Because, Men born to women
“เหตุผลเพราะผู้ชายเกิดมาคู่กับผู้หญิง”
-NOPPAGOW TALK-
::ชีวิตของลูกผู้หญิง::
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 25XX
“เดินทางปลอดภัยนะครับ คุณหนู”
“…”
“นี่หมวกกันน็อกครับคุณหนู”
“ขอบคุณนะลุง” ฉันรับคำพลางยื่นมือรับหมวกกันน็อกใบโตมาสวมหัวอย่างรวดเร็วตามความเคยชิน และหันหลังเดินตรงไปขึ้นรถ Bigbike คู่ใจเหมือนทุกวัน
บรืนน บรืนนน
เสียงเบิ้นเครื่องยนต์ทันทีที่เครื่องติด ทำเอาคนเฝ้ารั้วบ้านก้มหัวลงเล็กน้อยตามมารยาท ซึ่งฉันเองที่เด็กกว่าพวกเขานัก ก็ไม่รอช้าที่จะก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนมือจะเริ่มบิดคันเร่งพาตัวเองและรถคู่ใจออกไปจากบ้านหลังใหญ่ยักษ์ใจกลางเมือง
เขาบอกว่าโลกใบนี้มีหลายๆ สิ่งให้คนเราได้พบเจอ บางเรื่องน่ากลัว บางเรื่องน่าตื่นเต้น บางเรื่องน่าเศร้า ส่วนบางเรื่องก็สามารถทำให้เรายิ้มได้ในทุกครั้งที่นึกถึง
คนส่วนใหญ่เลือกเรื่องที่มักจะทำให้ตัวเองมีความสุขปราศจากอุปสรรค แต่ว่าฉันนั้น กลับเลือกเรื่องที่ให้ความสุขบนความท้าทาย และหลายคนเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางของตัวเองกลางครัน เขาพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองให้หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามสถานการณ์รอบตัว จนลืมไปว่า ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองนั้นคือเรื่องอะไร
ส่วนฉันเอง ยังไม่กล้าที่จะลองความต้องการของตัวเองจริงๆ จังๆ สักทีเพราะคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา แต่เมื่อในวันหนึ่งมาถึง ฉันคิดว่าฉันคงจะรู้แน่ๆ ว่าความต้องการที่แท้จริงของฉันมันคืออะไร ยังไงซะ! ไม่ว่าฉันจะตัดสินใจเลือกทางไหนให้ตัวเอง ฉันก็มั่นใจที่สุดแล้วว่าทางนั้นต้องเป็นความสุขสำหรับฉันแน่ๆ แม้ว่าเส้นทางที่เลือกอาจจะไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ฉันก็เชื่อมั่นว่า ฉันไม่เคยคิดผิดเมื่อตัดสินใจเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว
@มหาวิทยาลัยเอกชน K
07.15 น.
บรืนนน บรืนนนนน
เสียงบิดเร่งเครื่องยนต์ขนาด 250 cc ภายในรั้วมหาวิทยาลัยพานให้ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังต้นเสียงเป็นจุดเดียว แต่ว่านั่นน่ะ ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกสนใจมากได้เท่ากับอากาศยามเช้าภายในมหาวิทยาลัย และนี่คงเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันยอมลุกจากที่นอน เพื่อมามหาวิทยาลัยแต่เช้า ต่อให้จะไม่มีคลาสเรียนก็ตาม
“โย่วไอ้เก้า!” ไอ้ ‘เทา’ เพื่อนซี้ปึกร่วมคณะชูมือขึ้นเหนือหัวแทนคำทักทาย ขณะเดินตรงมาหาฉันที่รถพร้อมด้วยเจ้าของเสียงทักทายอย่างไอ้ ‘พี’ แทบจะทันทีกับที่ล้อทั้งสองหยุดจอดสนิท
อ้อ! ‘เก้า’ หรือ ‘นพเก้า’ คือชื่อฉันเอง ตอนนี้อายุ 21 ปี เรียนอยู่คณะวิศวฯ ปี3
ฉันไม่ได้ตอบอะไร แต่เลือกที่จะถอดหมวกกันน็อกใบใหญ่ออกแล้วสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อจัดการผมให้เป็นทรง ก่อนกวาดขาลงจากรถ หลังจากที่ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีนั่งคร่อมรถบังคับแฮนด์มาที่มหาวิทยาลัย
อ่า… ปวดหลังไปหมด
“มีคนบอกว่า เมื่อคืนมึงโดนโจทก์ดักทำร้ายอ่อ?” ไอ้เทาถามขึ้นทันทีเมื่อสบโอกาส
“ใช่” ฉันตอบห้วนๆ ตามนิสัยพลางทิ้งตัวลงนั่งบนขั้นบันไดหน้าทางขึ้นตึกคณะเพื่อพักเหนื่อย ไอ้เทาเดินตามมานั่งข้างๆ ขณะไอ้พียืนเท้ารถคันเก่งรับฟัง
“ทำใจเว้ย! เสือกมีพ่อเป็นยากูซ่าคุมพื้นที่เองช่วยไม่ได้” ไอ้พีแขวะยิ้มๆ “แล้วที่รอดมาได้นี่วิชามวยช่วยชีวิตเหรอ?”
