ด้านจันทร์เจ้าขาเมื่อส่งสติ้กเกอร์ไปหาเฟื่องแล้วก็วางโทรศัพท์ลงบนตัก ดวงตาสวยเหลือบมองเขาที่ยังคงนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำอย่างหวาดหวั่นใจเพราะเธอคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนมารับเอง
กลัวหนีขนาดนั้นเลยหรือไง นั่งนิ่งขนาดนี้จะบอกให้พาไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านก็ไม่กล้าแล้ว
“ทำไมคุณถึงมารับเองล่ะคะ” และเพราะทนความอึดอัดไม่ไหวหญิงสาวจึงเอ่ยถามเสียเอง ด้านไท่หรงเมื่อโดนถามก็ละสายตาจากนอกหน้าต่าง หันมามองหญิงสาวข้างตัว
“ฉันผ่านทางนี้พอดี เห็นคนของฉันบอกว่ามาส่งเธอที่นี่ก็เลยแวะรับ จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายรอบ” เขาพูดเสียงนิ่งเรียบยิ่งกว่าใบหน้าจนเธอเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรกันแน่
“อ๋อค่ะ…อ่ะ คุณจะทำอะไรเนี่ย!” ร่างเพรียวบางของจันทร์เจ้าขาถูกต้อนให้ถอยกรูดไปจนติดกับประตูอีกด้าน ตามองใบหน้าในระยะประชิดของเขาสลับกับบอดี้การ์ดด้านหน้าเลิกลั่ก
“เธอมีปัญหาอะไรหรือไง”
“ป…เปล่า ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“เธอไม่พูดแต่สีหน้ามันฟ้อง” ดวงตาคมกวาดมองใบหน้าสวยหมดจดของหญิงสาวอย่างจาบจ้วง มองไปก็อดชื่นชมในใจไม่ได้ว่าเธอสวยจริงๆ ทว่าคนโดนมองนอกจากจะไม่ซาบซึ้งแล้วยังกลัวเสียอีก
“...ฉันก็แค่คิดว่าคุณจะไม่ปล่อยให้คลาดสายตาเลยหรือไง ไหนบอกว่าการจะหาตัวฉันมันง่ายนิดเดียว อีกอย่างฉันก็ไม่ได้หนีคุณสักหน่อย” จันทร์เจ้าขากลั้นใจพูดออกมารัวๆ
จะไม่ให้เธอกลัวเขาได้ไง หน้าตาก็ดุแทบไม่มีรอยยิ้ม นิสัยก็นิ่งเงียบขรึม แถมนึกจะทำอะไรก็ทำ นึกจะพุ่งใส่ก็ทำไม่บอกไม่กล่าวอย่างนี้ เหมือนเธอยังเป็นลูกไก่ในกำมือของเขาไม่พออย่างนั้นแหละ
“ใช่ ง่ายนิดเดียว แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเสียเวลาหาไปทำไม” ไท่หรงพูดเพียงเท่านั้นและยังไม่ได้ผละออกไปในทันที เขายังกวาดมองใบหน้าของเธอต่อ
รอยยิ้มถูกใจถูกจุดขึ้นที่มุมปากเมื่อเห็นว่าแว้บหนึ่งดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยเหลือบขึ้นมามองคล้ายกำลังด่าเขาอยู่ในใจ เขาล่ะชอบจริงๆเวลาได้เห็นลูกแมวตัวเล็กๆขู่แฟ่ๆ
รอยยิ้มนั้นหายวับไปก่อนที่จันทร์เจ้าขาจะได้สังเกตเห็น เขาผละออกมานั่งนิ่งแบบเดิม ทิ้งความสงสัยเอาไว้ในใจของหญิงสาว ต่อจากนั้นก็ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรอีกจนกระทั่งทั้งสองคนเดินทางถึงโรงแรมที่เขาพักอยู่
อีกนัยน์หนึ่งก็คือโรงแรมที่เธอพักอยู่เหมือนกัน
จันทร์เจ้าขาได้แต่เดินตามเขาไปถึงชั้นวีไอพีโดยที่ไม่กล้าถามอะไรต่อ เธอมัวแต่คิดอยู่แบบนั้นจนไม่รู้ว่าขึ้นมาถึงชั้นที่เขาพักอยู่ตอนไหน ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรไท่หรงก็พาเธอเข้าไปในห้องของตัวเอง
ก้าวแรกที่เดินเข้าไปด้านใน ความโอ่โถงกว้างขวางและการตกแต่งห้องนั้นไม่ได้ทำให้เธอตื่นตาตื่นใจเลย เพราะในหัวมีแค่ภาพความน่าจะเป็นอันเลวร้าย เธอคิดไปต่างๆนานาว่าเขาอาจจะรอไม่ไหวแล้ว
