‘วันวาเลนไทน์’ คือวันแห่งความรัก ที่หนุ่มสาวมักจะมีดอกไม้ ช็อคโกแลตให้กัน เขาว่ากันว่านั่นคือการแสดงออกของความรักและถือเป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่ง
ฉันชื่อ ‘แก้มใส’ ตอนนี้อายุ 23 ปี เพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ มีเพื่อนสนิทอยู่ด้วยกันสองคน ‘นาเดียร์’ สาวมั่น สวย เริด เชิด ปากจัด ดีกรีลูกสาวเจ้าของธุรกิจนำเข้ารถสปอร์ตหรูรายใหญ่ในประเทศ
และ ‘นุชา’ นี่คือชื่อจริงของเธอ แต่อย่าไปเรียกต่อหน้าหล่อนเด็ดขาดนะ ต้องเรียกเธอว่า ‘นุชชี่’ เพราะหล่อนเป็นกระเทย เป็นลูกเจ้าของไร่ผลไม้นับร้อยไร่ ดีกรีความร้ายไม่ต้องพูดถึง กระเทยนางนี้ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ส่วนตัวฉัน เปิดร้านดอกไม้เล็กๆ เป็นของตัวเอง ใช้เงินเก็บหอมรอมริบตั้งแต่เรียน แล้วก็ได้ทุนเล็กๆ น้อยๆ จากพ่อมานิดหน่อยจึงได้มีร้าน KM – Flowers เป็นของตัวเองในวันนี้
ตั้งแต่พวกเราสามคนคบกันมา ฉันมักโดนเพื่อนสนิททั้งสองล้อมาตลอดว่า เฉิ่ม เชย ป้าสุดๆ เพราะการแต่งตัวที่กระโปรงยาวถึงตาตุ่ม เสื้อแขนยาวลูกไม้ และชอบดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ
ทำให้ทั้งนาเดียร์และนุชชี่ต่างก็พูดแซวฉันมาตลอด ว่าจะหาแฟนได้สักคนหรือเปล่าเพราะไลฟ์สไตล์ที่เป็นมนุษย์ป้าแบบนี้
แต่ในที่สุด ฉันก็ลบคำสบประมาทของเพื่อนรักตัวดีทั้งสองนั่นได้ เพราะเมื่อสามเดือนก่อนฉันก็มีแฟนคนแรก และเป็นคนแรกในกลุ่มด้วยซ้ำที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน
อ้อ... ยกเว้นตุ๊ดนุชชี่นะ รายนั้นนางควงเกลื่อนตั้งแต่เรียนมหา’ลัยแล้ว
ตือดึ๊ง ตือดึ๊ง
ฉันที่กำลังนั่งเหม่อลอยนึกถึงเรื่องในวันวาน เสียงไลน์ก็ดังขึ้นพร้อมกับข้อความที่ฉันแทบต้องรีบเปิดอ่าน
Seoul Love : วันนี้แต่งตัวสวยๆ นะครับ เดี๋ยวฉันเข้าไปหาที่ห้อง
ตึกตัก ตึกตัก
ทันทีที่ได้อ่านข้อความที่ส่งมา หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นระรัวเหมือนกับจะหลุดออกมาจากอก ทั้งๆ ที่มันก็เป็นข้อความธรรมดาๆ แต่อาจจะเป็นเพราะมันคือวันแห่งสัญญาที่คนส่งมาเคยให้ไว้เมื่อครั้งก่อนล่ะมั้ง เลยทำให้ฉันใจสั่นแบบนี้
Kamsai Love : อื้ม... แล้วจะเข้ามากี่โมง ให้ทำกับข้าวไว้ไหม?
Seoul Love : ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวซื้อเข้าไปเอง แล้วเจอกันนะ
หลังจากที่ ‘โซล’ แฟนคนแรกและคนปัจจุบันของฉันส่งข้อความสุดท้ายมาเสร็จ ฉันก็นั่งยิ้มเหม่อลอยเหมือนคนบ้า ในใจตอนนี้ลุ้นแทบจะทุกวินาที
อยากรู้ใจจะขาดว่าที่เขามาหาวันนี้เพื่อมาทวงคำสัญญาเมื่อสามเดือนก่อนนั้นหรือเปล่า
ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง
เอ๊ะ!! มาแล้วเหรอ เร็วจัง...
ฉันเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เมื่อ 10 นาทีก่อนหน้า ก็ได้ยินเสียงคนกดกริ่งที่หน้าห้อง ในใจก็พลางนึกไปด้วย ‘ทำไมเขามาเร็วจัง’ ทั้งๆ ที่คอนโดเขากับฉันอยู่ตั้งไกลกันขนาดต้องขับรถเป็นชั่วโมงแท้ๆ
คิดไปก็ปวดหัว สู้เดินไปเปิดประตูให้โซลแล้วถามเขาจะเป็นการดีกว่า คิดได้ดังนั้น จึงรีบเดินจ้ำอ้าวไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน
“มาเร็วจั...” อะไรกัน!? ฉันพูดทักทายยังไม่ทันจบประโยค โซลก็รีบผลักประตูเดินเข้าห้องอย่างเร่งรีบ ไม่มีการปรายตามองแม้แต่เสี้ยวหน้าของฉันเลยด้วยซ้ำ
อีกแล้ว... ถ้าฉันมองไม่ผิด แววตาเขาเปลี่ยนไปอีกแล้ว
แววตาเย็นชา แข็งกระด้าง...
ฉันไม่ได้เจอแววตาแบบนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว แต่วันนี้มันกลับมาแววตาที่ไม่เหมือนโซลคนก่อน ความอบอุ่นจากแววตาคู่นั้นมันหายไป
“มีไรให้กินมั้ย” นั่นคือประโยคแรกที่เขาทักฉัน หลังจากเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่น
อ้าว! ทำไมเขาถามแบบนั้นล่ะ ก็ในเมื่อเขาบอกเองว่าจะซื้อมา
“ก็ไหนนายบอกจะซื้อเข้ามาไง ฉันก็ ละ เลย ไม่ได้ทำไว้รอ” ฉันถึงกับพูดตะกุกตะกักตอนที่ได้สบตากับเขา แววตาเย็นชา ไม่ชอบแบบนี้เลย
“งั้นก็ไม่ต้องกิน” เขาใช้น้ำเสียงเหมือนหงุดหงิดว่ากลับ
“เรามารีบๆ ทำให้จบดีกว่า” ห๊ะ!? อะไรคือรีบๆ ทำให้จบฉันงงหมดแล้ว
เฮ้! แล้วนั่น เขาทำอะไร ถอดเสื้อทำไม
“ซ... โซล นายร้อนเหรอ ถอดเสื้อทำไม” ตาบ้าเอ้ย!!
ทำอะไรไม่ปรึกษาฉันเลย ตั้งแต่คบกันมาอย่างมากสุดเราก็แค่ จูบแบบปากแตะปากกัน ย้ำ!! ว่าปากแตะปากเท่านั้น แล้วฉันก็ไม่เคยเห็นเขาเปลือยท่อนบนหมดแบบนี้เลยสักครั้ง แต่ตอนนี้ ทุกสัดส่วนของร่างหนาตรงหน้ากับตราตึงดวงตากลมมนของฉันได้เป็นอย่างดี
ไหล่หนาผึ่งผาย กล้ามแขนแข็งแกร่งแต่ไม่ถึงกับเล่นกล้าม แล้วไหนจะซิกแพกที่อวดลอนแข็งแรงนั่นอีก เพอร์เฟค นั่นคือสิ่งที่ฉันสามารถบอกได้ในตอนนี้
“อะไรกัน เธอลืม ‘สัญญา’ ที่เราตกลงกันไว้แล้วเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเรียกให้ฉันหลุดจากภวังค์ความหื่นกามของตัวเอง สองหูได้ยินคำถามของเขาชัดเจนว่าเขากำลังทวงสัญญาเมื่อสามเดือนก่อนของเรา
สัญญาในวันนั้น...
