คอนโดของภาคี
ลลิตามาถึงคอนโดในเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบห้านาที เธอมาถึงก่อนเวลาเพราะต้องการให้เขารู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับนัดหมายครั้งนี้มากเพียงใด
เวลาสองทุ่มพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกินแม้แต่สักวินาทีเดียว โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
“ขึ้นมาได้เลย” เสียงราบเรียบสั่งมาตามสาย ลลิตาหันซ้ายหันขวา เขาจะให้ขึ้นไปที่ไหน ตอนนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องของเขาอยู่ชั้นไหน ห้องไหน
“เดี๋ยวมีคนไปรับ”
“ค่ะ”
ลลิตาวางสายเพียงไม่นาน พนักงานฝ่ายต้อนรับก็เดินเข้ามาหาพร้อมทั้งเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท เดินนำไปกดลิฟต์ในชั้นที่ต้องสแกนลายนิ้วมือและบอกถึงห้องของภาคี
เมื่อเดินออกจากลิฟต์ก็หันมองไปทางห้องด้านขวาตามที่พนักงานต้อนรับบอกกับเธอ ตอนนั้นลลิตายังคิดว่าพนักงานคงลืมบอกหมายเลขห้อง แต่เปล่าเลย เพราะชั้นนี้คงไม่ต้องมีหมายเลขห้อง ด้วยทั้งชั้นมีแค่สองห้องเท่านั้น ขวาและซ้าย ทางด้านขวาคือห้องของภาคี ยิ่งเดินเข้าใกล้ประตู หัวใจของเธอยิ่งเต้นแรง
มือบางบีบกันแน่นเพราะความตื่นเต้น หญิงสาวยังไม่ทันจะกดปุ่มเรียกคนข้างใน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
ทั้งสองต่างมองหน้ากันอยู่นาน สิบเอ็ดปีของการจากลา สิบเอ็ดปีที่เคยเจอกันบ้างในระยะไกล ๆ เท่านั้น สิบเอ็ดปีนี้ทำให้เขาและเธอโตขึ้น สิบเอ็ดปีนี้ที่ทำให้เขาและเธอเจอคนมากมาย
“สวัสดีค่ะ” ลลิตายกมือขึ้นไหว้ เขาอายุมากกว่าเธอห้าปี คงไม่แปลกที่เธอจะยกมือไหว้ แม้จะเคยเป็นอดีตคนรักก็ตาม
“สวัสดี เข้ามาก่อน” ภาคีเองก็ไม่ต่างจากเธอ ภาพในวันวานของทั้งคู่ยังชัดเจนในความทรงจำ
“ดื่มอะไรหน่อยไหม” ภาคีเอ่ยถาม ดูออกว่าท่าทางของเธอค่อนข้างประหม่า
“น้ำเปล่าก็ได้ค่ะ” ลลิตาบอกเขาอย่างสุภาพ ก่อนที่เธอจะนั่งลงตรงโซฟาตัวใหญ่ มองไปรอบ ๆ ห้อง รู้ว่าเพนต์เฮาส์ห้องนี้คงราคาไม่ต่ำกว่าสองร้อยล้าน เรื่องที่เธออยากคุยกับเขาน่าจะง่ายขึ้นมาบ้าง
“น้ำ” ภาคียื่นขวดน้ำแร่ไม่แช่เย็นให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” ลลิตากล่าวขอบคุณ ขวดน้ำแร่นี้ทำให้เธอใจชื้นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยเขาก็ยังจำได้ว่าเธอไม่ดื่มน้ำเย็น
“มีธุระอะไร” ภาคีเอ่ยถามเสียงเรียบ แม้จะรับรู้ข่าวคราวของเธอมาโดยตลอดอยู่แล้ว
“คือ...คือ ลิตาจะมาขอยืมเงิน สักยี่สิบล้าน” ลลิตาพูดออกไปทั้งมือไม้ก็สั่นไปหมด นอกจากธนาคารแล้วเธอไม่เคยกู้ยืมเงินใคร แต่ครั้งนี้ไม่มีธนาคารไหนยอมปล่อยเงินกู้ให้เพราะเรื่องคดีของพ่อเธอ
