ตอน ๑
ข้อมูลโรงแรมระดับสามดาวครึ่ง บนถนนวิภาวดีที่ส่งมาจากเวทิตนายหน้าเจ้าประจำ สะดุดตา ‘ภีมวัจน์ กฤตชยางกูร’ ตรงที่มีเลข ‘16’ เข้ามาเกี่ยวข้องหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราคาประกาศขายห้าร้อยสิบหกล้านบาท มีหนึ่งร้อยสิบหกห้อง บนที่ดินสองไร่สองงานสิบหกตารางวา เปิดกิจการมาแล้วสิบหกปี บวกกับความบังเอิญอื่นๆ ที่นายหน้ารู้ใจขีดเส้นใต้มาให้เพิ่มเติมนั่นคือ ลูกสาวเจ้าของโรงแรมมีอายุสิบหก เกิดวันที่สิบหก เวลาสิบหกนาฬิกาสิบหกนาที และอายุห่างกับเขาสิบหกปี
เขาเองก็เกิดวันที่สิบหก เวลาสิบหกนาฬิกาสิบหกนาที พ่อเขาก็เกิดวันที่เดียวกัน จบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุในวัยห้าสิบปี ตอนเขาอายุยี่สิบหกปีพอดิบพอดี เขารู้ว่าเวทิตไม่คิดจะผูกเขากับเด็กวัยสิบหกไปในทางอื่นใด นอกจากใช้เป็นเหตุจูงใจ ให้เขาสนใจโรงแรมนี้เท่านั้น และมันก็ได้ผลไม่น้อย จนเมลบอกให้นัดกับเจ้าของเพื่อเจรจาโดยเร็ว
จากนั้นเขาก็เลื่อนแฟ้มบนโต๊ะมาเปิดอ่านอย่างละเอียดละออ ก่อนจะจรดปลายปากกาอนุมัติลงไป ถ้าไม่พอใจหรือไม่เห็นด้วย เขาจะขีดฆ่าในส่วนที่รายงานนั้น ‘ทำผิด’ เขาเบื่อหน่ายนิดๆ กับความผิดซ้ำซากจำเจของพนักงาน จนต้องเสียเวลามาตรวจเสียเอง และตอนนี้เขาเดินเฉียดคำที่พ่อมักจะพูดเสมอๆ เมื่อครั้งยังมีชีวิตว่า ‘ผู้จัดการสันดานกรรมกร’ ไปทุกทีๆ แล้ว
จนถึงเวลาเที่ยงครึ่งถึงได้ออกจากออฟฟิศบนชั้นห้า ซึ่งเป็นชั้นบนสุดที่เขายึดเป็นออฟฟิศของครอบครัวไปโดยปริยาย ส่วนพนักงานอื่นๆ จะทำงานอยู่ชั้นใต้ดินของตึก
“คุณหนาวจะกลับเข้ามาก่อนไปโรงงานหรือเปล่าคะ” ขจีเลขาพ่อที่กลายมาเป็นเลขาเขาเอ่ยถามเจ้านายด้วยน้ำเสีไปยังฟู๊ดคอร์ทตรงชั้นสอง ยงนุ่มนวลกับท่าทีนอบน้อม
“ไม่ครับ มะรืนถึงจะเข้า”
เจ้านายหนุ่มหล่อตอบด้วยน้ำเสียงสีหน้าและท่าทางไม่ต่างกันนัก แล้วเดินไปหาบันไดแทนการใช้ลิฟต์ เพราะอยากออกกำลังกายควบคู่กับการเดินดูอะไรต่อมิอะไรในห้างสรรพสินค้าลานนา สแควส์ ของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นแค่โชว์รูมชั้นเดียว ขายกระเป๋ากับเสื้อผ้าแบรนด์ ‘PK’ มาจาก ‘ภีมากรณ์-ภีมภา กฤตชยางกูร’ เป็นชื่อพ่อแม่กับนามสกุลเท่านั้น
จากห้องชั้นเดียวเปลี่ยนมาเป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นสามคูหา ในเวลาหกปีหลัง แล้วมีอาคารห้าชั้นสามคูหามีพื้นที่กว้างขวาง ร้านรวงเป็นร้อยๆ เพิ่มขึ้นมาในเวลาเพียงห้าปีต่อจากนั้น ด้วยฝีมือของเขาล้วนๆ หลังพ่อจากไป เขาจะต้องเป็นหัวเรือใหญ่ให้คนในบ้านและในบริษัท
เขามักจะต้องคอยยกมือรับไหว้บรรดาเจ้าของร้านค้า ที่เขาเดินผ่านเพื่อไปยังฟู๊ดคอร์ทตรงชั้นสอง กินมื้อเที่ยง และมักจะช้ากว่าใคร อันที่จริงเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องเดินมาเองก็ได้ เพียงแค่สั่งเลขาก็ได้จานข้าวมาตั้งตรงหน้าแล้ว แต่อยากดูความเรียบร้อยไปเรื่อยๆ ทุกซอกทุกมุมถ้ามีเวลา จะได้พัฒนาห้างสรรพสินค้าให้ทันสมัยและไม่ตกเทรนด์