‘สัญญากับโซลสักอย่างสิ ว่าถ้าเราคบกันถึงวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ ถ้าโซลขออะไร แก้มต้องให้โซลทุกอย่างนะ’
‘เอ๋... อยู่ๆ ก็มาขอแบบมัดมือชกกันแบบนี้ได้ด้วยเหรอ โซลต้องบอกมาก่อนสิ ว่าจะขออะไร’
‘เดี๋ยวถึงวันนั้นแก้มจะรู้เอง ถ้าแก้มรักโซลจริง เหมือนที่โซลรักแก้ม แก้มจะต้องตอบตกลงแน่นอน’
‘อื้มเอางั้นก็ได้ แก้มล่ะอยากรู้ใจจะขาดแล้วเนี่ยว่าโซลจะขออะไร’
“ว่าไงจำได้อยู่ใช่ไหม” เสียงเข้มๆ ของโซลดังขึ้นเร่งให้ฉันตอบคำถามเขา
“ละ... แล้ว นายจะขออะไรเหรอ” ถามไป ใจก็เต้นรัวไป
“ถ้าฉันจะขอ...” โซลเงียบ เขาไม่ยอมพูดต่อ
คนบ้า! ไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้ฉันกำลังลุ้นกับคำพูดของเขามากแค่ไหน
แต่แทนที่โซลจะตอบฉันด้วยคำพูด เขากลับลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่เมื่อกี้แล้วเดินเข้ามาหาฉันที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ข้างโซฟาติดมุมห้อง
เขาเดินต้อนฉันจนหลังติดกับผนังห้องไร้หนทางหลบหนี สองมือหนาของโซลยกขึ้นมาจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันไว้แนบแน่น เพียงเสี้ยววินาที ผู้ชายหล่อเหลาตรงหน้าก็ก้มลงจูบที่ริมฝีปากฉันแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“อืม” เขาครางเบาๆ จากนั้นก็เพิ่มแรงบดขยี้ หนักขึ้นๆ
“อื้ม ออ อ่อน (พอก่อน)” เพราะไม่ทันจะได้เตรียมรับมือกับจุมพิตจากผู้ชายคนนี้เลยทำให้ฉันหายใจไม่ทันกับการรุกที่แสนรวดเร็วนี้
จูบ... ที่เร่าร้อนเหมือนมีไฟราคะอยู่ในนั้น
โซลพยายามใช้ฟันขบกัดริมฝีปากล่างฉันให้เผยอเปิดเพื่อที่จะได้รุกล้ำลิ้นสากหนาของตัวเองเข้ามาสำรวจโพรงปากที่หวานฉ่ำของฉัน
ไม่ไหวแล้ว! หายใจไม่ทัน!
ฉันเหมือนคนจะขาดอากาศหายใจ ยิ่งร้องท้วงเท่าไหร่ โซลยิ่งเร่งจังหวะรุกเร้าที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ร่างกายฉันเริ่มจะหมดเรี่ยวแรงต่อต้าน แข้งขากำลังอ่อนแรง
ฉันกำลังจะปล่อยร่างบางเบาของตัวเองทิ้งดิ่งลงสู้พื้นห้องที่เย็นเฉียบ แต่โซลคงรับรู้ เขาเลยเปลี่ยนเป็นเอามือข้างหนึ่งมาโอบรัดเอวบางฉันเพื่อช่วยพยุงร่างบางไม่ให้ล้มลงไป ทำให้ตอนนี้เนื้อกายของเราสองคนแนบสนิทกันยิ่งกว่าเก่า
ผู้ชายตะกละตะกลามตรงหน้ายังคงไม่ถอนจูบที่เร่าร้อนออกจากริมฝีปากบางของฉัน เขาทั้งกัดทั้งดูดดุน ลิ้มรสน้ำหวานที่หลั่งไหลเป็นสายธารอยู่ในโพรงปากนี้
เมื่อเต็มที่กับการดูดดื่มน้ำผึ้งหวานในโพรงปากเสร็จ โซลก็เริ่มเคลื่อนจมูกโด่งรั้นดอมดมมาตามลำคอระหง ทุกพื้นที่ๆ ริมฝีปากหนาและจมูกโด่งกล้ำกรายลากผ่าน ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา
ความรู้สึกหวาบหวามที่ไม่เคยได้สัมผัสจากใครมาก่อน ทำให้ขนอ่อนในกายพร้อมใจกันลุกชันอย่างเสียวสะท้าน
“ซ... โซล อ๊ะ” ฉันพยายามเปล่งเสียงให้ดังที่สุดเพื่อหยุดเขา
แต่แทนที่มันจะมีคำพูดมากมายกว่านั้นเอ่ยออกมา เสียงตัวเองกลับขาดหายไปสะดื้อๆ ร่างกายสั่นเทิ่มด้วยความสยิวที่คนตาคมมอบให้
“ฉันว่าเธอคงยืนไม่ไหวอีกแล้วล่ะ” โซลพูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแต่ทว่าเซ็กซี่ จนคนฟังอย่างฉันยอมพยักหน้าตอบแบบไม่รู้ตัว
ร่างกายรู้สึกเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น สัมผัสได้ว่าร่างกายกำลังล่องลอยเหมือนมีปีกบินได้ ไม่นานแผ่นหลังบางก็สัมผัสกับความนุ่มหยุ่นราวกับว่าปีกนั้นได้หายไปแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสติกลับมาครบแล้วหรืออะไร ตั้งแต่ที่แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความนุ่มนั้น ฉันก็ลืมตาโพลง มองสภาพแวดล้อมรอบข้างที่แสนคุ้นเคย
นะ... นี่มันห้องนอนฉัน!!