เรื่องใหญ่ที่สุดในตอนนี้มันก็คือเรื่องนี้นี่แหละ ต่อให้ยังไม่ได้รับข่าวดีเรื่องพี่อ้อที่เธอขอไป แต่อยู่ในเงื้อมมือของเขาแบบนี้ถ้าเขาจะทำจริงๆเธอจะเอาอะไรไปขัดขืนกัน
ทว่าขณะที่กำลังคิดแบบนั้นจู่ๆกลิ่นบางอย่างคล้ายกลิ่นอาหารก็ลอยมาแตะจมูก ทำเอาคนที่ทำงานมาตั้งแต่ช่วงบ่ายและยังไม่ได้กินอะไรเลยถึงกับท้องร้องโครก
“เธอคงยังไม่ได้กินอะไรฉันเลยสั่งมาเผื่อ นั่งสิ” เขาว่าเสียงเรียบแบบเดิมก่อนจะไปนั่งที่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะ
เล่นเอาจันทร์เจ้าขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เธอพยายามคิดทบทวนตั้งแต่ที่เปิดรถมาแล้วเห็นว่าเขานั่งอยู่ ไอ้ที่กระโจนเข้ามาจนเธอกลัวนั่นก็ด้วย ที่ไปรับเธอมาจากกองถ่ายเพราะจะพามากินข้าวงั้นเหรอ
“ค่ะ”
แต่แม้ว่าจะมีคำถามเธอก็ไม่กล้าถามออกไปอยู่ดี เขาบอกให้กินเธอก็ยอมนั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างว่าง่าย เพราะอันที่จริงก็หิวอยู่แล้วไม่รู้จะต่อต้านให้เขาทำตัวน่ากลัวเหมือนตอนอยู่บนรถอีกทำไม
“ฉันไม่พาเธอมาฆ่าทิ้งหรอกน่า ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น”
แค่ได้ยินเสียงนิ่งๆพูดออกมาแบบนั้นหญิงสาวก็พลันร้องแหมในใจยาวๆ ก็ใครมันจะไปรู้เล่าว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง แค่นี้ก็ดูน่ากลัวพอแล้ว ยังชอบพุ่งใส่แบบกระโชกโฮกฮากให้ตกใจเล่นแบบนั้นอีก
“คุณไท่หรงคะ”
“มีอะไร”
“ฉันยังไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องทำอะไร ก็ในเมื่อเราคุยกันไปแล้วว่าต้องรออีกเจ็ดวัน ฉันคิดว่าระหว่างนี้คุณจะปล่อยให้กลับบ้าน อย่างน้อยก็ไปเอาเสื้อผ้า หมายถึง…ฉันเห็นว่าคุณปล่อยให้ฉันไปทำงานแล้ว ไม่คิดว่าคุณจะมารับมาส่งแบบนี้”
แต่แม้ว่าจะกลัวเขาขนาดไหนอย่างหนึ่งที่น่าแปลกใจก็คือเธอมักจะพูดเยอะพูดยาวทุกครั้งที่เขาถาม แปลกจริงๆ หรือเป็นเพราะกลัวจนเสียสติแล้วก็ไม่รู้
“นี่เธอคิดว่าในสมองฉันมีแต่เรื่องพรรค์นั้นหรือไง”
“...”
“หรือการที่ฉันอยากให้เธอมากินข้าวเป็นเพื่อนมันหนักหนา เธอจะทำแค่เป็นนางบำเรอของฉัน ตอนที่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น?”
นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดแล้วตั้งแต่ที่เธอเจอกับเขามาเมื่อคืนก่อน คำถามนั้นมันตรงมาก น้ำเสียงของเขาก็เหมือนจะไม่พอใจขึ้นมาจนหญิงสาวต้องรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่ค่ะ คือฉันก็แค่…ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ ฉันเดาใจไม่ถูก”
“หลังจากนี้จนกว่าจะถึงเวลาที่เธอใช้งานได้ ฉันจะมาทานข้าวด้วยทุกวัน เอาตารางทำงานของเธอมาให้ฉัน” แน่นอนว่าเมื่อเขาเริ่มโมโหแล้วแบบนั้น หญิงสาวจึงรีบส่งไฟล์ตารางงานของตัวเองไปในช่องแชทของเขาที่ได้มาเมื่อวันก่อนด้วยมือสั่นๆ
ด้านไท่หรงเมื่อได้ไฟล์นั้นแล้วก็วางโทรศัพท์ลง เขาเริ่มรับประทานอาหารและทำสัญญาณมือให้เธอเริ่มทานด้วย ดวงตาคมกริบเหลือบมองแม่ตัวขาวที่นั่งเงียบกริบอยู่ตรงข้าม ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ
“จะกลับไปเอาเสื้อผ้าหรือไปทำงานก็ตามใจ แต่หมดวันแล้วต้องกลับมานอนที่นี่ เธอมีรถไหม”