“เอาไปทำอะไร” ภาคีเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขายังคงนิ่ง เมื่อครั้งคบกันน้ำเสียงและสีหน้าเขาไม่ได้นิ่งเท่านี้ คงเพราะเขาโตขึ้น ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายและหน้าที่การงาน
“อย่างที่คุณก็น่าจะเห็นในข่าว ศาลสั่งให้ยึดทรัพย์ของพ่อแล้วขายทอดตลาด บริษัทของลิตามีชื่อพ่อถือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เลยต้องขายออกเพราะศาลสั่งเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้” ลลิตาอธิบาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องอธิบายเรื่องแบบนี้ให้เขาฟัง การคบหาดูใจระหว่างเขากับเธอในช่วงเวลานั้นคุยกันแค่เรื่องที่มีความสุข ไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง
“แล้วแฟนเธอล่ะ” คำถามที่ทำให้หญิงสาวอึ้ง เขารู้สินะว่าเธอมีแฟน
“เลิกกันแล้ว ตั้งแต่ตอนพ่อโดนจับ” เสียงของเธอเบาหวิว ลูกสาวของผู้ต้องหาคดีฉาว คงไม่มีใครอยากข้องเกี่ยว เขาไม่ผิดหรอกที่เลือกครอบครัว ถ้าเป็นเธอก็คงทำเหมือนเขา
“หึ” เสียงเข้มสบถในลำคออย่างเย้ยหยัน ไม่รู้ว่าคนที่เขาเย้ยหยันนั้นคืออดีตแฟนหนุ่มหรือตัวเธอกันแน่
“คุณคีย์พอจะช่วยซื้อได้ไหมคะ เดี๋ยวลิตาจะผ่อนใช้ให้” ลลิตามองหน้าเขาอย่างขอร้อง ในสายตาที่เขามองมาทางเธอแสนอ้างว้าง เฉยชา ความรู้สึกไร้ซึ่งศักดิ์ศรีเป็นอย่างนี้สินะ
เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ เงินเป็นสิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าคือการไม่มีเงิน แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าเงินคือความรัก ถ้าเธอไม่รักบริษัทที่สร้างมากับมือ ก็คงไม่ต้องมานั่งหน้าด้านหน้าทนขอร้องคนในอดีตอยู่แบบนี้ แต่เพราะบริษัทนั้นคือสิ่งเดียวที่เธอมี
บริษัทที่เป็นดั่งลมหายใจของเธอ ที่นั่นคือความรักของเธอ ลลิตามองหน้าเขานิ่ง รอว่าเขาจะตอบอะไรบ้างสำหรับคำขอนี้ กับบริษัทเล็ก ๆ ของเธอมูลค่าแค่ไม่กี่สิบล้าน
“ทำไมต้องช่วย” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ
ลลิตานิ่งอึ้งกับคำถามของชายหนุ่ม นั่นสิ ทำไมเขาต้องช่วยเธอ
“เอ่อ” เธอเองก็คิดไม่ออกว่าเขาจะช่วยด้วยเหตุผลอะไร
ทั้งสองต่างมองหน้ากันนิ่ง แม้จะรู้ว่าเธอต้องเสนออะไรให้เขา แต่เพราะตอนนี้ตนเองไม่ใช่เด็กสาววัยสิบแปดที่สดใสอีกแล้ว เรือนร่างที่เขาเคยชื่นชอบ เขาอาจไม่ต้องการแล้วก็ได้
“ถ้าลิตายอมทุกอย่างที่คุณคีย์ต้องการ คุณคีย์พอจะช่วยได้ไหมคะ” เอ่ยข้อเสนอออกไปแล้ว ลลิตาก็เม้มปากแน่น ถึงจะอายแค่ไหนก็ตาม แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น
“จะเอาตัวเธอมาแลกกับเงินยี่สิบล้านอย่างนั้นเหรอ” ภาคีถามขึ้น น้ำเสียงของเขายังคงเรียบนิ่ง ไม่มีความรู้สึกใด ๆ อยู่ในน้ำเสียงนั้น
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ลลิตาพูดพร้อมกับมองหน้าเขา ทั้งสองต่างไม่มีใครละสายตาจากกันและกัน