“โซล เดี๋ยวสิ” ฉันรีบร้องห้ามจอมฉวยโอกาสบนร่าง
“ไม่ทันแล้วล่ะ แก้มใส เป็นของฉันเถอะนะ” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่หวานหูจากคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนตัวเอง เพราะหลังจากนั้นฉันก็ไม่อาจต้านทานความเอาแต่ใจของผู้ชายคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“อ๊ะ จะ เจ็บ”
เจ็บ... นี่คือความรู้สึกที่ฉันรับรู้ได้ในตอนนี้
มันเหมือนร่างกายฉันจะแตกสลาย ตอนที่คนเอาแต่ใจสอดแทรกสัญลักษณ์ของความเป็นชายผ่านปากถ้ำที่แสนชุ่มฉ่ำเข้ามา
ถึงแม้ฉันจะไม่เห็นกับตาตอนที่เขาสอดใส่ แต่ก็พอจะรู้ว่าขนาดมันต้องใหญ่มากแน่ๆ ไม่งั้นฉันคงไม่เจ็บเหมือนร่างกายจะขาดออกจากกันแบบนี้หรอก
“อีกนิดนะ ทนอีกนิด” โซลจูบที่หน้าผากเพื่อปลอบโยน
ฉันสัมผัสได้ว่าเจ้าสิ่งที่กึ่งแข็งกึ่งนิ่มนั่นกำลังจะหลุดออกไป
แต่มันก็แค่เกือบ... เพราะหลังจากนั้นโซลก็ดันมันเข้ามาครั้งเดียวจนฉันเจ็บและจุกไปทั้งท้องน้อย
“โซล กะ... แก้ม เจ็บ อ๊ะ อา” ฉันทั้งพูดทั้งส่งเสียงครวญครางที่น่าอายออกมาพร้อมๆ กัน ตามจังหวะกระแทกกระทั้นของร่างหนาที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เบื้องบน ผู้กำลังคุมบังเ**ยนของม้าตัวบางอย่างฉันให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ
“อื้อ ร้อน” ฉันไม่อาจรับรู้ได้ว่าตอนนี้สิ่งที่เสียงทุ้มเอ่ยคืออะไร
สติฉันกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้วในนาทีนี้ ร่างกายเริ่มร้อนฉ่ามากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อกาฬเริ่มจะไหลซึมออกมาทุกรูขุมขนจนชุ่มฉ่ำร่างกายไปหมด ฉันอยากจะปรือตามองร่างสูงตรงหน้าตอนนี้มากเหลือเกิน อยากรู้ว่าเขาจะใช้สายตาแบบไหนจ้องมองฉัน อยากรับรู้สิ่งที่เขาสื่อออกมาด้วยตาตัวเอง
แต่... เพราะคำว่าอายคำเดียว มันเลยทำให้ฉันเลือกที่จะหลับตาต่อไป แล้วใช้ร่างกายมองแทน ร่างกายเปรียบเสมือนดวงตาของฉันไปแล้วในตอนนี้
“ม... ไม่ไหวแล้ว แก้ม ทนอีกนิดนะ”
เสียงหอบกระเส่าของโซลดังขึ้นข้างใบหูเล็กของฉัน ลมหายใจหอบรวยรินเป่ารดที่ซอกคอขาว ยิ่งปลุกเร้าให้เลือดในกายฉันสูบฉีดมากกว่าเดิม
“อ๊ะ อ่า พ... พอแล้ว ไม่ อ๊ะ อย่า... หยุด”
ปากฉันพยายามร้องห้ามร่างหนาที่กำลังเพิ่มแรงกระแทกหนักหน่วงกว่าคราแรก จนได้ยินเสียงเตียงดังเอี๊ยดอ๊าดสนั่นห้อง
“อา~ เบาไม่ได้แล้ว ทนอีกนิดนะ ฉันจะ.. อืม~” เหมือนเสียงโซลจะขาดหายเป็นช่วงๆ ตอนที่พูดกับฉัน แต่แรงขยับของเขากลับกระชั้นถี่ยิ่งกว่าเดิม
“ซะ โซล มะ ไม่ไหวแล้ว จะ เจ็บ... มาก” รู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำใสๆ กลิ้งลงที่หางตาทั้งซ้ายและขวา นั่นอาจจะเป็นการช่วยระบายความอัดอั้นที่มวลอยู่ในอก
ไม่สิ... มันมวลอยู่ในท้องน้อยและส่วนอ่อนไหวนั่นมากกว่า
“กรุงโซล เรียกสิ นี่คือชื่อเต็มฉัน” ชื่อเต็มเขางั้นเหรอ?
