เมียดาราของคุณไท่หรง 1.1
เพี๊ยะ!!
“โอ๊ย!”
“หน้าอย่างแกน่ะเหรอจะมาแย่งคุณภูไปจากฉัน! จะบอกอะไรให้นะ คุณภูไม่มีวันเอาแกจริงๆหรอก ผู้หญิงน่าไม่อายอย่างแกมันก็เป็นได้แค่นางบำเรอเท่านั้น เลิกอ่อยเขาได้แล้ว!!”
ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดเม้มเหยียดจนแทบจะเป็นเส้นตรงหลังจากที่ผรุสวาทใส่เด็กสาวตรงหน้าเสียงแหลมสูง มือเรียวประดับไปด้วยเล็บยาวแต่งแต้มสีสันฉูดฉาด จิกเรือนผมตรงสวยสีดำขลับเอาไว้ในมือ
ก่อนจะลากเจ้าของมันให้ไถลไปกับพื้นดินสกปรกอย่างน่าเวทนา เหล่าคนรับใช้รอบข้างไม่มีใครกล้าเข้าช่วยเด็กสาวผู้น่าสงสารเลยสักคนเราะกลัวจะโดนลูกหลงไปด้วย
“รินเปล่านะคะ คุณแซนดี้ปล่อยรินเถอะค่ะ รินเจ็บ” เสียงร้องขอความปราณีสั่นระริกของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เจ้าหล่อนคิดจะหยุดการทำแต่อย่างใด
“เจ็บงั้นเหรอ เจ็บก็จำใส่หัวกลวงๆของแกเอาไว้ว่าคุณภูเป็นของฉัน อย่าสะเออะมาให้เขาเห็นหน้าอีก!!” เสียงแหลมแสบแก้วหูแผดขึ้นจนดังไปทั่วบริเวณ ขณะที่มือสะบัดเส้นผมของเด็กสาวทิ้งอย่างไม่ไยดี
นัยน์ตาที่เคยหางตกหวานอ้อนผ่านการแต่งแต้มจนเรียวชี้ราวกับนางพญาถลึงมองเหยื่อผู้ไร้ทางสู้เบื้องหน้า ก่อนจะยื่นเท้าที่สวมส้นสูงหนังราคาแพงไปเหยียบหลังมือน้อยที่กำลังทำหน้าที่ค้ำยันตัวเจ้าของร่างในตอนที่จะลุกขึ้น
แรงบดขยี้ทำเอาเด็กสาวร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร ร่างเพรียวระหงย่อลงเล็กน้อยจนชายกระโปรงระพื้นดิน ก่อนจะคว้าเรือนผมของเด็กสาวที่ยังนอนหมอบอยู่บนพื้น
เมินเฉยเส้นผมของตนที่เริ่มเสียทรงจนตกระใบหน้า มือสวยออกแรงกระชากเส้นผมของอีกฝ่ายจนใบหน้าจิ้มลิ้มแหงนขึ้น ยิ่งยิ้มอย่างสะใจเมื่อเห็นว่าใบหน้านั้นบวมช้ำทั้งยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินและคราบน้ำตา
“คุณภูอาจจะดูไม่ออกว่าแกมันร้ายแค่ไหน แต่ฉันดูออกว่าแกน่ะมันตอแหล!! ขี้ข้าอย่างแกกล้าดีจะมาเทียบเคียงคนอย่างฉัน วันนี้ฉันเอาแกตายแน่!!”
ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวจนถึงขีดสุด แขนเรียวง้างขึ้นสูงหมายจะประทุษร้ายใบหน้าที่ทำให้เธอรำคาญใจมานาน
“ฮึก! อย่าค่ะคุณแซนดี้ รินกลัวแล้ว!”
“หยุดนะแสนดี!!” ทว่ายังไม่ทันที่ฝ่ามือนั้นจะปะทะกับพวงแก้มนวลเนียนของน้ำริน จู่ๆเสียงทุ้มเข้มอันคุ้นหูจากเบื้องหลังก็ดังขึ้น
หม่อมเจ้าแสนดีชะงักไปฉับพลัน ร่างเพรียวระหงหยุดค้างอยู่กลางอากาศหากแต่มือที่กำลังง้างกลับลดลงทันควัน กระทั่งมือที่กำลังจิกเส้นผมของน้ำรินอยู่ก็ปล่อยออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“คะ คุณภู”
คัท!!!!!
