ขนาดว่ามี่เอ๋อร์มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมากกว่าเย่ฟางหรู เพราะเคยมีชีวิตที่ลำบากตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก แต่กระนั้นตัวนางก็ยังถูกลมเย็นทำร้ายทำให้ร่างกายอ่อนแอไปด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณหนู ท่านทำใจดี ๆ ไว้นะเจ้าคะ” ตลอดการเดินทางมาที่เมืองต้าเยี่ยนนั้น พวกนางไม่ได้รับการดูแลที่ดีเลยสักนิดเดียว สามารถพูดได้เลยว่านี่เป็นความเลวร้ายที่สุดในชีวิตของสตรีคนหนึ่ง เพราะอาหารที่ได้กินเป็นของไม่มีคุณภาพ มีรสชาติย่ำแย่มาก และสำหรับเย่ฟางหรูที่มีนิสัยกินยากก็ถึงกับกินแล้วต้องคายทิ้ง ต้องอาศัยการฝืนใจเพื่อกลืนอาหารลงกระเพาะเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเพื่อประทังชีพ
“ข้ายังไหวอยู่...” เย่ฟางหรูคิดว่าเรื่องนี้นางควรต้องอธิบายให้เฉินอ๋องฟัง ว่านางนั้นไม่ใช่เย่เหมยหลินอย่างที่เขาเข้าใจผิด
“เมื่อไหร่ท่านอ๋องจะเสด็จมาเจ้าคะ” เย่ฟางหรูฝืนยืนตัวตรง ตอนนี้พวกนางลงจากรถม้าแล้ว ข้อเท้าทั้งสองข้างถูกปลดโซ่ออกเพื่อให้เดินเหินได้สะดวก มี่เอ๋อร์ประคองตัวคุณหนูเอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
หลิงหาวตวัดตามองเย่ฟางหรูด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ไม่ยอมตอบคำถาม
“ท่านต้องเชื่อข้านะ ข้าไม่ใช่เย่เหมยหลิน พวกท่านจับคนมาผิดแล้ว” เย่ฟางหรูพยายามอธิบาย นางเป็นคุณหนูใหญ่ก็จริง แต่ทว่ามันกลับมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่ เป็นเรื่องที่มีแค่นางกับฮูหยินใหญ่เท่านั้นที่รู้
“คุณหนูเย่พูดเรื่องเหลวไหลอะไรกัน ข้ารู้ว่าท่านกลัวความตาย แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะรอนาน ท่านอ๋องเสด็จมาเมื่อไรก็ถึงตอนนั้น” หลิงหาวพูดจบก็สั่งให้คนจับคนตระกูลเย่ไปขังคุกใต้ดินที่จวนว่าการ แต่ก่อนที่ทหารจะคุมตัวคนไป ม้าเร็วที่นำข่าวมาส่งก็เข้ามาขวางเสียก่อน
“ท่านอ๋องมีรับสั่ง” ทหารนายนั้นรีบลงจากม้าและเดินมากระซิบบางอย่างที่ข้างหูหลิงหาว จากนั้นก็ปรายตามามองคุณหนูเย่ที่สภาพแทบดูไม่ได้คนนั้น
“เฉพาะคุณหนูเย่ให้อยู่ที่นี่” แม้หลิงหาวจะแปลกใจมากก็ตาม ที่ท่านอ๋องคิดจะเก็บโฉมสะคราญนางนี้เอาไว้ แต่เมื่อเพ่งพินิจดูให้ดี สตรีนางนี้มีเสน่ห์เย้ายวนรุนแรงเสียจริง
“ปละ ปล่อยนะ! พวกเจ้าจะพาข้าไปไหน” เย่ฟางหรูถูกพาตัวแยกออกไป ส่วนสาวใช้ทั้งหมดก็ถูกขังไว้ที่คุกใต้ดินจวนว่าการ
สตรีรูปร่างบอบบางหรือจะสู้แรงองครักษ์ที่ฝึกหนักอย่างหลิงหาวได้อย่างไรกัน แค่เขากระชากข้อมือทั้งร่างสาวก็ปลิวไปตามลมแล้ว ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ลากแขนคุณหนูเย่ไปขึ้นรถม้าที่มีคนเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็ขี่ม้านำกลับจวนเจ้าเมือง
เมื่อมานั่งในรถม้าแล้วเย่ฟางหรูก็ยกมือขึ้นกุมขมับเพราะรู้สึกเวียนศีรษะอย่างหนัก ร่างกายถูกลมหนาวมาไม่น้อยและยังตากฝนอีก ไข้หวัดจึงมารังควานนางได้อย่างไม่ยากเย็น
“ท่านแม่ ท่านไปอยู่ที่ใดกันเจ้าคะ” ในใจเย่ฟางหรูนั้นมีแค่ฮูหยินใหญ่ ซึ่งความจริงแล้วนางเป็นแค่หลานห่าง ๆ คนหนึ่งเท่านั้น และก็ยังเป็นคนตระกูลหลี่ตลอดมา
