ความแตก

1848 คำ
ขบวนเสด็จองค์หญิงสี่ที่เดินทางออกจากเมืองหลวงได้สองเดือนกับอีกยี่สิบวันก็ได้เดินทางมาถึงเมืองต้าเยี่ยนในวันนี้ช่วงยามซวี[1] จางหย่งเฉินที่รู้ข่าวแล้วก็รีบพาคนออกไปรอต้อนรับเสด็จย่าที่กำลังเสด็จเข้าเมือง ส่วนประชาชนที่รู้ข่าวก็ออกมารอต้อนรับกันอย่างแน่นขนัด จางเมิ่งลู่เป็นองค์หญิงคนที่สี่ในจักรพรรดิต้าโจวที่สิบสี่ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้วยี่สิบปีก่อนดังนั้นในตอนนี้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันจึงมีศักดิ์เป็นหลานชายนาง สมัยตอนที่โจวเมิ่งลู่ (แซ่เดิม) หนีตามแม่ทัพคนหนึ่งมาเมืองต้าเยี่ยน ในตอนนั้นอดีตจักรพรรดิที่สิบสี่ทรงกริ้วมาก แต่ด้วยความรักองค์หญิงพระองค์นี้มากเลยมอบภารกิจให้จางไป๋ซานไปทำศึกเขตเหนือ หากว่าเขาเอาชัยกลับมาได้จะแต่งตั้งเป็นอ๋องเจ้าเมืองต้าเยี่ยนและพระราชทานอภิเษกสมรสให้ได้อภิเษกกับองค์หญิงสี่ ในปีนั้นเลยทำให้จางไป๋ซานได้สนิทสนมกับเย่ต้าเจิงซึ่งเป็นบิดาของเย่หลันจิ้น (ซึ่งเป็นพ่อเย่ฟางหรูและเย่เหมยหลิน หรือก็คือเจ้าเมืองเหลียนโจวในยามนี้) บรรยากาศมืดสลัวในยามนี้ทำให้คนมีอายุมากอย่างจางเมิ่งลู่รู้สึกอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลนานหลายเดือน ตามปกติแล้วนางอาศัยอยู่ที่เรือนเหมยกุ้ยที่มีดอกเหมยกุ้ยบานตลอดทั้งปี แต่วันนี้กลับอยากพักผ่อนที่เรือนหมู่ตานเสียอย่างนั้น ตอนที่เฉินอ๋องได้ยินก็หน้าซีดไปเล็กน้อย ทว่าความผิดปกตินั้นทำให้คนที่ผ่านโลกมานานมองออก “โม่หรานพาใครไปซ่อนไว้ที่นั่นหรือ” (ชื่อรองพระเอก) จางเมิ่งลู่พูดแล้วยิ้มออกมาบาง ๆ ในตอนที่เจอหน้าหลานชายหัวแก้วหัวแหวน ข่าวที่คนเลือดร้อนบุกไปถึงเมืองเหลียนโจวแล้วจับตัวคนมาเหตุใดนางจะไม่รู้ ร่างสูงรีบคุกเข่าลงตรงหน้าเสด็จย่าในทันที “โม่หรานไม่ได้มีเจตนาปิดบังเสด็จย่าแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ” ภายในห้องโถงใหญ่ ณ เรือนหน้าของจวนเจ้าเมืองต้าเยี่ยน บรรยากาศเงียบสนิทยิ่งกว่าสุสานก็มิปาน ไม่มีใครกล้าหายใจแรงเลยสักคนเดียว เพราะเวลาที่องค์หญิงสี่ทรงกริ้วนั้นน่ากลัวยิ่งนัก “ย่าไม่ได้จะตำหนิหรอกนะ แต่เอาคนมาแล้วก็ต้องทำให้ถูกต้อง ผู้คนจะได้ไม่ครหา ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่คนนั้นมีหยกเสี้ยวพระจันทร์ในมือ ในเมื่อนางมีของหมั้นก็ถือว่าเป็นคู่หมั้นของหลานแล้ว” จางหย่งเฉินได้ยินประโยคนี้ก็ขนลุกทั้งตัว