เสียงตะโกนผ่านโทรโข่งดังไปทั่วทั้งบริเวณ บรรยากาศอึดอัดหน้าเซ็ตเมื่อครู่คลี่คลายลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อนักแสดงทุกคนหลุดออกจากบทบาท
พอสิ้นเสียงของผู้กำกับที่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ ทีมงานสามคนก็กรูกันเข้ามาช่วยพยุง 'ลลิตา' นางเอกของเรื่องให้ลุกขึ้นก่อนจะช่วยปัดเศษฝุ่นที่เปรอะเปื้อนออกจากเสื้อผ้าของดาราสาว
สีหน้าเศร้าสร้อยปนหวาดกลัวเมื่อครู่หายวับไปอย่างสิ้นเชิงราวกับไม่เคยโดนทำร้ายอย่างทารุณมาก่อน มือสวยยกขึ้นนวดศีรษะของตนที่เพิ่งโดนกระชาก ก่อนจะเอ่ยปากตอบคำถามทีมงานที่มายืนล้อมตัวเองอยู่เสียงหวาน
"ลิตาไม่เป็นไรค่ะ วันนี้พี่เจ้าขาคงอินบทจริงๆเลยดึงแรงไปหน่อย เดี๋ยวก็คงหายค่ะ" ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราแย้มยิ้มกับทีมงาน ก่อนจะหันหน้ามาทางบุคคลที่สามในประโยค ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
"จริงไหมคะพี่เจ้าขา" เสียงของอีกฝ่ายที่เอ่ยถามมาทำเอาจันทร์เจ้าขา เผลอหรี่ตาลงอัตโนมัติ
ดึงแรงไปอย่างนั้นเหรอ เธอเป็นนักแสดงมาหลายปีแม้ไม่เคยได้รับบทเด่นหรือดังเป็นพลุแตกอย่างเจ้าตัว แต่ก็รู้เทคนิคฉากตบตีพวกนี้ดี
ภาพที่ออกมาอาจจะดูเหมือนเธอกำลังกางเล็บขยุ้มผมของลลิตาเต็มแรง แต่จริงๆแล้วเธอยั้งมือมาก ที่ดึงจนอีกฝ่ายหน้าแหงนขึ้นเมื่อกี้ ก็เป็นเพราะเจ้าตัวแหงนขึ้นไปเองด้วยซ้ำ
พูดแบบนี้ทีมงานก็เข้าใจว่าเธอเล่นแรงเกินจำเป็นน่ะสิ
แต่แม้ว่าใจจะคิดแบบนั้น ทว่าเรื่องจริงหญิงสาวทำเพียงส่งยิ้มให้คำถามของเจ้าหล่อน เธออยู่ในวงการนี้มานานอย่างที่ว่า เจอเพื่อนร่วมงานหลากหลายประเภทมามากพอที่จะรู้ว่าการเงียบคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะพูดไปก็เท่านั้น
ในเมื่อภาพมันออกมาสมจริง ใครจะมานั่งสนใจฟังเธอว่าดึงแรงหรือเบา เถียงไปยังไงก็ไม่มีวันชนะหรอก พูดให้น้ำลายแห้งเล่นเสียเปล่าๆ
"ขอโทษคุณลิตาด้วยนะคะ ถ้าพี่พลั้งมือจนทำให้คุณเจ็บ" เพราะรู้แบบนั้นเธอจึงเอ่ยขอโทษออกมาอย่างง่ายดาย พาให้รอยยิ้มของเด็กสาวร่นน้องเจื่อนไปเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เจ้าขา ลิตาเข้าใจว่าพี่เองก็ทำงานหนักกับบทนี้มาก ดีแล้วค่ะ ละครจะได้ออกมาสมจริงยิ่งขึ้น" ลลิตาว่าต่อด้วยรอยยิ้มที่กลับมาวาดกว้าง ขณะที่เอียงใบหน้าให้ทีมงานเช็ดเลือดปลอมบนแก้มออก
"จริงไหมคะพี่ๆ" ใบหน้าไร้เดียงสานั้นยิ้มใสซื่อให้กับทีมงานคล้ายกำลังชมเธออย่างจริงใจ ราวกับไม่ได้เพิ่งกล่าวหาเธออ้อมๆว่าดึงผมของตัวเองแรงจนเจ็บตัว
"เพราะคุณลิตาเองก็เต็มที่กับบทน้ำรินด้วยแหละค่ะ ถึงสื่ออารมณ์ให้พี่เล่นได้ขนาดนี้" หญิงสาวพูดอย่างถ่อมตัวเพียงเท่านั้น ก่อนจะถอยหลบออกมาหลังกล้องเพื่อดูฉากที่เพิ่งแสดงไปผ่านจอมอนิเตอร์ โดยไม่ได้หันไปสนใจคนพวกนั้นอีก
