งานแต่งงานระหว่างลูกสาวเจ้าของโรงงานธัญพืชชื่อดังกับลูกชายของโรงงานน้ำตาลถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตที่โรงแรมใหญ่ประจำจังหวัดนั้น แขกที่มาร่วมงานก็เป็นนักธุรกิจและคู่ค้าที่สำคัญรวมทั้งนักการเมืองท้องถิ่น เป็นงานแต่งงานที่เรียกได้ว่างานช้างของจังหวัดเลยทีเดียว
มินตราไม่ได้เต็มใจแต่งงานในครั้งนี้ เธอไม่ได้มีคนรักอยู่ก่อนแล้ว แต่ว่าอายุอานามนั้นก็เข้าเลขสามด้วยความคิดที่ว่าไม่อยากมีครอบครัวจึงทุ่มเวลาให้กับงานที่ตนเองทำ
ชานนท์เองก็พึ่งเลิกรากับคนรักและเอาแต่ทำงานโดยไม่สนใจความรักครั้งใหม่ พ่อแม่ของสองครอบครัวเห็นว่าลูกของตนต่างคนต่างโสดและบ้างานจึงจับมาคุมถุงชนกันเสียเลย
มินตราจึงต้องยอมแต่งงานให้มันจบๆ เพราะทนต่อคำรบเร้าและประโยคอ้างถึงความกตัญญูจากครอบครัวไม่ไหว
ทั้งคู่เคยเจอกันเพียงสองครั้งเท่านั้น โดยทุกครั้งจะเป็นการนัดทานอาหารร่วมกันของสองครอบครัวจึงไม่ได้มีโอกาสคุยกันสองต่อสอง ทุกอย่างถูกผู้ใหญ่จัดเตรียมไว้ให้หมด
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงานและพิธีเข้าหอแล้วทั้งคู่ก็ต่างคนต่างเงียบใส่กันโดยที่ต่างฝ่ายต่างรอดูท่าทีของอีกฝ่าย เพราะยังไม่ได้รู้จักตัวตนของกันและกันมากนัก แต่ก็พอรู้ว่าอีกคนเป็นเหมือนตัวเองนั่นคือมีโลกส่วนตัวสูง
มินตรามองสามีในนามที่นั่งอยู่ตรงโซฟาใกล้ใกล้กับเตียงนอนนั้นแล้วตัดสินใจคุยกับเขาตามตรง
“ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้หรือเปล่าคะ” เธอถามเขาเสียงเบาด้วยความสุภาพอย่างน้อยเขาก็เป็นสามีของเธอ เธอก็ควรจะให้เกียรติเขา
“ครับว่ามาได้เลย”
“เราสองคนต่างรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก ดังนั้นฉันอยากให้เราเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องกันไปก่อนได้หรือเปล่า ฉันยังไม่พร้อมกับการใช้ชีวิตคู่” เธอบอกเขาเสียงเบา กลัวเขาจะโกรธที่เธอพูดไป
“คุณจะหมายความว่าต่างคนต่างอยู่อย่างนั้นใช่หรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันหมายความว่าอยากให้เราเรียนรู้นิสัยใจคอกันไปสักพักก่อน เอ่อ เรื่องเข้าหอฉันยังไม่พร้อม ฉันรู้ว่าแต่งงานแล้วคุณมีสิทธิ์ในตัวฉัน แต่ว่าให้มันเกิดจากความรักของเราดีกว่าไหม” เธอยื่นข้อเสนอแก่เขาไป
“สรุปที่คุณอยากพูดกับผมก็คือ ยังไม่ให้ผมแตะต้องตัวคุณถ้ามันไม่ได้เกิดจากความรัก ถึงผมจะมีสิทธิ์อย่างนั้นใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” มินตราตอบเขาไปตามความจริง
“ก็ได้ครับ ผมเองก็ไม่ได้อยากจะฝืนใจใคร แต่ผมไม่ขอรับรองนะว่าจะอดทนได้ถึงเมื่อไหร่ เพราะเราก็อยู่ร่วมห้องเดียวกัน และผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน” เขาพูดขึ้นมาตามตรงเพราะไม่อยากให้ความหวังกับเธอ
อีกอย่างจริงๆ แล้วเขาก็มีสิทธิ์ในตัวของเธออย่างเต็มที่เพียงแต่ว่าไม่อยากจะฝืนใจใครก็เท่านั้น
มินตราไม่รู้จะทำอย่างไรนี่ก็เป็นบ้านของเขา ถ้าเธอจะแยกห้องนอนก็คงมีปัญหาแน่ ลึกๆ ก็รู้ว่าเขามีสิทธิ์ในตัวเธอเต็มที่แต่เธอยังไม่พร้อมสำหรับเขาในตอนนี้ถึงได้กล้าขอออกไปอย่างนั้น
มันอาจฟังดูไร้สาระหรือเพ้อฝันไปหน่อย แต่ว่าเธอก็ไม่อยากเสียครั้งแรกไปโดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรต่อคนที่พรากมันไปจากเธอ อย่างน้อยก็อยากคุ้นเคยกับเขาให้มากกว่านี้
“ฉันอาจจะใช้คำพูดไม่ถูกต้องนักเพราะฉันพูดไม่เก่ง เอาเป็นว่าฉันแค่ฉันอยากเรียนรู้คุณให้มากกว่านี้ก็เท่านั้นเองค่ะ” เธอพูดเสียงเบาให้รู้ว่าเธอไม่ได้รังเกียจเขาเพียงแค่เธอยังไม่พร้อมเท่านั้น
เมื่อชานนท์เห็นว่าเธอสลดลงไปเพราะเขาพูดเหมือนว่ารับปากเธอไม่เต็มร้อยนักอาจทำให้เธอกังวล จึงยกยิ้มขึ้นมาเอ็นดูในความใสซื่อของคนตรงหน้าที่ยังไม่อยากมีอะไรกันกับเขาเพียงเพราะเขายังไม่ได้รักเธอ
“ก็ได้ถ้าอย่างนั้นเราเรียนรู้กันไปก่อน แต่ไม่ต้องห่วงผมมีวิธีทำให้เราเรียนรู้กันได้เร็วขึ้นและรู้สึกต่อกันเร็วขึ้น”
“วิธีไหนเหรอคะ”
ชานนท์ไม่ตอบ เขาเดินมาใกล้แล้วจูงมือเธอไปนอนด้วยกันที่เตียง
“คุณจะทำอะไรคะ”
“นอนกอดไง ความใกล้ชิดมันจะทำให้ผู้ชายผู้หญิงมีใจให้กันเร็วขึ้น เชื่อผมสิ” เขาพูดแล้วดึงตัวเธอลงมานอนด้วยกัน
มินตราหัวใจเต้นตึกตักยอมรับว่าเขาทำให้เธอใจเต้นแรงมากในตอนนี้ ชานนท์เองก็เช่นกันเขาก็ใจเต้นแรงเมื่อได้กอดเจ้าสาว ในคืนเข้าหอแบบนี้
“เห็นไหม มันจะทำให้เรารู้สึกต่อกันได้เร็วขึ้น ตอนนี้หัวใจผมเต้นแรงมาก” เขาบอกเธอข้างใบหู
หญิงสาวเงียบไป เธอยอมรับว่าวิธีของเขาได้ผล แต่มันทำให้เธอตื่นเต้นจนนอนไม่หลับนี่สิ แล้วอดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มที่เธอเคยเจอที่มาดนิ่งขรึม ดูมีโลกส่วนตัวสูงและเข้าถึงยาก ทำไมพอเข้าหอแล้วเหมือนกำลังหาเศษหาเลยกับเธอแบบนี้
‘นี่แหละผู้ชาย รักไม่รักก็ขี้หลีไปทั่ว’ เธอนึกบ่นในใจ