“เปล่า”
“ปาฏิหาริย์ชัวร์!” ไอพีฟันธง
“ข้ายืมมือคนอื่นช่วยว่ะ”
“มึงเนี่ยนะ ยืมมือคนช่วย?” คราวนี้เป็นไอ้เทาที่แย้ง “นักมวยแชมป์ระดับจังหวัดอย่างนพเก้าเนี่ยนะ ต้องพึ่งมือคนอื่นด้วยเหรอวะ?” ไอ้เทาถามเสริมน้ำเสียงติดตลก และนั่นพลอยให้ไอ้พีที่เส้นตื้นอยู่แล้วขำตามไปด้วย
“ก็ใช่ไง” ฉันก็ตอบไปตามตรง เอาเข้าจริงฉันแทบจะจำหน้าไอ้หนุ่มคนนั้นที่พลอยโดนลูกหลงไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่จำได้ก็มีแค่คำพูดคำจาเหมือนกับว่ามันรู้จักฉันดี กับท่าทางสะดีดสะดิ้งเหมือนถูกขืนใจหลังจากที่ทุกอย่างจบลง
ที่พูดแบบนั้นก็เพราะแบบนี้ จะเล่าคร่าวๆ ให้ฟัง คืนนั้นหลังจากฉันหมดหนทางหนี ทางเลือกสุดท้ายที่จะทำให้ตัวเองปลอดภัย คือการยืมมือจากคนแปลกหน้าที่เจอกันข้างทางให้เกิดประโยชน์ บังเอิญว่าในหัวตอนนั้นดันนึกถึงฉากในละครขึ้นมาได้พอดี ฉันเลยตัดสินใจจูบไอ้หนุ่มนั่นไป ก็แค่จูบ ไม่ได้ลึกซึ้ง ดูดดื่มหรือมีความหมายอะไร แค่จูบเพื่อที่จะทำให้เราปลอดภัย
เพราะเคยถ่ายแบบลงปกนิตยสาร ชนิดปากชิดปากกับนางแบบด้วยกันมาแล้ว ฉันเลยไม่ค่อยซีอะไรมาก มันก็เหมือนกับงานๆ หนึ่งแค่นั้น แต่งานนี้มันคืองานเอาตัวรอด แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นน่ะ...
‘เฮ้ยพี่! ทำห่าไรวะ!’ ไอ้หนุ่มแปลกหน้านั่นดันโวยวายไม่หยุด แถมมันยังพูดอะไรแปลกๆ ออกมา ‘ชีวิตนี้ผมยังไม่เคยจูบกับผู้หญิงเลยนะ พี่อย่ามายัดเยียดความเป็นเกย์ให้ผมดิวะ!’
