เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายังคงเป็นเป้าสายตาให้สาวๆ ในโรงงานมองไม่รู้เบื่อ ขณะก้าวเข้าไปยังห้องประชุม ที่มี ‘ภีมภรณ์ กฤตชยางกูร’ ผู้เป็นน้องคนกลาง กับหัวหน้าฝ่ายอื่นๆ รออยู่แล้ว ความเป็นคนจริงจังในการทำงานของเขา เล่นเอาทุกคนต้องนั่งหน้านิ่วเกือบสองชั่วโมงกว่าจะเสร็จ
“พี่หนาวจะไปกรุงเทพฯ เมื่อไหร่นะ”
น้องสาวเอ่ยถาม ระหว่างเดินออกจากออฟฟิศตรงไปขึ้นเครื่องด้วยกัน เพื่อขึ้นเครื่องกลับบ้านพร้อมพี่ ในวันที่พี่มาประชุม ส่วนวันอื่นภีมภรณ์จะนอนบ้านพักที่นี่ เช้าวันจันทร์จะให้คนรถที่บ้านขับมาส่ง
“พรุ่งนี้”
ความเป็นคนพูดน้อยทำให้พี่ตอบสั้นๆ แล้วก็เงียบไปตลอดการเดินทาง กระทั่งเจ้านกยักษ์ร่อนลงจอดลานหลังบ้านเรือนไทยทรงล้านนาส่งสองพี่น้อง ก่อนจะร่อนขึ้นไปรับจ๊อบอื่นแล้วแต่จะมีคนจ้างเหมา เขาหยุดยืนดูความเรียบร้อยตรงสนามหญ้าที่หนานวงศ์กำลังจัดแต่งอยู่อีกฟากครู่หนึ่ง ถึงเดินตามน้องสาวเข้าไปใต้ถุนบ้านที่โล่งโปร่ง ลมพัดผ่านตลอดเวลา พื้นปูกระเบื้องสีขาวสะอาดตา มีส่วนครัว โต๊ะกินข้าว ชุดรับแขกกับมุมนั่งเล่นอยู่ในนั้นพร้อมสรรพ
“เห็นหน่อยบอกว่าพรุ่งนี้จะไม่อยู่เหรอหนาว”
ยังไม่ทันได้นั่ง ‘ภีมภา กฤตชยางกูร’ หรือคนสนิทจะเรียกแค่ ‘แม่หนุน’ ก็ถาม แต่ไม่ได้หันมาหาลูก คนถูกถามได้ยินชัดเจน แต่ไม่ได้ตอบ นอกจากสลัดรองเท้า แล้วนั่งเดย์เบดนุ่มๆ อย่างสบายอารมณ์ มือก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแล้วถอดออก โยนไปใส่โต๊ะกลางไม้สักเก่าแก่ เปิดกระเป๋าคว้าแท็บเล็ตออกมาวางตรงหน้าขา มีหมอนรองไว้อีกชั้น
“หนาวๆ แม่ถามไม่ได้ยินหรือไง”
เมื่อลูกไม่ตอบแม่เลยย้ำอีก ตาก็มองหม้อขณะตักชิม พอรสชาติถูกปากแล้วก็พยักหน้าให้สายใยคนรับใช้คู่บ้านวัยสี่สิบห้าปีไม่หนีหนานวงศ์ผู้เป็นสามีจัดขึ้นโต๊ะ “ตกลงยังไงแน่หนาว อยู่หรือไม่อยู่”
ปากถามย้ำอีก ขาก็เดินมาทรุดกายลงนั่งตรงเก้าอี้ใกล้พัดลม หลังอยู่กับหม้อแกงจนได้เหงื่อเต็ม น้องสาวหันไปมองพี่ ยังเห็นนั่งทำงานนิ่งเลยส่งเสียงสะกิดดังๆ “พี่หนาว!”
“เอ้ย!” คนพี่ขานรับแค่นั้น แต่ตายังคงจ้องหน้าจออยู่
“ไม่ได้ยินที่แม่ถามหรือไง ว่าตกลงอยู่หรือไม่อยู่พรุ่งนี้น่ะ จะได้จัดการถูก” น้องเลยย้ำยืดยาว แต่ไม่ได้โกรธที่พี่ไม่ยอมเปิดปากสักนิด เพราะเจอมาตลอดชีวิตแล้วกับท่าทีแบบนี้
“มีไรน่าสนใจล่ะ” คนถูกถามเอ่ยยาวขึ้นอีกนิด
“ดูถามเข้า วันเกิดตัวเองแท้ๆ มันน่านั่งนิ่งๆ ไม่ทำอะไรให้นักเจ้าลูกคนนี้ กว่าจะพูดได้แต่ละคำ ฉันล่ะเบื่อ! ทำไมถึงได้ปากหนักเหมือนพ่อนักนะ จะทำอะไรก็มาบอกกันให้รู้ชัดๆ บ้าง คนในบ้านจะได้ทำตัวถูก”
นั่นล่ะคนถูกบ่นถึงได้ยอมละสายตาจากเครื่อง แล้วพาร่างสูงใหญ่ที่ท่อนบนมีเสื้อกล้ามหุ้มเอาไว้เดินมาทรุดกายลงนั่งตรงโต๊ะอาหารจ้องมองแต่ละจานที่สายใยลำเลียงมาวาง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเมนูที่ไม่ได้ใช้น้ำมันปรุงทั้งสิ้น เขาคว้าช้อนมาทำท่าจะตักแกงเลียงร้อนๆ มาชิม แต่พอเห็นแม่กับน้องจ้องมาหาเลยต้องวางก่อน
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่จะไปคุยเรื่องโรงแรมที่จะซื้อตอนเที่ยงๆ ถ้าแม่เตรียมทำอะไรไว้ ผมก็บินกลับมาได้ ว่าแต่แม่ทำอะไร”
“ไม่บอก! ปล่อยให้งง!”