เพราะสตรีเพียงคนเดียวที่เขาเกรงใจก็เห็นว่ามีแค่เสด็จย่าเพียงเท่านั้น “แต่ว่านางเป็นคนตระกูลเย่ หลานไม่อาจยอมรับได้” บุรุษองอาจวัยยี่สิบสี่ปีเงยหน้าขึ้นมองสบตาหญิงชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทองคำตัวใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางในห้องโถงขนาดใหญ่ จางเมิ่งลู่ยิ้มในหน้า พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “หลานรัก แม้คนตระกูลเย่จะเคยทรยศต่อบิดาเจ้า แต่คำสัญญาก็ต้องเป็นคำสัญญา ปู่เจ้าไม่เคยผิดคำพูดต่อผู้ใดมาก่อน แม้ว่าบิดาของสตรีตระกูลเย่จะผิดต่อตระกูลจางไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าบุตรีจะต้องเป็นผู้ผิดตามไปด้วย เอาไว้ให้ย่าช่วยเจ้าดูก่อนดีหรือไม่ หากว่านางเป็นคนดีมีกิริยาที่ดี นิสัยอ่อนโยนเหมาะกับหลาน ก็ให้แต่งเข้าตระกูลจางของเราได้” แม้ใจเฉินอ๋องอยากคัดค้านแต่ก็พูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเสด็จย่าอ่อนล้า “ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ แล้วแต่เสด็จย่าจะทรงบัญชาเลย” เวลาที่เขาอยู่กับคนที่รัก ความแข็งกระด้างเย็นชาจะหายไป จางหย่งเฉินไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยมโดยกำเนิด ความแค้นเผาใจเขาให้เปลี่ยนแปลง ข้อนี้จางเมิ่งลู่เป็นห่วงมากนัก “ลุกขึ้นก่อนเถิด มาให้ย่ามองใกล้ ๆ หน่อย” แน่นอนว่าจางเมิ่งลู่รักและโปรดปรานเฉินอ๋องมาก เพราะเป็นหลานชายเพียงคนเดียว “ฉีอิ่งถวายบังคมเสด็จย่าเพคะ” จ้าวฉีอิ่งเพิ่งรู้ข่าวเรื่องที่เจ้าของจวนตัวจริงกลับมาแล้วก็รีบเดินทางมาที่เรือนหน้าในทันที หลังจากที่นางพยายามหาทางกำจัดนางกำนัลคนหนึ่ง ที่นางเป็นคนใช้ให้ไปกลั่นแกล้งเย่ฟางหรูเมื่อช่วงกลางวัน แต่ทำอย่างไรก็ยังหาตัวคนไม่พบ ด้วยความร้อนใจกลัวว่าเรื่องจะถึงหูเฉินอ๋องจึงไม่ได้สนใจข่าวอื่น ๆ แววตาหญิงชราเปลี่ยนแปลงไปจากนั้นไม่นานก็กลับมาเป็นปกติรวดเร็ว “ฉีอิ่ง ย่าคิดว่าเจ้าจะลืมหญิงชราผู้นี้ไปเสียแล้ว” คำทักทายนั้นแฝงความไม่พอใจไว้หลายส่วนนัก ร่างบางในชุดผ้าไหมอย่างดีรีบคุกเข่าลงกับพื้นเรือนทันที “หลานผิดไปแล้วเพคะ ขอเสด็จย่าละเว้นด้วย” เนื้อตัวของจ้าวฉีอิ่งสั่นเทาดูน่าสงสารอย่างยิ่ง โดยปกติแล้วจางหย่งเฉินมักจะปกป้องนาง แต่วันนี้กลับไม่ชายตามองแม้แต่น้อย “ถ้าคืนนี้เสด็จย่าอยากจะประทับที่เรือนหมู่ตาน