อารมณ์ของไอ้หนุ่มคนนั้นคล้ายกับจะเรียกร้องความเป็นธรรม แถมยังรีบสะบัดก้นหนีไปแบบไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดขอโทษหรือขอบคุณสักคำ คิดๆ แล้วมันก็คล้ายกับนิทานเรื่องซินเดอเรล่าที่เคยฟังตอนเด็กๆ ไม่มีผิด เจ้าหญิงที่แอบแม่เลี้ยงใจร้ายมางานเต้นรำกับเจ้าชาย สุดท้ายก็หนีไปโดยทิ้งรองเท้าแก้วเอาไว้
ตลกดี…
“นั่นอะไรวะ?” คำถามของไอ้พีทำฉันสะดุ้งจากภวังค์ความคิด เหลือบมองหน้ามันด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ในมือกำลังถือพลาสเตอร์ปิดแผลที่ได้รับมาจากเด็กหนุ่มเมื่อคืน
“เดี๋ยวนี้หัดพกของแบบนี้ด้วยเหรอวะเก้า?” มันแซว
ฉันไม่ได้ตอบแต่ปล่อยคำให้พวกมันคิดต่อยอดกันไปเอง และไม่คิดจะพูดอะไรต่อด้วย เพราะรู้นิสัยเพื่อนสนิทดีว่าเป็นยังไง ไอ้พีจะเป็นคนที่ถ้าได้ลองต่อปากต่อคำด้วยแล้ว ชาติหน้าก็คงไม่จบ ส่วนไอ้เทาดีขึ้นมาหน่อย มันเป็นคนง่ายๆ ไม่พูดมาก ไลฟ์สไตล์คล้ายกัน
พวกเราสามคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล พูดง่ายๆ ก็รู้นิสัยใจคอ รู้ไส้รู้พุงกันหมดทุกเรื่อง ที่สำคัญพวกมันสองคนคือลูกชายของบอดี้การ์ดประจำตัวพ่อฉันเอง หน้าที่ของมันก็เลยเป็นทั้งเพื่อน และผู้ดูแลฐานะรุ่นลูกไปด้วย
และถ้าจะพูดถึงชีวิตประจำวันของฉันล่ะก็ ถ้าไม่อยู่ที่Lab ก็คงอยู่ที่…
@สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยเอกชน K
“แกๆ ดูนั่น! พี่เก้าเตะบอลอยู่ในสนามแหละ”
“คนอะไร ทำไมหล่อได้หล่อดีขนาดนี้ >_ซวบ!!
ทันทีที่แรงอัดกระแทกของลูกบอลเฉียดมือรุ่นพี่อีกคนซึ่งทำหน้าที่โกลไปอย่างเต็มเม็ด หลังจากบุกทำแต้มให้ทีมตัวเองมาตลอดเกือบ 15 นาที เสียงเฮ้ของทีมเดียวกันก็ดังขึ้น
“Nice kick ว่ะเก้า!” เสียงชมของพี่ ‘โอ๊ต’ รุ่นพี่ซึ่งอยู่คณะทีมเดียวกันตะโกนมาจากระยะไม่ใกล้ไกล “วันนี้ฟอร์มดีไม่มีตก สมแล้วที่เป็นน้องเทคของพี่” แถมดูท่าจะไม่หยุดชมง่ายๆ อีกทั้งยังใช้มือตบบ่าฉันท่าทางภูมิอกภูมิใจ
และใช่สถานที่ที่ฉันชอบมาอยู่ นอกจากตึกคณะก็คงจะเป็นสนามบอลนี่แหละ
“สาวมาเชียร์แน่นสนามเหมือนเดิมเลยนะเก้า” พี่โอ๊ตสายตากวาดมองไปรอบๆ สนามซึ่งเต็มไปด้วยกองเชียร์แบบไม่ได้นัดหมาย ก่อนพูดออกมาอีกครั้งเสียงแซว
“ทำไมอ่ะ พี่ไม่ชินเหรอ?” ฉันย้อน
“ทั้งชิน ทั้งอิจฉา” พี่โอ๊ตพูดติดตลกและถามเสริม “ไม่อึดอัดบ้างเหรอวะ ที่ต้องอยู่กลางดงสาวๆ แบบนี้”
“ไอ้เก้ามันจะไปอึดอะไรพี่ หนังหน้ามันดี สาวเยอะแบบนี้มันก็ต้องภูมิใจดิ จริงป่ะ?” ไอ้พีที่ไม่รู้เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พาดแขนคล้องคอฉันแน่น แถมยังตอบแทน
พี่โอ๊ตถามต่อทันทีพอได้ฟังแบบนั้น และมันก็เป็นคำถามเดิมซ้ำๆ
“เคยคิดจะชอบผู้หญิงจริงๆ จังๆ บ้างปะวะเก้า?” แต่พอจะตอบ มันก็ดันมีอีกคนแทรกเสียงตอบแทนอีกรอบ
“ไอ้เก้ามันเป็นผู้หญิงนะพี่ ต่อให้มันจะหล่อเกินหน้าเกินตาก็เหอะ” คำตอบของไอ้พี ทำฉันเหลือบมองหน้ามันเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังยื่นขวดน้ำส่งมาให้
