หลังจากเจิ้งหวนได้รับจดหมายของลั่วฟางเซียน เขาเร่งเดินทางมายังเมืองกุ้ยโจว ชายหนุ่มใช้เวลาร่วมสิบวัน ด้วยการลงเรือ ขี่ม้า และเดินเท้า กระนั้นยังช้าเกินไป
เมื่อมาถึงเมืองนี้ เขาได้รับข่าวร้ายจนแทบคิดจะถล่มหน่วยกองปราบของเมืองกุ้ยโจว ทั้งที่เขามีหนังสือราชการเพื่อสะสางคดีของมารดาลั่วฟางเซียนหญิงสาวที่เขารัก แต่คนในพื้นที่หาได้อำนวยความสะดวกอันใด
“มือปราบเจิ้งหวน ท่านมาช้าไปเพียงก้าวเดียว ตอนนี้นางหายตัวไปแล้ว” คำตอบจากหัวหน้าผู้คุมนักโทษกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน ด้วยพวกเขาได้รับสินบนจากฝ่ายสกุลเหอ
“เป็นไปได้อย่างไร แค่จับตัวนางขังไว้ที่ศาลร้าง ก็เป็น
ความผิดมากโข พวกท่านยังปล่อยปละละเลยให้คนพาตัว
นางไปที่อื่น เหตุนี้นับว่าไม่ถูกต้อง”
“โถ มือปราบเจิ้งหวน นางเป็นสตรีที่ก่อปัญหาตลอด อีกอย่างข้าไม่ได้ยัดข้อหานางให้สักนิด ทั้งหมดล้วนเป็นนางที่ทำตัวเอง หากไม่ขังนางไว้ เสี่ยวเซียน ก็รังแต่จะไปตีกลองที่หน้าศาล เรียกร้องความเป็นธรรมให้หมอตำแยหลัน นางทำเช่นนั้นถูกต้องหรือ ช่างไม่เจียมตน รู้ทั้งรู้ สกุลเหอใหญ่โตเพียงใด พวกเขาไม่ส่งมือสังหารไปฆ่านางปิดปาก นับว่าเมตตาแล้ว”
“แต่นางไม่ได้ทำความผิด เสี่ยวเซียนเป็นสตรีที่ช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ” เจิ้งหวนแย้ง
คราวนี้ใต้เท้าหน่วยปกครองประจำเมืองกุ้ยโจวส่ายหน้าระอา เขาช่วยลั่วฟางเซียนเต็มที่ แต่นางเป็นหญิงดื้อด้าน สุดท้ายกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ โดยเป็นฝีมือของกลุ่มคนที่ปกปิดทั้งฐานะและตัวตน ซึ่งเขาไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด แต่คาดการณ์ว่าคงเป็นอีกฝ่ายที่มีความขัดแย้งต่อสกุลเหอ
“นางอยู่ผิดที่ผิดทาง การหลบหนีครั้งนี้ ยิ่งทำให้มีมูลเหตุว่า นางร่วมมือกับคนร้ายเพื่อฆ่าล้างโครตคนสกุลเหอ”
เจิ้งหวนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย อย่างไรเขาต้องแกะรอยแล้วตามหาลั่วฟางเซียนให้พบ จดหมายที่นางให้คนไปส่งแจ้งชัดว่ามารดานางถูกใส่ร้าย เช่นนี้นางจะหายตัวไปได้อย่างไร ลั่วฟางเซียนรักมารดา ดังนั้นสิ่งที่นางกระทำอยู่ย่อมเป็นการช่วยเหลือหมอตำแยหลันให้รอดพ้นจากความผิด
“ข้าจะรับผิดชอบคดีนี้ด้วยตนเอง”
เจิ้งหวนกล่าวจบจึงชูป้ายตำแหน่งของตน เขาเป็นมือปราบขั้นที่ห้า ซึ่งในสมัยฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นชิงสามารถเรียกกำลังคนในพื้นที่ได้หากมีสงครามหรือการจราจล พร้อมสืบสวนคดีต่างๆ อย่างชอบธรรม รวมถึงไขคดีที่เกี่ยวพันถึงคนในครอบครัวของมือปราบ