หลานจะรีบให้สตรีตระกูลเย่ย้ายออกพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นบุรุษก็หันไปสบตากับหลิวหมัวมัว นางกำนัลอาวุโสหลายคนรีบไปจัดการตามที่ท่านอ๋องรับสั่งทันที “เช่นนั้นก็ให้นางมาพบย่าสักหน่อย” แน่นอนว่าจางเมิ่งลู่อยากเห็นหน้าหลานสะใภ้ แม้เจ็บปวดใจจากการที่บุตรชายที่รักตายจากไป ทว่านางต้องรักษาศักดิ์ศรีให้สามี มิตรภาพเก่าก่อนแม้เกิดในรุ่นปู่ย่าแต่มาผิดใจกันในรุ่นลูกหลานก็ตาม แม้จะรู้สึกขัดอกขัดใจทว่าเฉินอ๋องก็ทำสิ่งใดไม่ได้ เรื่องหลังบ้านผู้เป็นย่าของเขาเป็นใหญ่และดูแลมานานหลังจากที่ยกให้มารดาของเขาเป็นผู้ดูแล แต่เมื่อคนจากไปแล้วสุดท้ายอำนาจก็กลับมาอยู่ที่เดิม “พ่ะย่ะค่ะ” “หลิงหาว เจ้ารีบไปพาตัวหญิงตระกูลเย่มาที่นี่” คำพูดบุรุษเย็นชามากนัก ส่วนจ้าวฉีอิ่งที่ทุกคนลืมไปแล้วก็ได้แต่หมอบตัวอยู่เช่นนั้น เพราะถ้าไม่มีรับสั่งให้ลุกขึ้น นางก็ลุกไม่ได้ ฝั่งเรือนหมู่ตาน นางกำนัลอาวุโสหลายคนทยอยเดินเข้ามา เย่ฟางหรูที่เพิ่งกินอาหารเย็นและยาเสร็จก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อหลิวหมัวมัวพานางไปเปลี่ยนชุดใหม่ที่หรูหรามากกว่าปกติ และเนื่องจากแผลที่มือแห้งสนิทแล้วจึงได้เอาผ้าพันแผลออก ทว่าอาการปวดเมื่อยตัวยังคงอยู่ “เสด็จย่า อะ เอ่อ องค์หญิงสี่อยากพบหน้าข้าหรือเจ้าคะ” เย่ฟางหรูถามเสียงอ่อน นางรู้สึกอ่อนล้าและเพลียไม่น้อย แม้ใบหน้าดูซีดเซียว แต่ทว่าเมื่อถูกเครื่องประทินโฉมปกปิดไว้ก็ดูงดงามเหมือนยามที่นางยังใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเหลียนโจว “ใช่เจ้าค่ะ ท่านอ๋องมีรับสั่งว่าห้ามท่านแสดงความเจ็บป่วยออกมาโดยเด็ดขาด” แน่นอนว่าข้อนี้หลิงหาวคิดแทนผู้เป็นเจ้านาย แค่เฉินอ๋องพาคนมาโดยพลการก็ถูกตำหนิไม่น้อยแล้ว “เจ้าค่ะ” เย่ฟางหรูพูดอย่างว่านอนสอนง่าย นางกลัวไม่น้อย ขนาดหลานชายยังโหดเหี้ยมเช่นนี้ แล้วคนเป็นย่าจะโหดเหี้ยมเหมือนกันหรือไม่ “แต่งหน้าเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” หลิวหมัวมัวมองโฉมสะคราญที่อยู่ในคันฉ่อง สตรีตระกูลเย่มีหน้าตางดงาม ขนาดไม่ต้องประทินโฉมมาก นางก็ดูงามล่มเมืองอยู่ดี “นะ นี่ข้าหรือ” การแต่งตัวแบบคนเมืองต้าเยี่ยนนั้นทำให้เย่ฟางหรูรู้สึกแปลกตาไม่น้อย กล่าวได้ว่าหรูหรางดงามและดูสง่างามมาก “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ” หลิวหมัวมัวบอกกับเย่ฟางหรู