“เอาจริงๆ นี่ถ้ากูไม่รู้จักไอ้เก้า มองผ่านๆ กูก็คิดว่ามันเป็นผู้ชายนะ” พี่โอ๊ตแย้ง “นี่มึงเป็นเลสเบี้ยนป่ะเนี่ยเก้า ถึงไม่มีผัวสักที” พี่โอ๊ตที่ดูจะเข้าคู่กับไอ้พีได้ดีเริ่มช่วยกันแซวอีกครั้ง
“ไอ้เก้ามันเป็นแบบนี้มานานแล้วพี่ หล่อขนาดนี้คงไม่ใช่เลสแล้ว น่าจะทอม”
“ไอ้พี ถ้าเรียกข้าทอมอีกรอบ พ่อจะเตะปากให้แดกไรไม่ได้อีกเลย” แม้จะขู่ใส่ไปก็ตาม แต่ไอ้พีก็ไม่หยุด ยังหันไปกระซิบกระซาบกับพี่โอ๊ตต่อ พอฟังเรื่องเดิมบ่อยเข้า ฉันก็รู้สึกรำคาญ จนต้องตัดบทเดินปลีกตัวออกจากวงสนทนา
“พักแป๊บนะพี่ เหนื่อย” ถามว่าโกรธเรื่องที่พี่โอ๊ตกับไอ้พีพูดไหม บอกเลยว่าไม่
ถ้าจะจัดอันดับเรื่องความชินรอบตัว เรื่องเพศก็กลายเป็นอีกเรื่องที่ติดอยู่ในอันดับความชินชาสูงสุดเช่นกัน เพราะถูกเข้าใจผิดมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นผู้ชาย แถมสิ่งแวดล้อมรอบตัวก็เต็มไปด้วยผู้ชาย การเลี้ยงดูก็ถูกเลี้ยงมาอย่างเด็กผู้ชาย เรื่องความสวยงามแบบที่ผู้หญิงควรมีเลยไม่จำเป็น
ฉันเสียแม่ไปตั้งแต่เด็กจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ นับตั้งแต่นั้นคนที่เลี้ยงดูฉันมาตลอดก็เลยเป็นพ่อหรือไม่ก็ลูกน้องของพ่อนั่นแหละ เพราะนิสัยเหมือนผู้ชายทำให้เพื่อนที่มีล้วนแต่เป็นเด็กผู้ชาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้นะ ว่าแท้จริงแล้วเพศที่ถูกต้องของฉันคือผู้หญิง
ผู้หญิงหลายคนที่ตามมาเกาะข้างสนามส่วนใหญ่ก็รู้กันทั้งนั้น มีแค่บางคนเท่านั้นที่ยัง เชื่อมั่นว่าฉันเป็นผู้ชาย อาจเพราะเป็นควันหลงจากการถูกทาบทามถ่ายแบบลงปกนิตยสารวัยรุ่นในฐานะนายแบบด้วยล่ะมั้ง อีกอย่างฉันไม่ชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดๆ โดยเฉพาะกระปรงประโปรงนี่ไม่ต้องพูดถึง แค่เสื้อกล้าม เสื้อยืดกับกางเกงยีนสักตัวก็เพียงพอแล้วสำหรับออกไปไหน
แต่ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าทั้งชีวิตไม่เคยใส่กระโปรงหรอกนะ ตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย เคยใส่มาหมดแล้ว แต่ก็อีกนั้นแหละ กระโปรงมันไม่ได้ช่วยให้คนเข้าใจเพศฉันมากขึ้นหรอก ด้วยความสูง 178 ซม. ซึ่งได้มาจากกรรมพันธุ์ทางพ่อ ไหนจะใบหน้าที่ละม้ายคล้ายผู้ชายจนได้รับฉายา ‘เจ้าชายประจำคณะวิศวะ’ อีก
เพราะกระโปรงนักศึกษาที่ใส่อยู่ไม่ได้ช่วยอะไร ฉันก็เลยเปลี่ยนมาใส่เป็นกางเกงยีนส์ขาดเซอร์ๆ ตามสไตล์แทน เคยได้ประโยคนี้ยินไหมล่ะ เพราะคนส่วนใหญ่มักมองที่หน้าไม่ใช่กระโปรง ชิ้นส่วนล่างข้างล่างต่อให้เป็นจีสติง ถ้าคนจะมองว่าเหมือนผู้ชาย จีสติงที่ใส่อยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร สุดท้ายฉันก็เลยปัดความรำคาญเรื่องเล่านั้นออกไปด้วยคำว่า ‘Up to มึง’ อยากคิดอะไรก็คิด อยากเชื่ออะไรก็เชื่อ อยากทำอะไรก็เอาตามที่สบายใจ ไม่ยุ่งยากดี
“เฮ้ย! ไอ้เก้าโกรธพวกพี่โอ๊ตอ่อ?” เสียงฝีเท้าไล่หลังตามมาด้วยคำถามสั้นๆ ของไอ้เทา ส่วนฉันก็ได้แต่ส่ายหน้า อีกฝ่ายก็เลยย้อนออกมา “แต่มึงดูตึงๆ นะ”
“ข้าเป็นของข้าแบบนี้นานแล้วปะวะ อย่าคิดมากดิ!”