“อย่างไร ท่านจงอย่าทำสิ่งที่จะส่งผลร้ายให้แก่ผู้ใหญ่ในเมืองนี้ก็แล้วกัน ข้าไม่อยากมีปัญหากับเจ้าเมือง กล่าวเช่นนี้ มือปราบเจิ้งหวนคงฉลาดพอที่จะไม่ทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย”
ใต้เท้าหน่วยปกครองบอกเขา และถอนหายใจหลายเฮือก ด้วยมองออกว่า อีกไม่นานนับจากนี้เมืองกุ้ยโจวอันสงบสุข คงต้องลุกเป็นไฟ
ดวงตาคมของเจิ้งหวน มองไปยังเงาที่เคลื่อนไหวในเรือนเปิดโล่ง ภาพจากมุมนี้ไม่ชัดเจน แต่เสียงชายหญิงที่ดังอย่างเร่าร้อน แจ้งชัดว่าพวกเขากำลังอุ่นเตียงอย่างซาบซ่านถึงใจ
เขามาถึงคฤหาสน์สัตตบงกชได้อย่างไร เรื่องนี้นับว่าโชคช่วยเอาไว้ หลังจากตามหาลั่วฟางเซียนอยู่สองคืน เขาบังเอิญพบสตรีชื่อ เหยียนเข่อซิน นางซ่อนตัวอยู่นอกเมือง คราแรกนางไม่อยากพูดถึงหญิงคนรักของเขา หากสุดท้ายได้อธิบายอย่างรวบรัดว่า ลั่วฟางเซียนถูกส่งตัวไปแทนนาง ดังนั้นเหยียนเข่อซินตัวจริง จำต้องหายสาบสูญไปจากเมืองกุ้ยโจว
ถึงจะล่วงรู้ว่าลั่วฟางเซียนแต่งเข้าสกุลถานในฐานะอนุ
เหยียน แต่การเข้าไปสถานที่บนภูเขาสูงไม่ใช่เรื่องง่าย เจิ้งหวนต้องปลอมตัวเป็นคนงานเก็บมูลและทำความสะอาด และได้พบว่าด้านหลังของคฤหาสน์มีศพคนตาย สภาพศพถูกสุนัขกัดมีแผลเหวอะหวะ เขาจึงแน่ใจว่าที่นี่มีเรื่องราวชวนสยองปกปิดเอาไว้ จากนั้นเขาจึงอาสาช่วยฝังศพ และค่อยๆ สวมรอยเข้าไปเป็นคนงานในโรงครัว
ดวงตาคมของเจิ้งหวนมองไปเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา ยามนี้ เขายังรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะโดยรอบของคฤหาสน์มีทั้งพืชประหลาด อีกทั้งกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ซึ่งหากเขาเฉลียวใจสักนิด คงรู้ว่ากลิ่นอ่อนๆ ที่หอมกำจายอยู่โดยรอบพื้นที่ คือกลิ่นที่ผสมด้วยสมุนไพรเพิ่มกำหนัดแก่บุรุษ!
เสียงร้องผสานรับกันของชายหญิงดังไม่หยุดจนสติของเจิ้งหวนเตลิดไปไกล กระทั้งได้ยินเสียงฝีเท้าของเวรยาม เขาก็ต้องหาที่ซ่อนตัว
“ทางนั้น มีคนงานโรงครัวหายไป รีบตามตัวให้พบ”
เจิ้งหวนไม่อาจให้ใครจับตัวเขา อย่างไรต้องตามหาลั่วฟางเซียนให้พบ และพานางออกห่างจากบุคคลอันตรายสกุลถาน
เขาใช้วิชาตัวเบาถีบพื้น แล้วเหยียบใบบัวบนสระกว้าง จุดหมายคือเรือนไม้เปิดโล่ง มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘เรือนอักษร’
กระทั่งปลายเท้าแตะบนพื้นไม้ หัวใจชายหนุ่มแทบหยุดเคลื่อนไหว แผ่นหลังเปลือยเปล่าขาวนวลเนียนของสตรีอยู่ไม่ห่างจากสายตาเขา ร่างอรชรอ้อนแอ้นไหวสะท้านราวกับนางควบขี่ม้าตัวโตที่แสนพยศ
“อ๊ะ...อ๊า...ขะ ข้าร้อนเหลือเกิน เจ็บราวกับร่างนี้จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ บุรุษชั่ว กำลังแยกร่างของข้า ท่านแยกร่างข้าด้วยมะโรงปีศาจที่พ่นพิษได้!”