“กะ... กรุงโซล” และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ฉันเอื้อนเอ่ยออกไป เพราะหลังจากนั้น บทเพลงรักที่โหมกระพืออยู่มันก็ทำให้สมองฉันขาวโพลนสติลอยหายไปจนหมดสิ้น
รุ่งเช้า...
อื้อ แสบตาจัง ใครเปิดไฟไว้เนี่ย
พอรู้สึกตัวได้ฉันก็โวยวายในใจทันที ฉันเป็นพวกถ้านอนไม่เต็มอิ่มจะขี้งอแง ฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว อย่างเช่นตอนนี้
แต่เอ๊ะ! เมื่อคืนฉันไม่ได้อยู่คนเดียวนี่ ฉันอยู่กับโซลและเราก็... พอนึกได้ก็รีบสะดุ้งตัวตื่น หันซ้ายแลขวาก็ไม่เจอแม้แต่เงาของโซล สมองน้อยๆ ก็พลันคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ทำให้ใบหน้าเห่อร้อน รีบยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อตั้งสติ
“ไปไหนของเขานะ หรือว่าเข้าห้องน้ำ” ฉันบ่นพึมพำอยู่บนเตียง กำลังจะก้าวลุกลงเพื่อตรงไปยังห้องน้ำ
“โอ๊ย!! เจ็บจัง” ไม่รู้ว่าเพราะลุกเร็วไป หรือว่าร่างกายมันบอบช้ำกันแน่ ตอนนี้ร่างกายฉันมันรู้สึกหน่วงๆ ตรงช่วงท้อง แถมยังครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด สงสัยจะเป็นเพราะฝีมือผู้ชายหื่นกามเมื่อคืนนี้แน่เลย
“บ้าจริง คิดอะไรเนี่ย หยุดเลยยัยบ้า” ฉันสบถด่าตัวเองเบาๆ
นั่งหายใจลึกๆ เพื่อเรียกกำลังทั้งหมดกลับมาเติมเต็ม สองมือน้อยเอื้อมไปหยิบผ้าคลุมอาบน้ำที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวม สองเท้าน้อยๆ พยายามก้าวเดินมุ่งตรงไปที่ๆ คิดว่าจะมีคนที่ตัวเองมองหาอยู่ในนั้น
แต่ทันทีที่สองเท้าเล็กเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ เอื้อมมือน้อยๆ ลองบิดลูกบิดประตูดูแต่กลับพบว่าในห้องน้ำนี้มัน... ว่างเปล่า
“ไม่อยู่? ไปไหนของเขานะ”
ในเมื่อในห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนส่วนตัวไม่มีร่างหนาของเจ้าของรอยม่วงช้ำที่อยู่บนร่างฉันอยู่ ฉันเลยเลือกเดินออกไปนอกห้องนอน มุ่งไปที่ห้องครัวเป็นลำดับต่อมา ไม่ว่าจะพื้นที่ตรงไหนที่อยู่ในห้องฉัน ก็ไม่มีแม้แต่เงาของเจ้าของคนเอาแต่ใจที่อยู่กับฉันเมื่อคืนเลย
“นี่เขากลับไปแล้วงั้นเหรอ?” พูดไปพลางกัดริมฝีปากบางตัวเองไป
ความคิดหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นมาในหัวใจดวงน้อยๆ ให้หวั่นไหว
“ไม่มีอะไรหรอก เขาอาจจะมีธุระด่วนอะไรก็ได้”
ฉันยังคงพยายามให้เหตุผลในตัวผู้ชายที่ตนรักในทางที่ดี ไม่อยากจะคิดลบอะไรในตัวคนรักให้ปวดสมอง
“ไปอาบน้ำให้สดชื่นดีกว่ายัยแก้ม เชื่อใจคนรักของแกสักครั้งสิ”
สองมือน้อยๆ ยกขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติและกำลังใจ หันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน ชำระล้างร่างกายให้สดชื่น ทิ้งความหดหู่ ความหวาดระแวงออกไปให้หมด ทิ้งมันไปกับสายน้ำ และจงยืนหยัดเชื่อมั่นในตัวคนรักตัวเอง
หลังจากที่ฉันจัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ หันไปมองดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่ผนังห้องนั่งเล่นบ่งบอกว่าตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว
“ป่านนี้โซลจะทำอะไรอยู่นะ?”