ที่หน้าเรือนหมู่ตานมีรถม้ามารอรับแล้ว เนื่องจากระยะทางในแต่ละเรือนค่อนข้างไกลกัน หากเดินเท้าไปก็ใช้เวลาไม่น้อย ดังนั้นในกรณีที่รีบเร่งมักจะใช้รถม้าคันเล็กโดยสารแทน เย่ฟางหรูเดินขึ้นรถม้าไปแล้วโดยมีหลิวหมัวมัวคอยดูแลอยู่ ไม่ถึงครึ่งเค่อพวกนางก็เดินทางมาถึงที่เรือนหน้าที่มีเนื้อที่กว้างขวางกว่าเรือนหมู่ตานถึงสามสี่เท่า และที่สำคัญโอ่อ่ามากเหมือนอยู่ในเขตพระราชวังที่ผู้คนในเมืองหลวงมักกล่าวขานกัน “ถึงแล้วเจ้าค่ะ” เย่ฟางหรูค่อย ๆ ลงจากรถม้า นางเดินได้ไม่เร็วมากนักเนื่องจากยังปวดแขนและปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว หลิวหมัวมัวที่มองออกจึงช่วยพยุงแขนไปตลอดทาง ครั้นถึงทางเข้าหน้าห้องโถงหลักจึงปล่อยให้โฉมสะคราญเดินด้วยตัวเอง ร่างเล็กดูบอบบางในตอนนี้สวมใส่ชุดผ้าไหมสีขาวที่ชายกระโปรงปักด้วยลวดลายดอกไม้มีสีแดงดูน่ารักและงดงามไปพร้อมกัน “ถวายบังคมองค์หญิงสี่เพคะ” เย่ฟางหรูเคยเรียนรู้กฎธรรมเนียมวังหลวงมาบ้างแล้ว ตามแบบฉบับบุตรีเจ้าเมืองทั่วไป เนื่องจากหากมีรับสั่งจากจักรพรรดิให้ถวายตัว พวกนางก็ต้องพร้อมที่จะเข้าวังในทันที จางเมิ่งลู่ละสายตาจากใบหน้าของหลานรักไปมองพิจารณาสตรีที่เดินเข้ามาใหม่ แล้วก็เกิดความพึงพอใจอย่างมาก “เจ้ามีชื่อว่าอะไร” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้เย่ฟางหรูคลายความประหม่าลงไปได้มาก “หม่อมฉันชื่อว่าเย่ฟางหรูเพคะ เป็นบุตรคนโตของเจ้าเมืองเหลียนโจว” โฉมสะคราญหลุบตาต่ำ และระวังกิริยามารยาททุกประการ ท่าทางที่ดูสูงส่งนั้นทำให้เฉินอ๋องมองตาไม่กะพริบ จางเมิ่งลู่เหลือบตามองหลานชายตัวเองแล้วก็ยิ้มมุมปาก “เย่ฟางหรู เจ้ามาหาย่าตรงนี้สิ” คำพูดประโยคนี้ทำให้จ้าวฉีอิ่งรู้สึกไม่พอใจแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ก่อนหน้านี้เสด็จย่าให้นางลุกขึ้นแล้วและยังให้ไปยืนอยู่ด้านข้างอีกด้วย แม้เย่ฟางหรูปวดตัวเช่นไรก็ต้องพยุงตัวลุกขึ้น บาดแผลที่มือแม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้วแต่พอออกแรงมากไปก็รู้สึกเจ็บไม่น้อย จางหย่งเฉินมองภาพนั้นด้วยใจที่พะวง หัวคิ้วทั้งสองมุ่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าเขาจะเกิดกลัวความผิดถ้าหากเสด็จย่าจับได้ แต่รู้สึกผิดจริง ๆ ที่น้องสาวของตนไปกลั่นแกล้งคนให้เจ็บหนักเช่นนั้น [1] 19:00 – 21:00
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม