อของฉันให้ฉันอยู่ห้องพิเศษ เขารอฟังหมอพูดอาการของฉันแล้วรออยู่ในห้องของฉัน เราสองคนมองหน้ากันโดยที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้วโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา เขาคุยอะไรบางอย่างกับคนในสายที่ฉันคิดว่าคงจะเป็นลูกน้องของเขาแล้วจึงวางสาย เดินมาคุยกับฉันเกี่ยวกับเรื่องของรถ “รถของคุณไม่ได้เป็นอะไรนะ แค่สีถลอกนิดหน่อย คุณจะให้ศูนย์ซ่อมสีให้เลยหรือว่าคุณจะเอาไปซ่อมเอง” “ซ่อมเองดีกว่าค่ะ” ฉันบอกเขาไป จริงๆ ก็อยากรับเป็นเงินสด จะซ่อมไม่ซ่อมก็อีกเรื่องหนึ่งเพราะถ้าแค่สีถลอก ฉันไม่ได้เป็นคนเรื่องมากกับสภาพภายนอกของรถขนาดนั้น ขอแค่เครื่องยนต์มันไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว “ถ้าอย่างนั้นผมจะให้ช่างประเมินราคาซ่อมมา แล้วเอาเงินให้คนไปซ่อมเอง ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลไม่ต้องห่วง ถ้าหมอบอกว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้ว พรุ่งนี้ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลผมจะจัดการค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดแล้วค่อยไปส่งคุณที่บ้าน” เขาเสนอความรับผิดชอบขึ้นมา “ขอบคุณมากค่ะ” ฉันก็พูดได้เท่านั้นแหละไม่รู้จะพูดอะไรก็เขาเล่นพูดเองเออเองทั้งหมด รับผิดชอบฉันดีขนาดนี้ฉันก็เลยไม่มีอะไรให้ต้องพูดมาก ในคืนนั้นเขาอยู่เฝ้าฉันทั้งคืนจริงๆ อย่างที่พูด แม้แต่พาไปเข้าห้องน้ำเขาก็ยังเป็นคนอุ้มฉันไป ให้ตายสิ ถ้าฉันมีแฟนมาดูแลแบบนี้ก็คงดี “คุณไม่มีญาติที่ไหนให้แจ้งเขาเหรอ” เขาถามฉันหลังจากอุ้มฉันเข้าห้องน้ำไปเป็นรอบที่สองแล้ว “ไม่มีหรอก ฉันมาทำงานที่นี่ตัวคนเดียว พักอยู่หอพักและมียานพาหนะคู่ใจที่ใช้ขับไปทำงานแล้วก็ไปตลาดก็เท่านั้น แฟนก็ยังไม่มีเลย” ฉันบอกเขาเป็นนัยว่าฉันโสด ก็เผื่อฟลุ๊กนะ เผื่อเขาแอบสนใจฉัน “ที่ผมถามเพราะว่าผมเฝ้าคุณสองต่อสองแบบนี้มันคงไม่เหมาะ” เขาบอกฉัน คงดูออกแหละว่าฉันแอบส่งความนัยเรื่องที่ฉันโสด ฉันต่อล้อต่อเถียงกับเขาได้ไม่นานก็เริ่มง่วงและหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พยาบาลเข้ามาวัดความดันตอนกลางคืน ฉันตื่นขึ้นมาแต่ยังหลับตาอยู่ ฟังเขาคุยกับพยาบาลแล้วก็ต้องใจเต้นแรงเมื่อบทสนทนานั้นมัน.. “คนไข้จะตื่นง่ายหรือเปล่าครับ” “ไม่แน่ค่ะ เพราะคุณหมอให้ยาแก้ปวดและตัวยาบางตัวที่ทำให้ง่วง” พยาบาลพูดกับเขาเสียงหวาน ‘ใช่สิ เห็นญาติคนไข้หล่อก็คงคิดจะอ่อยละสิ ตาบ้านี่ถึงจะหล่อแต่ก็ขับรถประมาท เขาไม่ใช่คนดี อย่าคิดยุ่งเชียว..ฉันจองแล้ว’ ฉันนึกในใจ หวงคู่กรณีหนุ่มแปลกๆ ทั้งๆ ที่เขาทำฉันเจ็บ ก็ยอมรับว่าหน้าตาเขาดึงดูดใจ แต่ถ้าเป็นโจรฆ่าข่มขืนหล่อแค่ไหนฉันก็ไม่คลั่งเด้อ ไม่ได้คันกีขนาดนั้น ฉันก็มีการศึกษาพออยู่ ประเภทเห็นโจรข่มขืนแล้วบอกอยากโดนบ้าง... พ่อแม่ควรมีลูกเมื่อพร้อม แต่นี่เขาแค่ขับรถประมาทแต่ไม่ได้ทำให้ใครตายหรือว่าละเลยไม่รับผิดชอบ..