คิดได้แบบนั้นฉันเลยเลือกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหาคนรักตัวเอง
‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’
เสียงที่ได้ยินผ่านปลายสายที่โทรออก ทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบไหวไปชั่วขณะ “อะไรกัน ปิดเครื่องเหรอ หรือว่าแบตจะหมด”
รู้สึกหน้าชานิดๆ ที่โทรหาเขาแล้วไม่ติด เลยเลือกที่จะส่งไลน์ไปหาแทน
Kamsai Love : โซลทำอะไรอยู่เหรอ แก้มโทรหาไม่ติดน่ะ
Kamsai Love : แล้วทำไมกลับก่อน ไม่ยอมปลุกแก้มเลย มีธุระเหรอ?
Kamsai Love : ถ้าเปิดเครื่องแล้วโทรกลับหาแก้มด้วยนะคะ ... คิดถึง
ฉันเผลอพิมพ์คำว่า ‘คิดถึง’ ออกไป มันคงเป็นความเคยชิน เพราะฉันมักจะพิมพ์คำนี้ส่งให้เขาทุกครั้งที่เราไลน์หากัน แต่ว่าในตอนนี้ สถานะของเราเปลี่ยนไปแล้ว นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าฉันเห่อร้อนยิ่งกว่าเก่า
“ยางอายแกหายไปไหนแล้วยัยแก้ม ป่านนี้เขาจะเข้าใจความหมายคำว่าคิดถึงแกไปถึงไหนแล้วเนี่ย” ฉันนั่งเอามือทุบหัวน้อยๆ ของตัวเองสองสามทีด้วยความเขินอาย
@14.00 น.
ตั้งแต่เช้ายันบ่ายฉันไม่เป็นอันทำอะไร นั่งรอโทรศัพท์จากโซลจนครึ่งค่อนวัน แต่ผลปรากฏว่า เงียบกริบ โทรไปไม่ติด ไลน์ไม่เปิดอ่าน มันเกิดอะไรขึ้น
ฉันชักจะรู้สึกไม่ดีแล้วล่ะสิ กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีกับเขาหรือเปล่า
ถึงแม้ปกติเราจะไม่ค่อยได้ติดต่อหากันเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่ฉันโทรหา เขาไม่เคยปิดเครื่องแบบนี้ แม้แต่ไลน์ที่ส่งไปเขาก็จะตอบแทบจะทันที
แต่ครั้งนี้แปลกมาก นี่มันก็เกือบจะครึ่งวันแล้วนะที่ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย
“ไม่มีอะไรน่ายัยแก้ม คิดมาก” ฉันพยายามควบคุมสติของตัวเองไม่ให้คิดเพ้อเจ้อในเรื่องไม่ดี ตัวเองอาจจะคิดมากเกินไปก็เป็นได้ เดี๋ยวโซลคงจะติดต่อมาเองนั่นแหละ ใจเย็นๆ เข้าไว้
เพราะนั่งอยู่ในห้องเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ แว่บหนึ่งเลยทำให้ฉันนึกหวนไปถึงสมัยแรกๆ ที่ฉันกับโซลเจอกัน
เราเจอกันที่ร้านดอกไม้ของฉัน ครั้งแรกที่เขาเดินเข้ามาในร้าน รู้อะไรไหม สายตาฉันไม่เคยหยุดมองเขาได้เลย ผู้ชายที่หน้าหวานๆ แต่มีความมาดเข้มที่ลงตัวบนใบหน้านั้น ดวงตาคมเข้มและดูอบอุ่น ผิวขาวน่าสัมผัส ส่วนสูงน่าจะสัก 185 เซนฯ ได้มั้ง
แค่มองเฉยๆ ยังรู้เลยว่าเขาน่ะ มีเสน่ห์ในตัวเองแค่ไหน…
เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้หัวใจฉันเต้นสั่นระรัว ราวกับมีใครมาเล่นกลองรัวๆ ในอกข้างซ้าย แถมยังรู้สึกได้ว่าใบหน้าตัวเองเห่อร้อนเพราะความเขินอาย เพียงแค่ได้สบตาผู้ชายตรงหน้า
ทุกย่างก้าวของเขาอยู่ในสายตาฉันทั้งหมด ท่าทางทะมัดทะแมง ไหล่กว้างผึ่งผายหน้าซบ ยิ่งเขาเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ฉันยิ่งละสายตาจากผู้ชายคนนี้ไม่ได้สักวินาที
‘ขอโทษนะครับ เจ้าของร้านอยู่ไหม’ เสียงทุ้มนุ่มหูที่แสนจะไพเราะ
‘คุณครับ คุณ’
หมับ!!
