“น้องพราว พี่ไปส่งไหมครับ”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่อายุอานามก็น่าจะเฉียดเลขห้าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้ว เอ่ยทักขึ้นอย่างมีน้ำใจ หล่อนระบายยิ้มให้ ก่อนจะตอบปฏิเสธแบบนุ่มนวล
“ขอบคุณมากค่ะพี่กิต แต่บ้านพราวอยู่คนละทางกับพี่กิตเลยค่ะ พราวไม่รบกวนดีกว่า”
“พี่ไปส่งได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่กิต ขอบคุณมากเลยนะคะ”
หล่อนยกมือขึ้นไหว้ผู้ชายที่มีน้ำใจด้วยอย่างเกรงอกเกรงใจเป็นที่สุด
“งั้นก็ตามใจครับ อ้อ ว่าแต่คุณคริสเซ็นต์ใบลาออกให้น้องพราวหรือยังครับ”
หญิงสาวเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะฝืนยิ้มตอบคู่สนทนาออกไป
“ยังเลยค่ะ”
“นั่นไง พี่บอกแล้วว่ายังไงซะคุณคริสก็ไม่มีทางยอมให้น้องพราวลาออกง่ายๆ หรอก”
“ทำไมพี่กิตคิดแบบนั้นล่ะคะ”
“แหม ก็ที่ทั้งเก่งทั้งรู้ใจเจ้านายไปทุกเรื่องอย่างน้องพราวมันหาได้ง่ายๆ ที่ไหนกันล่ะ”
ที่หล่อนรู้ใจเขาทุกอย่าง ก็เพราะหล่อนรักเขา และพยายามที่จะรู้ทุกอย่างของเขา
“ยังไงซะคุณคริสก็ไม่ให้น้องพราวลาออกแน่ๆ พี่ขอฟันธงตรงนี้เลย”
“แต่... พราวต้องลาออกจริงๆ ค่ะ ยังไงก็ต้องลาออกให้ได้”
คู่สนทนาของหล่อนเอียงคอมอง ก่อนจะถามออกมาอย่างสงสัย
“พี่ถามอะไรหน่อย ที่น้องพราวจะลาออกนี่ เพราะว่าน้องพราวผิดใจอะไรกับคุณคริสใช่ไหมครับ”
พราวฟ้าอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบปฏิเสธ และยิ้มกลบเกลื่อน
“พราวไม่ได้ผิดใจอะไรกับบอสหรอกค่ะ”
“แล้วออกทำไมล่ะครับ”
“เอ่อ... คือพราว... อิ่มตัวในอาชีพเลขาฯ แล้วน่ะค่ะ อยากจะลองไปหาอะไรใหม่ๆ ทำดูบ้าง”
“พี่เชื่อน้องพราวครับ แต่พี่ได้ยินพวกพนักงานสาวๆ เม้ากันว่า น้องพราวแอบชอบคุณคริสก็เลยทนมองคุณคริสควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไม่ไหวน่ะ”
พราวฟ้ารู้สึกราวกลับถูกลูกธนูอาบยาพิษยิงเข้าใส่หัวใจ เพราะทุกอย่างที่เขาเม้ากันมันคือเรื่องจริง หล่อนรักคริสเตียโน และก็ทนเห็นเขาควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าแบบนี้ไม่ไหวอีกแล้ว
“ไม่ใช่หรอกค่ะพี่กิต พราวจะไปคิดอะไรกับบอส ของตัวเองล่ะคะ”
“พี่ก็คิดแบบนั้นแหละ เพราะอย่างน้องพราวไม่น่าคิดเรื่องผู้ชาย น่าจะคิดถึงเรื่องการถือศีลภาวนามากกว่า จริงไหมครับ”
หล่อนระบายยิ้มบางๆ และก็ไม่อยากจะเสวนากับผู้ชายตรงหน้าอีก
“พราวขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
“น้องพราวรีบเหรอครับ”
“ค่ะ พราวจะรีบไปสวดมนต์น่ะค่ะ”
หล่อนตอบประชดออกไป ก่อนจะรีบยกมือไหว้ และเดินหนีออกไปทันที
เมื่อเดินห่างออกมาแล้ว หล่อนก็เป่าปากออกมาอย่างโล่งอก
หล่อนจะต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่มีทางที่จะกลับมาทำงานที่นี่อีกแล้ว
มีประวัติไม่ดีติดตัวก็ช่างเถอะ ยังไงซะถ้าหางานใหม่ไม่ได้ หล่อนก็จะไปเปิดร้านขายอาหารแทน ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องเป็นลูกจ้างของใคร
หญิงสาวคิดอย่างปลงตก ก่อนจะเดินไปหยุดที่ป้ายรถเมล์ และรอคอย
รถโดยสารประจำทางในเมืองหลวงช่วงเวลาเลิกงานนั่นยังวุ่นวายและแออัดเหลือเกิน หล่อนยืนโหนราวเหล็กบนรถเมล์มาตลอดทาง และเมื่อถึงป้ายรถเมล์ที่จะลง ก็ถูกชนจนแทบล้มกองกับทางเท้า แว่นตาที่ใส่อยู่กระเด็นหายไปกับตา
รถโดยสารวิ่งจากไป พร้อมกับไอ้คนที่มันชนหล่อนก็เดินหายไปเช่นกัน ในขณะที่หล่อนยังคงยืนเซ่อ และมองหาแว่นตาของตัวเองกับพื้นอย่างทุลักทุเล
“แว่น... ไปไหนเนี่ย”
สายตาที่สั้นมากทำให้หล่อนต้องก้มลงมองแทบติดพื้นเลยทีเดียว แต่ก็ยังหาไม่พบ จนกระทั่งมีมือของใครบางคนยื่นแว่นตามาให้
“หาเจ้านี่อยู่ใช่ไหมครับ”
หล่อนฉีกยิ้มกว้าง รีบกล่าวขอบคุณ และรับแว่นตามาสวมทันที โลกทั้งใบสว่างสดใสและกว้างไกลได้เหมือนเดิมแล้ว
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
หล่อนช้อนตาขึ้นมองผู้ชายที่มีน้ำใจกับตัวเอง และก็เห็นว่าเขาหน้าตาดีมาก และตัวสูงพอๆ กับคริสเตียโนเลยทีเดียว
“ด้วยความยินดีครับ”
ผู้ชายตรงหน้าระบายยิ้มให้กับหล่อน และชวนคุย
“ถ้าไม่รังเกียจ ไปกินข้าวกับผมสักมื้อสิครับ ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ผมเก็บแว่นให้คุณน่ะ”
หล่อนฟังเขาพูดแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างงงๆ
“คุณจะมาเลี้ยงข้าวตอบแทนฉันทำไมคะ ในเมื่อคุณเป็นคนช่วยเก็บแว่นตาให้กับฉัน”
“งั้นคุณก็เลี้ยงข้าวผมแทนก็ได้ครับ”