ก่อนหลี่อิงน่าจะแต่งเข้าตระกูลเย่อย่างเป็นทางการ บิดามารดาได้เชิญหมอมาตรวจสุขภาพเพื่อหวังให้จ่ายยาบำรุงบุตรี แต่หมอคนนั้นกลับบอกว่านางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ด้วยความที่หลี่อิงน่ากลัวสามีไม่รักเพราะไม่อาจมีทายาทให้ได้ จึงวางแผนรับหลานที่มีสายเลือดเดียวกันเข้าตระกูลเย่
ในปีที่เย่ฟางหรูถูกรับมาเลี้ยงเป็นคุณหนูใหญ่นั้นอายุได้เพียงสามวันและถูกพรากมาจากอกมารดาโดยที่ความจริงแล้วนางก็ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย ด้วยความที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันมากราวกับเป็นแม่ลูกกันจริง ๆ แต่ไม่นานเรื่องนี้ก็แดงขึ้นมา เมื่อคนตระกูลหลี่สายรองส่งจดหมายบอกความจริงกับนางทั้งหมด สาเหตุเพราะต้องการเงินจำนวนมาก มิหนำซ้ำยังบอกว่ามารดาที่ให้กำเนิดกำลังจะตาย ตอนนั้นเย่ฟางหรูอายุแค่สิบสามปีไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้ สุดท้ายฮูหยินใหญ่ก็รู้เรื่องเข้าและส่งคนไปจัดการเรื่องทั้งหมด
เรื่องนี้ติดอยู่ในใจดรุณีน้อยเนิ่นนาน กระทั่งถึงตอนนี้ที่นางเติบโตเป็นสตรีโฉมสะคราญกลายเป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีที่นับวันก็ยิ่งเฉิดฉันมากกว่าใคร ๆ ชีวิตกำลังไปได้ดี กำลังจะได้หมั้นหมายกับอ๋องเจ้าเมืองเนี่ยโจว ซึ่งมีชื่อว่าเนี่ยเหวินหลง แต่กลับถูกเฉินอ๋องจับตัวมาที่เมืองต้าเยี่ยนเสียก่อน
ราวสองเค่อ[1]เศษ รถม้าก็มาหยุดที่หน้าเรือนหมู่ตาน[2] หลิงหาวสั่งให้เย่ฟางหรูลงจากรถม้าแต่คนภายในรถม้ากลับเงียบเสียงไป ด้วยความร้อนใจเกรงว่านักโทษจะหลบหนีจึงสั่งให้ทหารเปิดม่านเข้าไปสำรวจดู กลับพบว่าสตรีโฉมสะคราญคนนั้นนอนหมดสติไปแล้ว เนื้อตัวก็ร้อนราวกับถูกไฟเผา เดิมทีเขาไม่อยากให้คนไปตามหมอมารักษา แต่ก็เกรงว่าถ้าหากท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้วไม่เจอคนจะยิ่งกริ้ว
“ไปตามหมอมา!”
วันเวลาผ่านมาสองวันหนึ่งคืนแล้ว อาการไข้ของเย่ฟางหรูนั้นเพิ่งจะลดลงไป แต่คนก็ยังไม่ตื่นขึ้น พวกสาวใช้ที่มีหน้าที่ดูแลก็ได้แต่พยายามป้อนยาป้อนโจ๊กลงกระเพาะให้สตรีโฉมสะคราญนางนี้
“เจ้ารู้ไหมว่านางเป็นใคร” สาวใช้คนหนึ่งกระซิบถามสาวใช้อีกคน
“ข้าไม่รู้ รู้แค่ว่าถ้านางอาการไม่ดีขึ้น พวกเราจะถูกโบยหลังลาย” สาวใช้อีกคนกำลังใช้ผ้าสะอาดซับผมที่เพิ่งสระเสร็จให้อย่างเบามือ คิดว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงคงเป็นคนสำคัญของท่านอ๋อง เมื่อเช็ดผมจนแห้งสนิทแล้วก็ช่วยกันเช็ดเนื้อเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดให้ จากนั้นก็พากันออกจากห้องไป
เปลือกตาที่ปิดสนิทมาตลอดบัดนี้ก็ลืมตาตื่นขึ้น เย่ฟางหรูอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ไม่กล้าตื่นขึ้นมาจึงนอนฟังพวกสาวใช้คุยกันอยู่นาน
“ที่นี่คงเป็นเรือนหมู่ตานสินะ” ร่างบางค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง
ไม่นานข้างนอกก็มีเสียงเดินดังขึ้น แต่จังหวะการเดินดูหนักหน่วงไม่ใช่ฝีเท้าของสตรี เย่ฟางหรูตกใจกลัวจึงรีบล้มตัวลงนอน
ปัง! เสียงประตูเรือนถูกถีบให้เปิดออก พร้อมกับประกายโทสะของคนคนหนึ่งที่แผ่กระจายมาถึงเตียงที่เย่ฟางหรูกำลังนอนอยู่