‘อ๊ะ!’
ฉันสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิดทันที ที่เหมือนมีคนมาสะกิดไหล่เบาๆ
‘เอ่อ... ขอโทษนะคะ เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไร’
‘^____^’
น่ารัก ทำไมเขาถึงได้ยิ้มละลายใจฉันขนาดนี้นะ
‘คือ... ผมจะมาซื้อดอกไม้น่ะครับ เลยถามว่าเจ้าของร้านอยู่ไหม’
ฉันที่ตอนนี้มีสติครบส่วนแล้วจึงได้ยินคำถามเขาเต็มสองรูหู
แต่เอ๊ะ!! เจ้าของร้านก็ฉันนี่ไง
‘เอ่อ... คือ เจ้าของร้านก็ฉันนี่ล่ะค่ะ’ ไม่ว่าเปล่าฉันชี้นิ้วมาที่ตัวเองเพื่อยืนยันกับเขาอีกเสียง แต่คนฟังกลับทำตาโต ยักคิ้วขึ้นเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
‘ขอโทษทีครับ คือว่า ผมไม่คิดว่าคุณจะเป็น... เจ้าของร้าน’ เขาพูดแล้วก้มหน้านิดหนึ่ง เอานิ้วชี้เกาคิ้วหน่อยๆ
ตึกตัก ตึกตัก
มันมาอีกแล้ว หัวใจฉันเต้นระรัวอีกแล้ว วันนี้รู้สึกเลือดจะไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้ดีเกินไปแล้วนะ
‘คุณจะโกรธไหมถ้าผมจะบอกว่า ตอนแรก ผมคิดว่าเจ้าของร้านจะเป็น’
เป็น?? ฉันทำหน้างงงวยกับคำพูดที่ไม่จบประโยคดีของผู้ชายตรงหน้า
‘เป็นอะไรเหรอคะ’ เพราะเขานิ่งไม่ยอมพูดต่อ ฉันเลยถามออกไป
‘เป็นคนมีอายุกว่านี้น่ะครับ’ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาค่อนข้างไม่เต็มเสียงนัก นี่ร้านฉันจัดได้โลคลาสขนาดเขาคิดว่าเจ้าของร้านต้องแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ
ไม่เห็นจะเหมือนเลย แค่ทุกอย่างเป็นแนววินเทจ ฝาผนังสีน้ำตาลอ่อน มีลวดลายดอกไม้หลากสีพิมพ์อยู่บนพื้นสีน้ำตาล มองแล้วอบอุ่นจะตาย แล้วดูโต๊ะรับแขกสิ โซฟาสีเบจ โต๊ะกระจกใส ถึงจะเรียบแต่หรูดูไฮโซขนาดนั้น
คิดได้ยังไงว่าคนแก่เขาจะจัดร้านแบบนี้กัน
‘ผมขอโทษแล้วกันนะครับ ตอนนี้รู้แล้วว่าเจ้าของร้าน… น่ารัก’
ห๊ะ!! อะไรนะ น่ารักงั้นเหรอ ฉันไม่ได้หูฟาดไปใช่ไหม
‘ไม่ได้น่ารักอะไรหรอกค่ะ คุณก็ชมเกินไป’ ฉันตอบผู้ชายดวงตาคมเข้มตรงหน้าน้ำเสียงเรียบๆ ปนเขินอายเล็กน้อย
‘แล้วไม่ทราบจะรับดอกไม้อะไรดีคะ’ พอดึงสติกลับมาได้ฉันเลยรีบถามคุณลูกค้าผู้หล่อเหลาออกไป
‘ขอเป็นดอกลิลลี่ขาวสักช่อแล้วกันครับ’
‘ให้แฟนเหรอคะ’ ที่ถามแบบนี้ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าฉันจะได้จัดให้ถูกยังไงล่ะ
‘หึ...’ เขาไม่ตอบแต่แค่ขำออกมา