“เออๆ งั้นไปหาน้ำแดกกัน ป่ะๆ” ว่าแล้วไอ้เทาก็ปัดเรื่องที่มันสงสัยออกไป เปลี่ยนมาเดินคล้องคอฉันแทน และนั่นแหละมั้ง
ทั้งหมดที่ฉันเป็นทุกวัน ในฐานะ นพเก้าหรือเก้า เจ้าชายประจำคณะวิศวะฯ
11.45 น.
@หน้าตึกคณะวิศวะ
“เบื่อว่ะ”
ไอ้พี บุคคลไฮเปอร์ประจำกลุ่ม กล่าวขึ้นด้วยท่าทางเซ็งกะตาย มันเอนหลังพิงราบกับกับขั้นบันได อย่างนึกเบื่อหน่าย เพราะหลังจากที่พวกเราเลิกเตะบอลกัน พวกพี่โอ๊ตก็ดันมีคลาสต้องเข้าเรียน ส่วนไอ้พวกไม่มีคลาสเข้าอย่างเราๆ ก็เลยไม่มีที่ไป
“แทงสนุ๊กไหม?” ฉันเสนอ
อย่างที่บอกฉันใช้ชีวิตแบบผู้ชาย ไม่รู้หรอกว่าวันว่างๆ ของผู้หญิงจริงๆ เขาทำอะไรกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่ที่ทำไม่เตะบอลก็เข้าโต๊ะสนุ๊กนั่นแหละ
“ที่ไหนอ่ะ?” สำหรับคนขี้เบื่อแบบไอ้พี ตอนนี้ไม่ว่าจะเสนออะไร มันก็ตอบรับหมดนั่นแหละ
“บ่อนพ่อข้าไง”
“เอาดิ ป่ะๆ ลุก” เหมือนว่าไอ้พีไม่ได้คิด มันรีบขยับตัวลุกขึ้น พลางดึงไอ้เทาให้ลุกตาม
พวกเราสามคนเดินตรงไปที่รถคู่ใจของตัวเอง ไอ้เทากับไอ้พี สองคนนี้ส่วนมากไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้งอยู่แล้ว ไม่แปลกใจหรอกถ้าหากรถมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน จะเห็นพวกมันซ้อนสองไปไหนมาหนด้วยกันบ่อยๆ
ฉันบรรจงเปิดเบาะรถหยิบถุงมือมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาสวม ก่อนจะตามด้วยหมวกกันน็อกเต็มใบ พร้อมทั้งทำมือเป็นการบอกสัญญาณบอกทางให้เพื่อนสนิทซึ่งกำลังขึ้นคร่อมรถ นำทางไปก่อน
ไอ้เทาที่ครั้งนี้มีหน้าที่เป็นคนขับ บิดเลี้ยวรถย้อนกลับไปตามทางที่ฉันบอก ไม่รอให้เสียเวลา ฉันรีบกวาดขาขึ้นรถพร้อมทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์ บิดคันเร่งตามหลังพวกมันสองคนออกไปทันที เพราะภายในมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ซึ่งต้องจำกัดความเร็ว ที่ทำได้คือการบิดให้ทันจนสามารถขนาบข้างควบไปข้างๆ กับรถของไอ้พีและไอ้เทาเท่านั้น
ไม่ได้มีใครพูดอะไรกัน เพราะตามองทางถนนตรงหน้าเพื่อระวังความปลอดภัย เนื่องจากเวลาพักเที่ยงแบบนี้ นักศึกษาส่วนใหญ่มันจะชอบเดินเผ่นผ่านไปมายิ่งกว่าเวลาปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริเวณหน้าตึกคณะคหกรรมศาสตร์ที่จำเป็นต้องขับรถผ่าน
หนึ่งเลยเพราะคณะนี้มีสาขาเกี่ยวกับการวิจัยอาหาร แคนทีนของมหาวิทยาลัยเลยอยู่ติดกับตึกคณะนี้ไปด้วยเช่นกัน