ชานนท์เองกลับเห็นว่าในเมื่อแต่งงานกันแล้วเขาก็ควรใช้สิทธิ์ของตัวเองให้เต็มที่ เหมือนผู้ใหญ่บอก อยู่ๆ กันไปก็รักกันไปเอง เขาก็พึ่งผิดหวังจากความรักมาด้วย เจ้าสาวของเขาเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่อย่างนั้นคนอย่างเขาหรือจะยอมแต่งงานด้วยง่ายๆ ถ้าลึกๆ แล้วไม่ได้พึงใจต่อเธอ
มินตรานอนตัวเกร็ง ตื่นเต้นและกังวลว่าจะโดนเขารังแก แต่ด้วยความอ่อนเพลียของคืนวันแต่งงานที่เดินต้อนรับแขกตลอดทั้งวันจึงทำให้เธอค่อยๆ คลายตัวลงแล้วหลับไปในอ้อมกอดของเขาภายในเวลาไม่นานนัก
ชานนท์ยิ้มมองเจ้าสาวของตนที่หลับไปแล้วจูบหน้าผากเธอ นี่คือภรรยาของเขา ‘ผมจะทนได้เกินสามคืนไหมนะมิน’ เขาคิดในใจแล้วหอมแก้มเนียนนั้น ก่อนจะข่มตาให้หลับ และควบคุมความปรารถนาให้สงบลงไป
เป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ในคืนแรกที่ไม่ได้เหมือนคู่แต่งงานคู่อื่น แต่ก็ทำให้ใจเต้นมากพอสมควร
**********************
ในตอนเช้ามินตราตื่นขึ้นมาตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้วแต่เป็นเขาต่างหากที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดของเธอ ลมหายใจอุ่นๆ ที่รดรินตรงเนินอกทำให้เธอหน้าเห่อร้อนและไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะทำให้เขาตื่น
มือของชานนท์ที่กอดเอวของเธอเอาไว้ ขาของเขาก่ายที่ขาของเธอ บางทีเขาอาจคิดว่าเธอเป็นหมอนข้างของเขา
‘นางเอกตื่นมาอยู่ในอ้อมแขนพระเอกคงมีแต่ในนิยายสินะ’ เธอนึกในใจ อยากให้เขารีบตื่นแล้วปล่อยเธอไปในตอนนี้เพราะหน้าเขากับหน้าอกของเธอตอนนี้มันแนบกันจนเธออดเขินไม่ไหวแล้ว
มินตราค่อยๆ พลิกตัวเป็นนอนหงายทำให้ชานนท์ขยับเปลี่ยนท่านอนไปนอนตะแคงหันหลังให้กับเธอ หญิงสาวโล่งใจเป็นอย่างมากเธอรีบลุกเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จชานนท์จึงตื่นขึ้นมาพอดี
“เมื่อคืนนอนหลับสบายหรือเปล่า” เขาถามเธอในฐานะสามีและเจ้าบ้าน
“สบายดีค่ะ” มินตราตอบแล้วยิ้มให้กับเขา
ชานนท์เดินมากอดเธอแล้วหอมแก้มเนียนทั้งสองข้างทำให้มินตราตัวแข็งทื่อในอ้อมกอดของเขา “อรุณสวัสดิ์ยามเช้าครับที่รักวันนี้คุณเริ่มคุ้นเคยกับผมหรือยัง”
มินตราเงยหน้าขึ้นสบตาสามี รู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู แก้มแดงๆ นั้นทำให้ชานนท์ยิ้มออกมา
“ส่วนผมเริ่มคุ้นเคยกับคุณแล้วนะ” เขาจุ๊บหน้าผากเธอทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปทำให้หญิงสาวรู้สึกเขินอายและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ถ้ายังไม่ได้แต่งงานกันแล้วเขาทำอย่างนี้ เธออาจจะรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง แต่นี่เขาเป็นสามีของเธอมีสิทธิ์ในตัวของเธอเต็มที่ การที่เขาทำอย่างนี้มันทำให้เธอรู้สึกใจเต้นแรงเป็นอย่างมาก