“แกล้งนอนหรือ รีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงนั้นเย็นชากว่าปกติคล้ายมีประกายโทสะครอบคลุมอยู่ไม่เหินห่าง เย่ฟางหรูจำได้ขึ้นใจว่าเสียงนี้เป็นของจางหย่งเฉิน แต่ก่อนที่นางจะยอมลืมตาและลุกขึ้นมานั่ง ความเย็นของกระบี่ก็สะกิดเสื้อผ้านางให้ขาดออกจากกัน
“ทะ ท่านจะทำอะไรน่ะ!” เย่ฟางหรูตกใจจนหน้าถอดสี รีบกระถดตัวถอยหลังหนีทันที และรีบกุมสาบเสื้อที่ถูกทำให้ขาดออกจากกันจนเผยให้เห็นเอี๊ยมตัวบางอีกด้วย
“ทำไม...ตกใจอะไรหรือ เย่เหมยหลิน” เฉินอ๋องแสยะยิ้มร้าย พอได้กลั่นแกล้งคน เขากลับอารมณ์ดีขึ้นมากนัก เมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากที่พาอู๋เจี้ยนไปตามล่าคนตระกูลเย่ ทว่ากลับไม่พบใครเลยสักคน ส่งคนติดตามไปอยู่หลายวันก็ได้ข่าวว่าเจ้าเมืองเนี่ยรับคนตระกูลนั้นไปดูแลแล้ว เนื่องจากกำลังของเขายังไม่แข็งแกร่งมากพอจึงยังไม่เปิดศึกกับเมืองเนี่ยเร็ว ๆ นี้
เย่ฟางหรูเนื้อตัวสั่นเทาแต่ก็เชิดหน้าทำใจกล้ารีบพูดอธิบายว่าตนนั้นไม่ใช่เย่เหมยหลิน “ท่านฟังเข้าใจหรือไม่ ข้าไม่ใช่เย่เหมยหลิน ข้าชื่อว่าฟางหรู ความจริงแล้วข้าไม่ใช่บุตรีเจ้าเมืองเย่ เป็นเพียงหลานสาวของฮูหยินใหญ่...” ตอนนี้นางต้องละทิ้งตระกูลเย่ไปก่อนแม้จะยากเย็นสักเท่าไรก็ตาม แต่ก่อนที่จะพูดจบประโยค ลำคอขาวก็ถูกฝ่ามือหนากุมเอาไว้อีกแล้ว แต่ไม่รุนแรงเท่ากับครั้งก่อนที่หมายจะเอาชีวิตกัน
นัยน์ตาหงส์มองดวงตาคมเข้มด้วยความอ้อนวอน พยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ใบหน้าหล่อเหลาที่ครั่นคร้ามนั่นก้มลงสำรวจโฉมสะคราญด้วยแววตาที่เหยียดหยาม “เจ้ามีอะไรมาพิสูจน์เล่า หยกพระจันทร์เสี้ยวก็อยู่บนตัว เจ้าจะไม่ใช่เย่เหมยหลินได้อย่างไรกัน เหลวไหลทั้งเพ” แล้วเขาก็หลุบตามองริมฝีปากอวบอิ่มนั่นด้วยความรู้สึกที่เผลอไผลไป
“ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรมาพิสูจน์ แต่ท่านต้องเชื่อแน่ ข้ากำลังจะได้หมั้นหมายกับเนี่ยเหวินหลง ถ้าท่านไม่เชื่อก็ส่งคนไปสอบถามที่เมืองเนี่ยโจวได้เลย” ยิ่งเย่ฟางหรูพูดถึงเจ้าเมืองเนี่ยโจว โทสะของบุรุษองอาจก็ยิ่งมีมากขึ้น ตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งมากเพียงพอ เพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ ดังนั้นควรใจเย็นมากกว่านี้
“อย่างเจ้าน่ะหรือจะหมั้นหมายกับหลงอ๋อง...” จางหย่งเฉินปักใจไปแล้วว่าสตรีโฉมสะคราญที่อยู่ตรงหน้า ต่อไปต้องเป็นสตรีของเขาดังนั้นจึงเกิดความหวงของไม่รู้ตัว
เย่ฟางหรูรู้สึกเจ็บจนนิ่วหน้า น้ำใส ๆ ที่คลอหน่วยอยู่บริเวณหางตานั้นใกล้จะร่วงหล่นลงอาบแก้มเนียนใส จึงพยายามใช้ไม้อ่อนเกลี้ยกล่อมคนที่เป็นเหมือนไม้แข็งเยี่ยงหินให้ใจเย็นลง
“ข้ากับหลงอ๋องนั้นกำลังจะแต่ง งะ งาน...” ฝ่ามือหนาบีบที่ลำคอขาวเริ่มออกแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“จะไม่มีงานแต่งงานนั้นเด็ดขาด เจ้าเป็นของข้า ใครเก็บได้ก่อนก็เป็นคนได้ไป” สิ้นคำพูดที่เอาแต่ใจนั้น ริมฝีปากอวบอิ่มก็ถูกครอบครอง ริมฝีปากหยักสวยบดขยี้เข้ามาด้วยโทสะรุนแรง เมื่อแรงรัดที่ลำคอคลายออก ทั้งร่างของสตรีโฉมสะคราญก็ถูกทำให้นอนราบลงไป
[1] 1 เค่อ = 15 นาที
[2] ดอกโบตั๋น