“ฉันถามอะไรน่าขำเหรอคะ?” เพราะไม่เข้าใจว่าเขาหัวเราะเพราะคำพูดของฉันหรือเปล่า เลยเอียงคอเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามเขาด้วยความอยากรู้
‘เปล่าครับผมไม่ได้ขำอะไร ผมจะเอาไปให้แม่น่ะ แม่ผมชอบดอกลิลลี่’
อ๋อ... ให้แม่นี่เอง ฉันพยักหน้ารับทราบแล้วยิ้มบางๆ ให้เขา
ทำไมถึงเป็นผู้ชายอ่อนหวานแบบนี้นะ น้อยคนนักที่จะเข้ามาซื้อดอกไม้ให้แม่ แถมยังเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันอึ้งเข้าไปอีก
‘แต่แฟนน่ะ’ ขณะที่ฉันกำลังกรี๊ดให้กับความอบอุ่นของผู้ชายคนนี้ เขาก็พูดเรียกสติฉันกลับมา ‘อาจจะเจอแล้วล่ะครับ’
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความรักระหว่างฉันกับโซล เพราะหลังจากนั้นเขาก็ขอฉันคบในวันต่อมา ไม่ว่าจะหวนนึกย้อนไปกี่รอบๆ ฉันก็ยังคิดว่าฝันอยู่เลย ไม่คิดว่าจะได้เจอผู้ชายที่แสนจะอบอุ่น และอ่อนโยนแบบนี้
Rrrrrrr
จังหวะที่กำลังคิดถึงเรื่องเก่าเพลินๆ โทรศัทพ์ของฉันก็ดังขึ้น ฉันรีบกดรับทันทีเพราะคิดว่าเป็นโซลโทรมาแน่ๆ
“ฮะโหล โซล...”
[แหม ชะนี คิดว่าผู้โทรมาเหรอยะ ตาอะแหกดูมั้ยเบอร์ใคร ชิ!] อ้าว! ไม่ใช่โซลเหรอ นี่เสียงยัยนุชชี่ เฮ้อ! ฉันเป่าปากระบายลมออกมาเซ็งๆ
“โทรมามีไรยะ วันนี้ไม่ไปกิน ผู้ ของแกเหรอ” ฉันแขวะเพื่อนรักเบาๆ
[ก็เนี่ย กำลังจะชวนไปกินด้วยกัน สนม๊ะ] นั่นไงว่าแล้วเชียว วันๆ ชวนแต่พวกฉันสองคนไปผับไปบาร์ เหล่หาเหยื่อทุกคืน
“วันนี้ฉันรู้สึกเพลียๆ น่ะ แกไปกับยัยเดียร์ได้ไหม”
ฉันรีบบอกปฏิเสธเพื่อนรักแทบจะไม่ต้องคิด ก็จะให้ฉันออกไปกับพวกมันสภาพแบบนี้เนี่ยนะ ไม่ไหวหรอก รอยที่โซลทิ้งไว้ที่คอเต็มไปหมดแบบนี้มีหวังพวกนั้นจับผิดฉันได้แหงๆ
[ไม่ได้!] นี่ไม่ใช่เสียงยัยนุชชี่ แต่เป็นเสียงยัยนาเดียร์
อะไรกัน นี่อยู่ด้วยกันแล้วเหรอ คือเตรียมพร้อมกันแล้วว่างั้น?
[ฉันให้เวลาแก 30 นาที ให้ไว ให้ว่อง ให้คล่องเหมือน...] นาเดียร์ยังพูดไม่ทันจบประโยคเสียงนุชชี่ก็แทรกขึ้นมา [ตุ๊ดว่าให้เวลามัน 10 นาทีก็เกินพอ ชะนีนางนั้นไม่แต่งอะไรหรอกคร่า] จบคำพูดถากถางของยัยตุ๊ดเพื่อนเลิฟ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก สะใจของพวกนางทั้งสองคนดังออกมาจากปลายสาย
“งั้นทำไม ไม่มารับเลยตอนนี้ล่ะยะ จะให้เวลาเพื่อ?”
[งั้นเปิดประตูด่วนค่ะเพื่อนสาว]
ห๊ะ! อะไรของยัยนุชชี่ มันบอกให้ฉันเปิดประตู อย่าบอกนะว่า…าเพื่อนทั้งสองที่นั่งจับผิดอยู่ข้างๆ