ร่างบางทรุดร่างลงบนเก้าอี้หวายตัวกลมใหญ่ที่ระเบียงและนอนขดตัวอยู่ภายในนั้นด้วยหวังว่าหากหลับไปเขาอาจปลุกปลอบเธอคืนจากนิทราดังคราก่อน ทว่ากลับเปล่าดาย เธอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีท่ามกลางแสงจันทร์และลมหนาวพัดผ่านจนต้องโอบกอดตัวเองด้วยความยะเยือก
เสียงคลื่นยังครางครืนอยู่ในรัตติกาลอันเปลี่ยวเหงา เมลิดาเผลอร้องไห้ออกมาในความเงียบสงัดยินเพียงน้ำและลมปลอบประโลมหัวใจอันอ้างว้างเดียวดาย พรุ่งนี้เขาอาจกลับมาหาเธอ.....หญิงสาวบอกตัวเองด้วยความรู้สึกอันแห้งหายและพยายามคิดถึงเวลาที่ไม่มีใคร เขาคนนั้น มักปรากฏกายในยามที่เธอมองหา ใครสักคน ทุกครั้ง
“อ้าว!....คุณเมย์ ไปไหนคะวันนี้ พี่มุกไม่ค่อยได้เจอคุณเลยค่ะ”
มุกประกายเอ่ยทักเมลิดาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงผ้าไหมพิมพ์ลายลูกไม้ก้าวเข้ามาในบังกะโลหลังเล็กซึ่งเป็นที่ติดต่อแขกของเธอ
“พี่มุกคะ....เมย์....เอ้อ....ไม่ทราบว่าคุณภูมิมาที่นี่บ้างหรือเปล่าคะ เมย์ไม่เจอเขามาสองวันแล้ว”
คำถามที่น้ำเสียงเจือด้วยความกระวนกระวายของเมลิดาทำให้มุกประกายสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอมองหน้าแขกของเธอที่แม้งดงามเช่นนี้หากก็ดูเป็นกังวลและเศร้าสร้อยจนเธอนึกใจหาย
“คุณเมย์คะ....คือว่า.....ภูมิเขาไม่ได้มาทำงานกับพี่แล้วล่ะค่ะ เขาลาออกไปแล้วค่ะ”
คำตอบของมุกประกายทำให้เมลิดานิ่งอึ้งไปพักใหญ่และคู่สนทนาสังเกตเห็นว่าใบหน้าของผู้รับรู้นั้นซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“พี่มุกทราบไหมคะว่าคุณภูมิไปไหน?”
“เขาไม่ได้บอกพี่มุกไว้เลยค่ะ เขามาบอกว่าเขาจะออก แล้ว....เขาก็ไป”
เมลิดาพยักหน้าด้วยแววตาอันเลื่อนลอยก่อนยิ้มน้อย ๆ และเดินออกไปจากที่นั้น มุกประกายมองตามไปด้วยแววตาบ่งบอกความห่วงใยหากก็ไม่สามารถทำอะไรได้ วันแรกที่แขกของเธอเข้ามาพักที่นี่ช่างดูสดใสและใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เธอเข้ามาพักในมุกประกายบังกะโลจวบวันนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนกับหนึ่งอาทิตย์จากที่ตกลงกับเจ้าของสถานที่ว่าคงอยู่นานเกินสามเดือน ทว่าเธอไม่ใคร่แน่ใจเสียแล้วว่าคุณเมย์ของเธออาจอยู่ได้ไม่เกินสิ้นอาทิตย์นี้
ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อแจ็คเก็ตคอตั้งสีฟ้ากางเกงเดนิมสีน้ำเงินเข้มสวมรองเท้าผูกเชือกหนังกลับสีกรมท่ายืนมองรถเรนจ์ โรเวอร์สีขาวที่แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้านไม้สักหลังงามซึ่งตั้งอยู่ในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ซึ่งกินเนื้อที่กว่าสามพันไร่ของตระกูลภควัตณ์ สักครู่เมื่อประตูรถเปิดออก แทน จึงกล่าวทักพี่ชายด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ
“พี่ภาคหายไปไหนมาตั้งเป็นเดือนครับ โทรติดต่อก็ไม่ได้ ผมถามคนในไร่ก็ไม่มีใครรู้เลยสักคน”
ทศภาคซึ่งดูคมเข้มภายใต้เสื้อคอวีสวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนังสวมกางเกงเดนิมสีซีดถอดแว่นกันแดดออกพลางยิ้มให้น้องชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาพอกันทว่ามีนิสัยดุดันน้อยกว่า
“ไปกระบี่มา.....แกล่ะเป็นไงบ้าง เรียนจบแล้วจะกลับมาช่วยพี่ดูแลที่นี่หรือเปล่า ถ้าอยากจะเที่ยวก็ไปเที่ยวซะให้พอก่อนแล้วค่อยกลับมาช่วย”
“พี่ภาคประชดผมรึเปล่า เรียนจบแล้วก็ต้องมาช่วยพี่สิครับ พี่อุตส่าห์ส่งเสียให้ผมเรียนจนจบก็ต้องกลับมาช่วยดูแลไร่องุ่นที่นี่อยู่แล้ว”
แทนมองพี่ชายที่หันไปดูไร่องุ่นซึ่งมีต้นองุ่นปลูกเรียงรายไปตามแนวลาดชันบนพื้นที่เต็มไปด้วยเนินเตี้ย ๆ กว่าหกร้อยไร่ เขาไม่เคยลืมว่าทศภาคคือพี่ชายคนเดียวที่ทำหน้าที่แทนบิดาและมารดาซึ่งล่วงลับไปแล้วอย่างมิเคยบกพร่อง สำหรับเขาแล้วทศภาคคือแบบฉบับของผู้ชายที่จริงจังและไม่เคยย่อถอยต่อความลำบากทั้งปวง ความแน่วแน่และจริงจังคือสิ่งหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของพี่ชายที่บางครั้งแข็งกร้าวจนเขาเองไม่เคยกล้าขัดขวางความคิดซึ่งมุ่งไปข้างหน้ามิเคยคิดรอคอยใคร
“ถ้าแกช่วยดูแลไร่องุ่นฉันจะได้มีเวลาไปดูเหมืองทองของบริษัทบ้าง แต่ฉันไม่บงคับแกหรอกนะแทน แค่คิดว่าแกเต็มใจมาช่วยฉันก็จะได้เบามือ”
“พี่ยังไม่ได้บอกผมเลยว่าไปกระบี่ทำไม แถมขับรถไปเอง ธุระสำคัญหรือครับพี่ภาค”
“ฉันไปอยู่ที่มุกประกายบังกะโล.....ก็แค่อยากไปพักผ่อน”
“บังกะโลของคุณมุกประกายเพื่อนพี่ภาคนะหรือครับ....โอ๊ะ!....ตายล่ะ ผมคุยกับพี่ภาคเพลินเลย ลืมไปว่าคุณกีรติมานั่งคอยพี่อยู่ บังเอิญจังที่เธอมาวันนี้ที่พี่กลับพอดี”
“ถ้างั้นเอารถไปเก็บให้ฉันด้วย แล้วเดี๋ยวแกอย่าลืมมานั่งคุยเป็นเพื่อนคุณกิด้วยล่ะ”
แทนเบ้ปากขณะรับกุญแจที่พี่ชายโยนให้
“คุณกิมาหาพี่นะครับ เธอมาหลายหนแล้ว ไม่เกี่ยวกับผมซะหน่อย”
“อีกไม่กี่วันฉันจะรับเมียฉันมาอยู่ที่นี่....”
“เมีย?.....ผู้หญิงที่พี่จะจัดงานแต่งตั้งแต่เดือนที่แล้วน่ะหรือครับ?”
“ใช่....แต่จะไม่มีงานเลี้ยงฉลอง แค่ให้เขามาอยู่ที่นี่ ฉันอยากให้แกสานสัมพันธ์กับคุณกิมากกว่าจะเป็นฉัน อายุเขาก็รุ่นราวคราวเดียวกับแกน่าจะเหมาะสมกว่า”