‘ความรักจะเกิดขึ้นได้ในวันเดียวเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว’ เธอนึกในใจแล้วเอามือกุมหน้าตัวเองด้วยความเขินอาย
เธอจะลงไปทานอาหารเช้าก่อนเขาก็รู้สึกเขิน เพราะยังไม่ได้คุ้นเคยกับครอบครัวของเขา จึงต้องรอให้เขาอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปพร้อมกัน
ชานนท์แต่งตัวต่อหน้าเธอโดยไม่ปิดบังทำให้เธอต้องเบือนหน้าหนีเขา รู้อยู่ว่าเขาต้องการสร้างความคุ้นเคยกับเธอแต่ว่ามันก็ทำให้เธอเขินอายไม่น้อย
“เสร็จแล้ว เราลงไปทานข้าวกันเถอะ” ชานนท์พูดแล้วเดินนำเธอลงไปข้างล่าง
ที่โต๊ะอาหารทุกคนต่างถามไถ่และพูดหยอกเอินถึงเรื่องคืนเข้าหอของทั้งคู่ พร้อมทั้งอวยพรให้มีทายาทในเร็ววัน
“เบาก่อนครับแม่ ลูกสะใภ้เขินจนทานข้าวไม่ลงแล้ว” ชานนท์พูดกับมารดาแล้วหันมายิ้มให้กับภรรยาของตน
มินตรายิ้มให้กับพ่อแม่สามีและพี่น้องของเขาที่ร่วมโต๊ะด้วยกัน รู้สึกอบอุ่นใจที่มีชานนท์คอยปกป้องจึงเริ่มทานอาหารต่อไป ยังขัดเขินบ้างแต่ก็คิดว่าอีกไม่นานนี้ก็คงคุ้นเคยกับคนในครอบครัวสามีไปเอง
“พรุ่งนี้หยุดอีกวันก็ได้นะลูกไม่ต้องรีบไปทำงานหรอก”
“ไม่ได้หรอกครับพ่องานกองท่วมขนาดนั้น”
“มินเองก็ต้องไปทำงานค่ะ งานกองท่วมเหมือนกัน”
“แล้วนี่จะแยกกันไปทำงานหรือว่าจะไปรถคันเดียวกันล่ะ” พ่อของชานนท์ถามขึ้นมา
“มินว่าแยกดีกว่าค่ะ เพราะว่ามินทำงานอยู่จนถึงค่ำ บางวันเลิกไม่เป็นเวลา เกรงใจคุณนนท์”
“นนท์เองก็เคลียร์งานค่ำเลิกไม่เป็นเวลาเหมือนกัน งั้นไปคันเดียวกันนั่นแหละจะได้กลับพร้อมกัน ผู้หญิงคนเดียวกลับค่ำมืดมันอันตราย” พ่อของชานนท์พูดขึ้นมาอย่างนั้นมินตราไม่กล้าขัด
“เอาเป็นว่าแล้วแต่วันดีกว่าครับ ต้องดูด้วยว่างานผมกับงานของมินในวันนั้นยุ่งมากหรือเปล่า” ชานนท์พูดขึ้นมาอย่างนั้นทำให้มินตรารู้สึกโล่งใจ
เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็ออกรับแทนเธอเพราะรู้ว่าเธอปฏิเสธครอบครัวของเขาไม่ได้ ทำให้เธอรู้สึกประทับใจในตัวสามีไม่ใช่น้อย
“เอาอย่างนั้นก็ได้ มินจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดด้วยว่านนท์ตามรับส่งตลอดเวลา” แม่สามีพูดขึ้นมาบ้าง
“ค่ะ” มินตรารับคำเสียงเบาแล้วหันไปยิ้มให้กับสามีเพื่อขอบคุณเขา
**********************