นางส่งเสียงหวานล้ำ สลับการสถบหยาบคาย พร้อมกันนั้นก็มีเสียงคำรามของบุรุษคล้ายกำลังสู้ศึกในสนามรบ เขาเปล่งเสียงข่มขวัญศัตรู ก่อนที่อึดใจต่อมา สตรีงามก็แกะผ้าปิดตาตนออก แล้วหมุนกำไลบนข้อมือตน นางหมุนมันอย่างรวดเร็วเพื่อคลายสลัก โดยหวังปล่อยเข็มพิษฝังร่างบุรุษที่นางนั่งทับแก่นกายเขาอยู่
ชั่วพริบตา สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เจิ้งหวนรับรู้ว่า นางทำพลาดมหันต์ เข็มพิษจากกำไลข้อมือปักเข้าเนื้อตัวอีกฝ่ายก็จริง แต่ดูเหมือนพิษเล่นงานคนตัวโตช้าเกินไป
“อนุเหยียน ล่วงเกินสามีเช่นนี้ สมควรแล้วหรือ” สิ้นเสียงตวาด ร่างสูงใหญ่จึงผลักลั่วฟางเซียนจนนางกระแทกไปนั่งบนพื้น นางตื่นตระหนกเสียขวัญ พอคิดเอื้อมมือควานหาสิ่งมาป้องกันตน ทุกอย่างก็สายเกินไป
“เจ้าตั้งใจทำสิ่งใด อนุเหยียน” เสียงดุดันถามย้ำ
“ขะ ข้า เพียงแต่อยากให้ท่านได้รับโทษที่ทำให้สตรีหลายคนในแผ่นดินนี้ต้องทุกข์ทรมาน ราวกับตกนรก เมื่อก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ปีศาจแห่งนี้”
“เข้าใจผิด พวกนางล้วนจงใจมาเป็นทาสราคะของข้า ตัวเจ้าก็เช่นกัน”
หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ก่อนยิ้มเย็นเมื่อเห็นว่า เข็มเงินอันหนึ่งฝังเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา และมันเริ่มส่งผลร้ายต่อกายแกร่ง บริเวณที่เข็มฝังเข้าไป เกิดสีแดงเข้มก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำน่าตระหนก
“แม่ทัพถาน สุดท้าย ท่านก็สิ้นชื่อเพราะสตรีอย่างข้า และโปรดรู้ด้วยว่า อนุเหยียนไม่เคยมาที่นี่” ลั่วฟางเซียนเอ่ย แล้วจึงคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่
“ไม่มีอนุเหยียนที่นี่ มันเป็นเรื่องหลอกลวง” นางรู้สึกกุมชัยชนะ เมื่อถานป๋อสิ้นชีพ นางจะลักลอบออกจากคฤหาสน์สัตตบงกชด้วยทางลัด จากนั้นก็ไปรับเงินรางวัล แล้วช่วยมารดาให้พ้นภัย
แต่ลั่วฟางเซียนดีใจได้เพียงไม่นาน เมื่อชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง เสียงเขาทำให้ลั่วฟางเซียนขวัญเสีย หัวใจหล่นวูบหาย
“อนุของข้า บุรุษสกุลถานในคฤหาสน์หลังงามนี้ ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว เรื่องนี้เจ้าคงยังไม่ลืม”
เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มจึงจับที่หน้ากากแสนน่าเกลียด
เขาเตรียมถอดมันออก ทว่าไม่ทันที่ลั่วฟางเซียนจะได้เห็นใบหน้าอีกฝ่าย เจิ้งหวนพลันโผเข้ามา แล้วคว้าข้อมือนางออกแรงฉุดให้หนีจากพื้นที่อันตราย!