เขาเลือกข้าวขาหมูแบบไม่เอาหนังไม่เอามัน และจะต้องเป็นมื้อเที่ยงเท่านั้นที่จะเอามันเข้าปากได้ เพราะมีเวลาย่อยได้อีกหลายชั่วโมง กว่าจะถึงเวลาเข้านอน แม้จะนั่งปะปนอยู่กับคนมากมาย แต่ไม่มีใครลบรัศมีความหล่อเหลาของเขาได้ เขามักจะกลายเป็นเป้าสายตาให้ใครต่อใครมองจนชาชินไปแล้ว
‘ถ้าคุณหนาวไปเป็นดารา จีว่าดังระเบิดไปนานแล้ว ไม่ต้องมานั่งตรวจงานหลังขดหลังแข็งอยู่อย่างนี้หรอกค่ะ’
เลขาสาวใหญ่วัยสี่สิบแปดมักจะหยอกเย้าไม่เคยหยุดสักที เขาก็มักจะอดหัวเราะไม่ได้ ถ้าคิดเอาดีทางนี้คงอยู่ยากพิลึก นี่ขนาดไม่เป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่ เวลาเดินเข้ามาในห้างก็มักจะถูกมองตลอด แรกๆ เขาอายแต่หลังๆ กลายเป็นความชาชิน
‘คุณหนาวคะ จีเอาของทุกอย่างไปไว้ที่เครื่องให้แล้วนะคะ’
เขาอ่านไลน์เสร็จก็ลุกออกจากโต๊ะ เดินขึ้นบันไดหนีไฟไปดาดฟ้ายูโรคอปเตอร์ จอดรออยู่ มีผู้จัดการโรงงาน ร้านค้า ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายนั่งรออยู่ เพื่อตรงไปยังโรงงานกระเป๋ากับเสื้อผ้าที่แม่สาย ซึ่งเขาจะต้องไปตรวจตราดูสองอาทิตย์ครั้ง แม้จะมีน้องสาวคนรองดูแลอยู่แต่เขาก็ไม่เคยปล่อย
ไม่ถึงชั่วโมงเฮลิคอปเตอร์ประจำครอบครัวและรับเหมาทั่วไปในกลุ่มคนสนิท ก็ร่อนลงจอดตรงลานกว้างข้าง ‘บริษัท พี.เค. เอ็กซ์พอร์ต อินดัสเทรียล จำกัด’ เรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่บ้านปัจจุบันอยู่เชียงใหม่ แม่และน้องๆ ก็อยู่ที่นั่น แต่เขาก็ยังไม่ยุบโรงงานนี้ เพราะสงสารคนงานเก่าๆ ที่เป็นคนในละแวกนี้ ทำงานมาตั้งแต่พ่อแม่เริ่มต้นกิจการ และเป็นบ้านเกิดของพ่อ ซึ่งเมื่อก่อนเป็นเพียงร้านรับซ่อมกระเป๋ากับกับเสื้อผ้าเท่านั้น
‘พ่อฝันอยากมีกิจการที่เป็นปัจจัยสี่คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ถ้ามีลูกสี่คนก็จะให้เรียนสี่สายงาน จะได้ไม่ต้องง้อใครเพราะบ้านเรามีครบทุกอย่างแล้ว แต่โชคไม่ดีที่แม่มีได้แค่สาม เพราะฉะนั้นหนาวจะต้องรับเหมาไปคนเดียวสองอย่างในฐานะเป็นพี่คนโตและเป็นผู้ชายด้วย’
นั่นคือความฝันที่พ่อมักจะบอกเขากับน้องๆ เสมอๆ แต่พ่อก็ทำได้แค่สอง นั่นคืออาหารแช่เยือกแข็ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นอาหารเหนือ ภายใต้ชื่อ ‘MealMe’ โรงงานตั้งอยู่สันกำแพง กับเครื่องนุ่งห่ม มีเสื้อผ้าบุรุษ รองเท้ากับกระเป๋าเดินทางเป็นตัวเอก เขากับน้องคนกลางช่วยกันดูแล เพราะน้องเรียนจบด้านแฟชั่นดีไซน์มา ส่วนเขาจบเภสัชกรแต่ถนัดงานบริหารมากกว่า
ฝันที่สามของพ่อเขากำลังจะลงมือทำในเร็ววัน ส่วนฝันสุดท้ายที่เขารอบรู้ แต่กลับไม่อยากทำสักเท่าไหร่ ที่เรียนก็เพราะตามใจพ่อ เลยเอาไว้ทำเป็นเรื่องท้ายๆ อาจจะเป็นแค่ร้านขายยาหรือโรงพยาบาล ซึ่งน้องคนเล็กที่จบอายุรแพทย์มาต้องรับไปดูแล แต่น้องก็ยังไม่พร้อม เพราะอยากทำงานช่วยรักษาคนยากจนอยู่โรงพยาบาลเล็กๆ ในเชียงดาวก่อน