“มีค่ะ จอดอยู่ที่บริษัท”
“พรุ่งนี้ฉันจะให้คนไปส่งเธอไปเอารถ ต่อจากนี้ก็ขับไปกลับเอง แต่วันไหนที่ไม่ได้มีงานช่วงเย็นต้องกลับมากินข้าวกับฉัน เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ”
หลังจากที่เธอพยักหน้ารับ ทั้งสองคนก็นั่งรับประทานอาหารกันเงียบๆไปแบบนั้นจนกระทั่งเขากินเสร็จ มือหนายกผ้าขึ้นมาเช็ดปากโดยไม่พูดอะไร
แต่เมื่อเห็นว่าเขาอิ่มแล้วจันทร์เจ้าขาก็พาลไม่กล้ากินต่อ จำต้องอิ่มตามไปโดยปริยาย เมื่อเป็นแบบนั้นช่วงเวลาอาหารจึงสั้นลงไปอีก หลังกินข้าวเสร็จเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
เขาปล่อยให้เธอกลับห้องโดยบอกว่าตัวเองต้องคุยงานกับน้องชายต่อ แน่นอนว่าได้โอกาสหนีออกมาแบบนี้จันทร์เจ้าขาไม่คัดค้านอยู่แล้ว เธอเดินออกมาจากห้องของเขาอย่างว่าง่ายเสียด้วยซ้ำ
แม้จะยังสับสนอยู่แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นไม่อยากเดาเสียแล้วว่าไท่หรงกำลังคิดอะไร เพราะเดาไปก็ไม่เคยเดาถูกสักที แถมพูดอะไรก็โดนดุไปหมดอีก แค่นี้ก็ขี้หดตดหายไปหมดแล้ว
“คนอะไรก็ไม่รู้น่ากลัวชะมัด” เสียงหวานติดขุ่นเอ่ยขึ้นหลังจากที่เข้ามาในห้องส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เธอเดินกระแทกเท้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนอนแรงๆ เพราะขุ่นเคืองใจจนลืมไปแล้วว่าเพิ่งกลัวอยู่เมื่อคืนว่าในห้องจะมีเครื่องดักฟัง
จันทร์เจ้าขาเอาหมอนขึ้นมาฟาดไปมาอย่างระบายอารมณ์ ทว่าทำอย่างนั้นได้ไม่นานโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก็กลับสั่นครืด หน้าจอโชว์เบอร์ของเฟื่องโทรเข้ามา
เห็นอย่างนั้นคนที่อยากปลดปล่อยด้วยการระบายให้เพื่อนฟังอยู่แล้วก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเสียงของอีกฝ่ายก็กรอกผ่านสายมาอย่างตื่นเต้นแบบสุดๆ แบบที่เจ้าขาไม่ได้เห็นเพื่อนตื่นเต้นขนาดนี้มานานแล้ว
“เจ้าขา อีแก่อ้อโดนปลดฟ้าผ่าเลยแก! แถมโดนไล่ออกจากบริษัทด้วย!!”
“อะไรนะ!!”
“ได้ยินไม่ผิดจ้า ฉันเพิ่งได้ข่าวนี้จากพี่ในทีม เห็นว่าเป็นคำสั่งลงมาจากเบื้องบน อีแก่นั่นโดนเตะออกจากบริษัทเรียบร้อยแล้ว คุณไท่หรงแกนี่คงใหญ่แบบโคตรๆอ่ะ อีพี่อ้อมีแบคใหญ่เป็นสส.แบบนี้ยังกระเด็นเลย สุดยอด!!”
หญิงสาวถึงกับนิ่งอึ้งไปหลังฟังจบ แม้เรื่องที่เฟื่องโทรมาบอกนั้นจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี เป็นเรื่องที่เธอต้องการมาตั้งแต่แรก ทว่าเจ้าขาก็ยังอดขนลุกขนชันไม่ได้ ถ้าพี่อ้อโดนไล่ออกกะทันหันแบบนี้ก็คงเป็นไปได้อย่างเดียว
คือไท่หรงอยู่เบื้องหลัง
ที่เขาไปรับเธอมากินข้าวด้วยแบบนี้ แถมสั่งให้มากินข้าวด้วยทุกวัน ก็คงเพราะรู้ว่าไอ้สิ่งที่เธอขอมันสำเร็จแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่รอเวลาทำตามสัญญาของตัวเองเท่านั้น
แต่ถ้าเขารู้แล้วทำไมถึงไม่บอกกันเลย เอาแต่นั่งกินข้าวเงียบๆทั้งที่มีสิทธิ์ทวงสัญญา ถึงจะยังไม่ได้มีอะไรกันเลยแต่ถ้าฝั่งเขาสำเร็จแล้วจะทวงมันก็ไม่แปลกนี่นา หรือการบอกให้ไปกินข้าวด้วยทุกวันคือการทวงอย่างหนึ่ง
“เป็นคนยังไงกันแน่นะ อีตาคนนี้”