พวกเราขับรถไปจนถึงหน้าตึกคณะคหกรรมเจ้าปัญหา สุดท้ายก็ต้องสะดุด เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่คิดไว้จะเป็นเรื่องจริง
“ย้อนไปทางเก่าไหม คนแม่งเยอะ” ไอ้เทาเปิดกระจกหมวกกันน็อก หันมาถามฉันซึ่งได้แต่คร่อมประครองรถ มองดูคนนับสิบซึ่งเดินขวักไขว่ไปมาบนถนน
และในตอนนั้นเอง…
ท่ามกลางคนหมู่มากสายตาของฉันก็ดันเจอะเข้ากับอะไรบางอย่าง มันไม่ใช่สิ่งประหลาดอย่าง 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกหรอก เพราะไอ้ที่สายตาดันหันไปสบเจอมันเป็นแค่นักศึกษาชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังกอดแฟ้มเอกสารเอาไว้กับตัว
สิ่งที่ทำให้นักศึกษาผู้ชายคนนั้นดูสะดุดตามากกว่าใคร ก็คงเป็นสีหน้ากับท่าทางที่ดูตกใจอะไรบางอย่าง ไอ้ท่าทางแบบนั้นน่ะ ไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ท่าทางชี้หน้าเหมือนหาเรื่องแล้วกำลังจะหันหลังวิ่งหนีมันไม่ใช่
ฟึ่บ!
โครม!
“อ้าวเฮ้ยไอ้เก้า! ไปไหน!!?”
ฉันไม่ได้สนใจเสียงเรียกของไอ้เทาหรือไอ้พี และเลือกที่จะสลัดรถ Bigbike คู่ใจออกจากตัว ก่อนจะเริ่มสวมวิญญาณนักวิ่งตามนักศึกษาคนนั้นไป
ท่าทางชี้หน้าหาเรื่องแบบนั้น เห็นแล้วข้องใจ ยังไงก็คงต้องตามไปถาม!
ไอ้นักศึกษาคนดังกล่าวมันใส่เกียร์หมา วิ่งไม่หยุด พวกเราวิ่งไล่ล่ากันตั้งแต่หน้าตึกคณะคหกรรมฯ ผ่านไปที่สนามฟุตบอล วิ่งไปตามทางแม้ว่าจะมีสิ่งกีดขวาง
บ่อยครั้งที่มันเหลียวหลังกลับมามอง ก่อนจะหันกลับไปแล้วเร่งสปีดความไวมากขึ้นกว่าเก่า ยิ่งมันเร่งความเร็วของฝีเท้ามากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็สาวเท้าวิ่งเร็วตามมากเท่านั้น เวลานี้สายตาของคนทั้งม . ไม่ได้เป็นที่สนใจมากไปกว่าความข้องใจตัวไอ้นักศึกษาชายที่กำลังวิ่งหนีเหมือนมีความผิดอยู่เลยสักนิด
หลังจากวิ่งเป็นแมวจับหนูมาครู่ใหญ่ มันวิ่งเข้าไปด้านในห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาจนกระทั่ง คนนั้นก็หมดทางหนี เมื่อสิ่งที่รออยู่ด้านในถูกวางเต็มไปด้วยลูกกรงเหล็กสำหรับเก็บอุปกรณ์กีฬาเท่านั้น
“แฮ่กๆ”
เสียงหอบของนักศึกษาชายคนนั้นดังก้องไปทั่วห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา มันแสดงทีท่าลนลาน หันซ้ายหันขวา และหันกลับมาเผชิญหน้ากันในที่สุด พร้อมคำถามสั้นๆ
“พี่จะทำไรวะ อย่าเข้ามานะเว้ย!”