บทที่ 5
ภาพหญิงสาวคนหนึ่งยืนอย่างมั่นใจบนเวทีที่สว่างไสวด้วยแสงไฟจากสปอตไลต์ที่ส่องตรงมายังเธอ
จางว่านหนิง หญิงสาวที่เปล่งประกายบนเวที เธอสวมชุดแฟนซีที่แม้จะเหมือนกับผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ แต่กลับดูสง่างามและโดดเด่นอย่างมาก ผมของเธอถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อย และท่ามกลางแสงสปอตไลต์ที่ส่องมายังเธอ ศาสตราจารย์จาง ผู้เป็นป้าของเธอ มองหลานสาวเพียงคนเดียวด้วยความภาคภูมิใจ แม้ว่าศาสตราจารย์จางจะเป็นผู้ที่ไม่เคยมีครอบครัวหรือทายาทมาก่อน
แต่การที่ว่านหนิงเลือกที่จะเดินตามรอยของเธอโดยการศึกษาคณะโบราณคดี ทำให้ศาสตราจารย์จางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าการค้นพบครั้งนี้จะเป็นลูกศิษย์อีกคนที่ดูแลทั้งหมด ศาสตราจารย์จางก็ไม่รีรอที่จะยกความดีความชอบให้ว่านหนิง เพราะชื่อของผู้ที่ค้นพบครั้งยิ่งใหญ่จะเป็นการปูทางสู่นักโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ แล้วเหตุใด นางจะยกมันให้คนอื่น อำนาจมีในมือ จะให้ใครก็ได้
“ขอบคุณคุณป้ามากค่ะ”
ศาสตราจารย์จางถูกเชิญขึ้นเวทีเพื่อร่วมถ่ายภาพ ว่านหนิงขอบคุณป้าของเธออย่างจริงใจ ก่อนที่ศาสตราจารย์จางจะให้กำลังใจหลานสาวและร่วมถ่ายภาพใต้แสงแฟลชที่ส่องไปทั่วเวที
“เราเก่งอยู่แล้ว ป้ากรุยทางให้แล้ว ทำมันให้ดี”
ศาสตราจารย์จางตบบ่าหลานสาว ก่อนจะหมุนตัวหันไปด้านหน้าเวที ท่ามกลางแสงแฟลชมากมาย
ว่านหนิงรู้สึกภูมิใจอย่างมาก และขณะที่เธอส่งยิ้มให้กล้อง สายตาก็ไปสะดุดที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังช่างภาพ เขาถือดอกไม้ช่อโตและยืนอยู่ในเงามืดของเวที เธอรีบไปหาชายหนุ่มคนนั้นทันทีและรับดอกไม้จากเขาด้วยรอยยิ้มอันหวานฉ่ำ
“ขอบคุณค่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณเสียงหวาน ไม่ลืมโปรยยิ้มพิมพ์ใจส่งให้ชายหนุ่มคนนั้นแม้เขาจะสวมหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่เธอก็จำได้ดีว่าคือใคร
เมื่อพิธีการทั้งหมดเสร็จสิ้น ว่านหนิงรีบกล่าวลาผู้ใหญ่ในงานและตรงไปหาชายหนุ่มคนนั้นที่ยืนอยู่ในมุมมืด เขาคือ จางจิ้งอู่ ที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะมาช้าจนเกือบพลาดงานเลี้ยง
“มายืนทำอะไรตรงนี้” ว่านหนิงเอ่ยถามในทันทีที่เดินมาหยุดตรงหน้า ชายหนุ่มหน้ากากดำ
“ยินดีด้วยนะว่านหนิง แล้วหลงเหยียนล่ะ”
ว่านหนิงหน้างอทันที
“แหม อ้าปากก็ถามถึงเลยนะ” เธอทำเสียงตัดพ้อ
“ผมมาช้า พลาดเวลาเรือออก ดีที่มีเรือเร็วสำหรับคนที่มาไม่ทัน ไม่งั้นคงไม่ได้มาร่วมงาน” จางจิ้งอู่เอ่ยเสียงเรียบ เขามาตามเวลาในบัตรเชิญที่ว่านหนิงมอบให้เขา แต่พอมาถึงท่าเรือพบว่าเรือออกจากท่ามาได้เกือบชั่วโมงแล้ว ที่สำคัญกว่านั้น คนที่ได้รางวัลสำหรับการค้นพบครั้งนี้กลับเป็นว่านหนิง ไม่ใช่แฟนสาวของเขา แต่เขาก็รู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมแสดงความยินดีกับว่านหนิง
ที่ผ่านมาหลงเหยียนขลุกอยู่ที่ไซต์งาน ติดต่อก็ลำบาก คุยกันไม่กี่คำก็ต้องว่า
“กินอะไรหรือยัง หอยเชลล์อบชีสอร่อยมากนะ จิ้งอู่ลองหรือยัง”
เสียงหวานที่เอ่ยถามอย่างห่วงใย อีกทั้งมือนุ่มนิ่มที่จับจูงเดินพร้อมกับจูงมือเขาไปยังโต๊ะอาหารอย่างไม่ลังเล แม้ว่าเหตุผลที่จางจิ้งอู่มาร่วมงานจะเพื่อต้องการพบกับแฟนสาวของเขา หลงเหยียน แต่เมื่อได้มาอยู่ใกล้ว่านหนิง ความคิดถึงและความสนใจทั้งหมดของเขากลับไปอยู่ที่ว่านหนิงแทน
เขาลืมไปว่ามาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เพราะอยากพบหลงเหยียน แฟนสาวที่ไม่ได้พบกันร่วมเดือนแล้ว
แม้ว่าความตั้งใจเดิมของเขาจะถูกเบี่ยงเบนไปบ้าง แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธเสน่ห์และความอบอุ่นของว่านหนิงได้
ขณะที่จางจิ้งอู่และว่านหนิงเดินเคียงข้างกันไปยังโต๊ะอาหาร เสียงดนตรีเบา ๆ ในงานเลี้ยงยังคงบรรเลงสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ว่านหนิงหยุดชั่วครู่เพื่อชี้ให้จางจิ้งอู่ดูอาหารที่เธอคิดว่าเขาน่าจะชอบ โดยเฉพาะหอยเชลล์อบชีสที่เธอเคยชวนเขามาทานในโอกาสพิเศษ จางจิ้งอู่รับจานจากเธอพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ซึ่งแม้จะเป็นรอยยิ้มที่เรียบง่าย แต่ว่านหนิงกลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
ขณะที่ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ว่านหนิงเริ่มพูดคุยถึงงานที่เธอทำอยู่ในช่วงที่ผ่านมา เรื่องราวการค้นพบทางโบราณคดีที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น ทุกคำพูดของเธอเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความรักในสิ่งที่เธอทำ จางจิ้งอู่ฟังเธอด้วยความสนใจ แม้ว่าในใจลึก ๆ จะยังคงนึกถึงหลงเหยียน แต่เขากลับพบว่าตัวเองถูกดึงดูดให้สนใจในเรื่องราวที่ว่านหนิงเล่า
เมื่อมื้ออาหารดำเนินไปเรื่อย ๆ ว่านหนิงก็เริ่มสังเกตว่าจางจิ้งอู่เงียบมากขึ้น เธอจึงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่าเขารู้สึกไม่สบายใจหรือไม่ จางจิ้งอู่ยิ้มเล็กน้อยและบอกว่าเขาแค่รู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่ได้เห็นหลงเหยียนในงานเลี้ยงนี้ ว่านหนิงยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของเขาและส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“อย่ากังวลไปเลย จิ้งอู่ หลงเหยียนคงจะยุ่งอยู่กับงานที่ไซต์ แต่นายก็ยังมีฉัน มันก็ดีไม่ใช่เหรอ ทุกครั้งเวลาหลงเหยียนไม่ว่าง นายก็มีฉัน นายไม่ได้ถูกทิ้งไว้ลำพังเสียหน่อย”
ว่านหนิงกล่าวพร้อมกับมองจางจิ้งอู่ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี
จางจิ้งอู่พยักหน้าเบา ๆ ความอบอุ่นในคำพูดของว่านหนิงทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตั้งแต่เรียนจบมาและเริ่มทำงาน หลงเหยียนแทบจะขาดการติดต่อกับเขา ทั้ง ๆ ที่เธอก็ทำงานที่เดียวกับว่านหนิง
หลังจากมื้ออาหารเสร็จสิ้น ว่านหนิงพาจางจิ้งอู่เดินชมบรรยากาศรอบ ๆ งานเลี้ยง เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะของผู้คนในงาน ทำให้ทั้งสองรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่พวกเขาเดินผ่านกราบเรือที่ประดับไฟสวยงาม จางจิ้งอู่ก็เอ่ยถามว่านหนิงอย่างเรียบง่ายแต่จริงจัง
“ว่านหนิง…เธอเคยคิดถึงอนาคตบ้างไหม ว่าหลังจากนี้อยากทำอะไรต่อไป”
“ฉันอยากทำงานในสิ่งที่ฉันรักต่อไปค่ะ และถ้ามีโอกาส ฉันก็อยากแต่งงานกับคนที่รักและเข้าใจ เคียงข้างร่วมฝ่าฟันปัญหาไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครคนใดคนหนึ่ง…ไว้ข้างหลัง เบื่อแล้วที่ต้องเป็นเพียงตัวสำรอง”
คำสุดท้ายว่านหนิงจงใจลงน้ำหนักเสียง เธอรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเหงาและเปล่าเปลี่ยวเพียงใด มีคนรักก็เหมือนไม่มี ทุกครั้งหลงเหยียนก็มักจะผิดนัดเพราะมัวแต่หมกตัวทำงานจนลืมเวลา และก็เป็นเธอที่ไปอยู่เป็นเพื่อนเขาเสมอ เป็นตัวแทนเพื่อนสนิท เธอแสดงกับเขาอย่างเปิดเผยว่ารู้สึกดีกับเขามากกว่าเพื่อน
ยิ่งเมื่อเห็นสายตาของจิ้งอู่วูบไหว ว่านหนิงก็รู้ได้ว่าเขาเริ่มหวั่นไหวกับเธอไม่น้อย
แย่งงานมาได้ จะแย่งคนรักของหลงเหยียนทำไมคนอย่างเธอจะทำไม่ได้ ในเมื่อหลงเหยียนชอบทำตัวเก่งและเหนือเธอ แต่ไม่ว่ามองอย่างไร หน้าตาทางสังคม ฐานะทางบ้าน ว่านหนิงก็มั่นใจว่าเหนือกว่าหลงเหยียนทุกด้าน แต่แล้วคนที่ได้คบกับจางจิ้งอู่กลับไม่ใช่เธอ
ฝ่ายหญิงที่เก่งด้านวิชาการ ฝ่ายชายเก่งด้านกีฬา คู่รักที่ใคร ๆ ก็สนับสนุน จับคู่ให้จางจิ้งอู่กับหลงเหยียนคบกัน เพราะทั้งสองเป็นคู่รักที่เหมาะสมที่สุดของรุ่น
ว่านหนิงก็อยากจะรู้นักว่า หากถูกแย่งทุกอย่างมา หลงเหยียนจะทำหน้าอย่างไรหากวันหนึ่งคนรักของตนเปลี่ยนใจมาหาเพื่อนสนิทอย่างเธอ
สายลมเย็นจากท้องทะเลพัดผ่าน ทำให้บรรยากาศเงียบสงบลงไปอีก
ว่านหนิงก็ทำงานหนักเช่นเดียวกับหลงเหยียน แต่กลับหาเวลามาพบเขาได้ รู้จักแบ่งเวลาระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเป็นอย่างดี หากวันหนึ่งแต่งงานกัน หลงเหยียนก็คงทิ้งเขาเอาไว้ข้างหลัง ให้เขาเป็นฝ่ายวิ่งตามเธออยู่แบบนี้
จางจิ้งอู่รู้สึกถึงความสงบและความอบอุ่นในหัวใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ขณะที่เขามองเข้าไปในดวงตาของว่านหนิง เขาก็เริ่มตระหนักว่า บางทีในชีวิตนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่การวิ่งตามหาสิ่งที่หายไป แต่คือการหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้า
และดูเหมือนว่านหนิงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่า