หลังเฮลิคอปเตอร์ร่อนลงส่งตรงลานจอดบนดาดฟ้าชั้นที่ห้าสิบของคอนโดมิเนียมย่านพระโขนงแล้ว ภีมวัจน์ก็เรียกแท็กซี่ไป ‘PS Boutique Hotel’ ก่อนเวลานัดชั่วโมงครึ่ง เพราะอยากจะสำรวจตรวจตราดูอะไรรอบๆ แบบไม่ให้ใครรู้ก่อน พอเห็นสถานที่จริงด้วยสายตาจนพอใจแล้วก็เดินกลับเข้าล๊อบบี
“ขอเอสเพรสโซ่ มัคคิอาโตที่หนึ่งครับ”
เขาอยากลองชิมดูว่ากาแฟที่นี่เป็นยังไง เห็นคนรับออเดอร์ทำหน้างงๆ เขายิ้มให้เล็กน้อย แล้วชี้ไปยังลำดับเมนูบนบอร์ดด้านหลัง คนทำหน้างงถึงได้ยิ้มตาม นั่นแปลว่าขาดความเข้าใจในสินค้าที่ขายอยู่ทุกวี่วัน จากนั้นเขาก็ไปนั่งรอตรงชุดรับแขก
“เอากาแฟเย็นๆ มาแก้วหนึ่งนะ เร็วๆ ด้วย! ร้อน!”
นั่งยังไม่ถึงครึ่งนาทีก็มีเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น เขาหันไปมองครู่เดียว เพราะไม่อยากเสียมารยาท กระนั้นก็รู้ว่าชายใจร้อนน่าอยู่ในวัยกลางแล้ว แต่ยังใส่กางเกงยีนส์เสื้อยืดรองเท้าหนังมันวาว บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าสำอางค์และว่างงานน่าดู
“เร็วๆ สิ! บอกว่าร้อนไง ชักช้าอยู่นั่นล่ะ เป็นแบบนี้ไงลูกค้าถึงได้ไม่เข้าร้าน เดี๋ยวไล่ออกซะเลยนี่!”
พนักงานเลยต้องแซงคิวให้ก่อน และน่าจะเพราะความรำคาญแทนการกลัว พอหนุ่มเสียงดังได้แล้วก็เดินไปดูดไปอย่างคนไม่คิดอะไรมาก เขาเห็นพนักงานทำหน้าบอกบุญไม่รับกับเพื่อนร่วมงานข้างกัน
“มาแต่ละทีทำเอาคนวุ่นไปหมด! ไม่รู้จะมาทำไม พี่น้องกันอะไรต่างราวฟ้ากับเหว!” แล้วบ่นโดยไม่เกรงว่าใครได้ยิน แม้อยากรู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร มีความสำคัญยังไงกับโรงแรมนี้ แต่เขาไม่คิดจะถามพนักงานที่ยกแก้วมาเสิร์ฟให้ เพราะมีเวทิตให้ถามทั้งคนแล้ว
“คุณหนาว! สวัสดีครับ มานานหรือยังครับ” ยกแก้วขึ้นจิบได้ไม่กี่ครั้งก็ต้องวางลง แล้วรับไหว้เวทิตหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบแต่งกายภูมิฐานสมเป็นคนขายเข้าสายเลือดก่อน
“คุณปา คุณปัญครับ นี่คุณภีมวัจน์ครับ หรือจะเรียกว่าคุณหนาวตามผมก็ได้ครับ” ตามด้วยต้องรีบยกมือไหว้สองสามีภรรยาเจ้าของโรงแรม
“เราขึ้นไปคุยบนออฟฟิศดีกว่ามั้ยครับ” เวทิตรีบเอ่ยชวนทันที
“เชิญค่ะ”
ปาริดาในวัยห้าสิบสองตามรายงานที่ได้จากเวทิตนั้น ดูหุ่นบางร่างน้อย ใบหน้าอ่อนวัยกว่าอายุเป็นสิบปี ผิดกับปัญญาที่หน้านำอายุเยอะแล้ว แต่ความเป็นกันเอง กับการให้เกียรติผู้อื่น ทั้งสองดูเหมือนจะไม่ต่างกันนัก ขึ้นมาไม่นานก็ถึงชั้นสอง ซึ่งใช้เป็นออฟฟิศมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ห้องทำงานของทั้งสองก็ไม่ใหญ่สักเท่าไหร่