ว่ากันตามตรง การไปเสียเวลายืนเถียงแก้ต่างกับนางเอกที่เป็นลูกรักของทีมมันดูเป็นเรื่องไม่ค่อยฉลาดนัก ในเมื่อลลิตากำลังเป็นกระแสมาแรงขนาดนั้น
เกิดเป็นเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะทีมงาน นักข่าว หรือคนในสังคมออนไลน์ก็คงไม่มีใครเข้าข้างเธอแน่ มีแต่จะคิดว่าเธออยากเกาะดารารุ่นน้องดัง
เพราะเมื่อเทียบกัน อีกฝ่ายนั้นเรียกได้ว่าเป็นดาราเบอร์ต้นของยุค ส่วนเธอทำงานมาหลายปีแล้วก็ยังไม่ได้รับบทเด่น
เรื่องนี้ได้บทนางร้ายก็ถือว่าโชคดีมากเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยมันก็เด่นกว่าบทเพื่อนนางเอก หรือตัวประกอบที่ออกกล้องสามฉากแล้วตายเป็นไหนๆ
จันทร์เจ้าขารักอาชีพนักแสดงของตัวเองเพราะเป็นไม่กี่สิ่งที่ทำได้ดี เธออยากรักษามันเอาไว้ให้ได้นานเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ประสบความสำเร็จจนน่าย่อท้อ หรือลลิตาจะกระตุกต่อมจนคันไม้คันมืออยู่บ่อยมากๆก็ตามที
"เมื่อกี้เล่นดีมากเลยครับน้องเจ้าขา ไม่เสียแรงที่พี่ไว้ใจให้หนูรับบทนี้"
'สนธิ' ผู้กำกับรุ่นพี่ที่ทำงานร่วมกันมานานเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางพึงพอใจหลังจากที่ดูฉากนั้นจบ มือหนาโยนโทรโข่งใส่ผู้ช่วยผู้กำกับที่นั่งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะรีบผุดลุกมากุมมือหญิงสาวเอาไว้ทั้งสองข้าง
"ขอบคุณค่ะพี่สน" ด้านจันทร์เจ้าขาเอง เธอกลั้นใจส่งยิ้มกลับไปก่อนจะแกะมือของอีกฝ่ายออกอย่างสุภาพ ในใจด่าอีกฝ่ายไปด้วยที่พูดออกมาหน้าด้านๆ
ทั้งที่เธอได้บทนี้เพราะนักแสดงอีกคนต้องไปเล่นเรื่องอื่น ให้เธอเพราะความจำเป็นแท้ๆ ยังกล้าพูดเอาดีเข้าตัว
"เพราะได้ผู้กำกับกับทีมงานเก่งๆยังไงล่ะคะ ทุกอย่างเลยออกมาดีขนาดนี้" หญิงสาวว่าน้ำเสียงไพเราะแม้จะอยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ เธอไม่ได้หันไปขอความช่วยเหลือเพราะรู้ว่าไม่มีใครช่วยแน่
หญิงสาวแสร้งเมินเฉยสายตาโลมเลียและแขนที่เลื้อยมากโอบไหล่ของสนธิ เพราะแม้จะถือเป็นการลวนลามแต่หากยังไม่หนักหนาเกินไปก็ไม่อยากจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ไม่ว่ายังไงนักแสดงตัวเล็กๆอย่างเธอก็ไม่มีพื้นที่ให้พูดมากนัก เกิดเรื่องขึ้นมาคงไม่แคล้วสังคมจะหาเรื่องโทษฝ่ายหญิงอย่างเธอ หาว่าเป็นฝ่ายให้ท่าก่อนเองเสียมากกว่า
มันไม่ยุติธรรมหรอก แต่จะทำไงได้ก็ในเมื่อวงการมันเป็นแบบนี้
"ขออนุญาตรบกวนเวลาคุณนางร้ายสักครู่นะคะพี่สน หมดคิวสุดท้ายของวันนี้แล้ว ได้เวลาลบเมคอัพแล้วค่า!!" ทว่าขณะที่กำลังกรีดร้องดังก้องอยู่ในใจ หญิงสาวผมสั้นประบ่าก็โผล่พรวดเข้ามากลางวง
ทั้งแทรกตรงกลางและลากแขนของเธอให้หลุดออกจากมือของสนธิ และพาเดินออกมาจากตรงนั้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เล่นเอาผู้กำกับมือทองที่กำลังจะได้มีโอกาสหาเศษหาเลยถึงกับโอดครวญเสียงดังลั่นกองถ่าย
"ดะ เดี๋ยวสิ!! แกกันซีนฉันอีกแล้วนะไอ้เฟื่อง!!"