สำหรับฉันมันก็พอให้อภัยได้ ก็เขาดูแลดีขนาดนี้อะนะ “ญาติคนไข้ถามแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าคะ” นางพยาบาลสาวถามด้วยน้ำเสียงที่เย้ายวน “ก็ผมเห็นคนในเครื่องแบบทีไรอดใจไม่ได้สักที ถ้าจะจีบพยาบาลเวรดึกจะเป็นอะไรไหมครับ” คู่กรณีของฉันถามเสียงพร่า แบบนี้มันชวนกันกินของเผ็ดชัดๆ ‘นั่นไง บ้าจริงเชียว มาอ่อยมาจีบอะไรกันอะไรตอนนี้ ฉันต้องลืมตาตื่นลุกเข้าห้องน้ำดีไหม จะได้รีบออกไปสักที’ ฉันนึกในใจอย่างหงุดหงิด “งั้น ฉันจะไปดูคนไข้อีกสักพักจะกลับมา...ดูคนไข้คนนี้อีกรอบนะคะ” เธอบอกเขาว่าจะกลับมาอีก ฉันนี่มวนท้องน้อยรอเลย ‘รีบหลับดีกว่าจะได้ไม่ต้องรับรู้’ ฉันนึกใจในแล้วรีบข่มตาให้หลับไป ********************** “อื้อ แรงๆ ค่ะ” เสียงครางกระเส่าเบาๆ ดังขึ้นมาแว่วๆ ฉันลืมตาเบิกโพลงขึ้นมาเมื่อรู้ว่าเสียงนั่นมันคือเสียงของการร่วมรัก “เร็วสิคะ ฉันต้องรีบกลับไปเคาน์เตอร์ อ๊า” เธอครางบอกเขาในห้องน้ำ ที่เขาเลือกห้องพิเศษให้ฉันไม่ได้ห่วงฉันหรอก ให้ตายสิ นี่คงเป็นสิ่งที่เขาคิดจะทำ “ตื่นเต้นดีนะครับ เซ็กส์ในเวลาที่จำกัดแบบนี้ อ๊ะ อื้ม” เขาพูดไปแล้วกระแทกพยาบาลสาวไป เสียงครางในห้องน้ำทำให้ฉันมวนท้องน้อยไปหมด รู้เลยว่าตอนนี้ร่องโยนีน้อยของฉันมันฉ่ำแฉะแค่ไหนเพราะเสียงครางกระเส่าของทั้งคู่ “อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ” เสียงครางของพยาบาลสาวดังออกมาไม่หยุด ฉันถึงกับทนไม่ไหว ใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วเกลี่ยจุดกระสันของตนเองเบาๆ “ไม่ไหวแล้ว” เธอครางบอกเขาเสียงหลง เสียงเนื้อกระทบกันดังก้องจากห้องน้ำมาถึงเตียงฉัน มันต้องกระแทกแรงแค่ไหนเสียงถึงดังมาถึงฉันได้ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรัวนิ้วให้รัว แล้วนึกภาพสองคนนั้นร่วมรักกันในห้องน้ำ แล้วฉันก็ถึงเส้นชัยไปพร้อมๆ กับเสียงครางที่สงบลง ฉันรีบชักมือกลับแล้วนอนหลับต่อเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในตอนนั้นเสียงประตูห้องน้ำก็เปิดออกพอดี ฉันจึงเงี่ยหูฟังการสนทนาของทั้งคู่ “เสียดายนะคะ ที่เราไม่มีเวลาทำความรู้จักกันมากกว่านี้” “นั่นสิครับ ผมยังไม่อิ่มเลย คุณหวานมากรู้ตัวหรือเปล่า” ทั้งสองคนพูดจายั่วยวนอีกฝ่ายจนฉันหมั่นไส้ ไม่นานนักพยาบาลสาวก็ขอตัวออกจากห้องพักฟื้นของฉันไป ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับฉัน “ผมรู้นะว่าคุณตื่นแล้ว” เสียงของคู่กรณีกระซิบข้างใบหูทำให้ฉันตกใจจนสะดุ้งแล้วลืมตาขึ้นมา “ว่าแล้ว” เขาพูดแล้วยกยิ้มเบาๆ “คุณปลุกฉันทำไมคะ” ฉันแกล้งถามเหมือนว่าฉันตื่นเพราะเขาพูดข้างหู “อย่ามาเนียน คุณตื่นนานแล้ว ผมรู้” เขารู้ทันฉัน แต่ถ้าฉันไม่ยอมรับเสียอย่าง เขาจะทำอะไรฉันได้ “คุณพูดอะไร ถ้าไม่มีอะไรฉันขอนอนต่อนะ” “ไม่เข้าห้องน้ำเหรอ ผมจะได้ช่วยพาไป” เขาถามขึ้นมา “ก็ได้ค่ะ” ฉันตอบรับความช่วยเหลือนั้น แล้วให้เขาช่วยพาฉันไปที่ห้องน้ำ แล้วทำธุระส่วนตัว เช็ดทำความสะอาดผืนนาที่เต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนองนั้นจนมันแห้งสนิท “เสร็จแล้ว” ฉันบอกเขา “ผมชื่อไม้” เขาเปิดประตูห้องน้ำมาช่วยพาฉันกลับไปที่เตียง แล้วแนะนำชื่อเขาขึ้นมา “แล้วคุณอรอุษามีชื่อเล่นให้ผมเรียกไหม” เขาถามฉัน คิดว่ามาอ่อยฉันอีกคนเหมือนนางพยาบาลล่ะสิ ฝันไปเถอะ หล่อแต่ว่าเอาไม่เลือกฉันก็ไม่เอาไว้ทำพันธุ์หรอกนะ “อร” ฉันบอกเขาไปแล้วขยับตัวนอนลงบนเตียงเบาๆ ขาที่แพลงเริ่มปวดอีกแล้ว และแผลเริ่มบวมจนรู้สึกได้ “คุณเริ่มมีไข้นิดๆ เดี๋ยวผมกดกริ่งเรียกพยาบาลเอายาลดไข้มาให้นะ” ไม้บอกฉันด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้มีความห่วงใยเลยสักนิด “เรียกเอายามาให้ฉัน หรือเรียกมาทำอย่างอื่นกันแน่” ฉันพูดลอยๆ แล้วตะแคงตัวไปทางที่ไม่มีบาดแผล หลับตาลงไม่อยากเสวนากับเขาต่อ “ว่าแล้วต้องรู้สึกตัว ขอโทษทีนะ บังเอิญว่าผมอดใจไม่ไหวทุกทีที่เห็นคนใส่ชุดพยาบาล ชุดเครื่องแบบต่างๆ อะไรแบบนั้น มันเป็นรสนิยมและความชอบส่วนตัว อย่าถือสาผมเลยนะ” เขาก้มลงมากระซิบข้างหู ขนแขนฉันลุกเกรียวด้วยความสยิวที่เขาเหมือนจงใจยั่วฉันอย่างนั้น “ถอยออกไปเลยนะคะ อย่ามาอ่อยฉัน ฉันไม่ใช่คนในเครื่องแบบ” “แหม เครื่องแบบคนไข้ก็น่ารักดีเหมือนกัน แต่คุณเจ็บอยู่แหละ แต่ผมไม่ติดนะ ถ้าอยากลองผมจัดให้ได้” เขายังคงอ่อยเชิญชวนฉันไม่หยุด อยากก็อยากอยู่หรอก แต่คนเรามันต้องมีจุดยืน “เลิกวุ่นวายกับฉันสักที” ฉันบอกเขาแล้วหลับตาลง ได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินห่างออกไปแล้วจึงเริ่มเบาใจแล้วพยายามหลับเพื่อให้ตนเองไม่รู้สึกปวดที่แผล ภาวนาให้พรุ่งนี้ได้ออกจากโรงพยาบาล กลับไปพักที่ห้องทีเถอะ ********************** ไม่รู้ว่าเพราะไข้จากพิษบาดแผล หมออยากเลี้ยงไข้ให้นอนโรงพยาบาลต่อ หรือว่าเพราะไม้อยากให้ฉันนอนรักษาตัวต่อกันแน่ ที่ทำให้ฉันต้องนอนรักษาตัวต่อที่นี่อีกหนึ่งคืน “คุณไม่มีธุระที่ไหนเหรอ” ฉันถามเขาเพราะอึดอัดที่เขาอยู่เฝ้าฉันมาครึ่งวันแล้ว “ธุระผมเสร็จแล้ว จริงๆ เมื่อวานต้องกลับ แต่เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน” “จริงๆ โอนเงินให้ฉันแล้วกลับไปเลยก็ได้” ฉันบอกเขา เสนอทางที่น่าจะยุติปัญหาที่ง่ายที่สุด “พรุ่งนี้ส่งคุณกลับห้อง ผมกลับแน่ ไม่ต้องห่วงหรอก” เขาทำหน้าขรึม ‘กลางวันก็ดูปกติดี ทำไมกลางคืนอ่อยไปทั่ว’ ฉันได้แต่นึกในใจ เมื่อวานตอนพาฉันมาส่งโรงพยาบาลเขาก็ดูเงียบๆ ดุๆ และดูเป็นผู้ชายสุขุม พอตกกลางคืนมาก็หางโผล่ หรือว่าเขาแพ้ทางคนในเครื่องแบบเฉพาะเวลากลางคืน เลยฮีทเหมือนตัวละครในนิยายที่ต้องหาทางปลดปล่อยงั้นเหรอ ‘ไม่น่าคิดซับซ้อนหรอก ก็แค่ทำเป็นเข้มเก็บความเจ้าชู้ไม่ให้ไก่ตื่น’ ฉันคิดในใจ **********************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม