บทที่ 6 คนป่วย

1589 คำ
กว่าจะเดินทางมาถึงจวนประมุขมารก็ใช้เวลาถึงเจ็ดวันอย่างที่อาจินพูดไว้ หากแต่การเดินทางไกลในครั้งนี้กลับไม่ลำบากอย่างที่คิด เพราะหลังจากมาถึงที่พักในวันที่สอง กลับพบว่ามีขบวนเกี้ยวเจ้าสาวขบวนใหม่รอรับอยู่ แม้จะถูกบ่าวรับใช้จากสกุลเซียวต่อว่าเรื่องผิดธรรมเนียม แต่ฝั่งศิษย์พรรคมารบูรพาที่ทำหน้าที่คุ้มกันข้า กลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย โดยอ้างคำสั่งจากประมุข ครั้นมีการเอ่ยนามประมุขมาร มีหรือที่บ่าวรับใช้ตัวเล็กๆ ไร้อำนาจจะกล้าแย้ง พวกเขาทำได้เพียงแค่เก็บงำความไม่พอใจแล้วกลับบ้านไปพร้อมกับเกี้ยวเปล่า แต่เกี้ยวเจ้าสาวที่พรรคมารส่งมาให้นั้นก็สะดวกสบายไม่น้อยเลย ทั้งที่นั่งที่บุด้วยขนสัตว์หนา บรรเทาความระบมได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีทั้งหมอ และพ่อครัวในขบวนอีกด้วย พวกเขาต่างดูแลข้าเป็นอย่างดีจนน่าหวาดระแวง ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างไม่แสดงสีหน้า แต่กลับแย่งกันเข้ามาดูแลข้าราวกับกลัวว่าข้าจะหนีไป โดยเฉพาะอาหลีและอาจินที่เอาแต่พร่ำพรรณนาถึงความเก่งกาจและความยิ่งใหญ่ ของตงฟางอวิ๋นเซียวให้ข้าฟังตลอดเส้นทาง โดยบางครั้งก็ทำให้ข้าเผลอคิดไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ กับเรื่องราวที่อ่านมาก่อนหน้านั้น ช่างแตกต่างกันเกินไป เพราะในนิยายได้บรรยายความรู้สึกขมขื่น การถูกเลือกปฏิบัติอย่างเย็นชาจากผู้คนรอบข้างของเซียวเฉิงซิน ทว่าในตอนนี้ข้ากลับรู้สึกได้ถึงความรักและความปรารถนาดีอย่างท่วมท้นจนน่ากลัวมากกว่าเสียอีก ไม่ว่าตอนที่ข้าขยับตัว อาหลีที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็จะเอ่ยปากถามทันทีว่าข้าไม่สบายตัวใช่หรือไม่ พร้อมกับเตรียมจะนวดให้ข้าทุกครั้ง ขอเพียงแค่เอ่ยปากเท่านั้น หรือในตอนที่ข้าเผลอไอออกมาระหว่างนั่งพักด้านนอก ท่านหมอพร้อมกับผู้ช่วยก็จะรีบเข้ามาถามไถ่อาการด้วยความกระวนกระวายทันที กระทั่งในตอนที่ข้าเผลอร้องออกมาเพราะน้ำแกงร้อนเกินไป พ่อครัวก็รีบขอโทษข้าพร้อมกับออกไปจับปลาเพื่อทำน้ำแกงหม้อใหม่ให้ข้าโดยเฉพาะ รวมถึงเหล่าลูกศิษย์พรรคก็ชอบเอาดอกไม้และผลไม้มาให้ข้ากินแก้เบื่อระหว่างทาง การกระทำที่ตรงข้ามกับความทรงจำเหล่านี้ ทำให้ข้าสับสนจนคิดมาก จนกระทั่งเดินทางมาถึงเมืองที่อยู่ไม่ห่างจากหุบเขาอันเป็นสถานที่ตั้งของฐานทัพพรรคมารบูรพา และในตอนนั้นตัวข้าก็ล้มป่วยลงจนได้ ซึ่งทำให้ทั้งขบวนเกิดความโกลาหลขึ้น “ท่านหมอ ท่านต้องช่วยนายหญิงให้ได้นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นพวกเราทั้งขบวนได้ถูกท่านประมุขจับแขวนที่หน้าประตูเมืองแน่!” อาหลีเขย่าตัวท่านหมออย่างแรง ทำเอาอาจินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วลากนางออกไปแทน ท่านหมอส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันมาคุยกับข้าที่นอนซมอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้ข้ารู้สึกหนาวจนสั่นไปทั้งกาย หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาข้างนอก ทั้งศีรษะก็ปวดร้าวและร้อนจนแทบระเบิด ทรมานจนไม่อยากรับรู้ความเจ็บปวดเหล่านี้ “นายหญิงร่างกายของท่านอ่อนแอเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน ไม่เหมาะที่จะเดินทางไกลเช่นนี้ แล้วก่อนหน้านี้ท่านก็เพิ่งป่วยหนักใช่หรือไม่ขอรับ” ท่านหมอถามขณะตรวจชีพจรของข้าไปด้วย ทั้งที่รู้สึกตัวทว่าข้ากลับไม่มีแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมา จึงทำได้แค่พยักหน้า ที่จริงไม่ใช่แค่ป่วยหนัก แต่ต้องเรียกว่าตายไปแล้วหนหนึ่งต่างหาก และหากข้าไม่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางก็คงตายไปแล้วจริงๆ “อาจิน!” “เจ้าค่ะท่านหมอ” อาจินรีบเข้ามาในรถม้าแล้วปิดประตูทันทีเพื่อไม่ให้ลมหนาวจากภายนอกโกรกเข้ามา ท่านหมดจดบางอย่างลงกระดาษคล้ายใบสั่งยาแล้วยื่นให้นาง “นายหญิงอาการไม่คงที่เท่าใดนัก รีบนำใบสั่งยานี้ไปที่ร้านขายสมุนไพร บอกว่าข้าต้องการเร็วที่สุด” “เจ้าค่ะ” อาจินรับคำแล้วใช้ทักษะของตนเองพุ่งกระโจนออกไปตามคำสั่งของท่านหมอทันที ท่านหมอช่วยเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาจากหน้าผากให้ข้าอย่างใจเย็น แม้ว่าสายตาของผู้อาวุโสนั้นจะเต็มไปด้วยความกังวลอย่างมากก็ตาม แต่ก็ยังมีทั้งความห่วงใยและอ่อนโยน คงเพราะไม่อยากให้เจ้าสาวที่หายากเช่นข้ามาตายระหว่างทางกระมัง ยิ่งอยู่ในช่วงที่ตงฟางอวิ๋นเซียวได้ถอดใจจากการแก้คำสาปแล้ว ทำให้สถานการณ์ภายในพรรคเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากตงฟางอวิ๋นเซียวจากไปในปีหน้า พรรคมารบูรพาคงถึงกาลล่มสลาย ท่านหมอเรียกอาหลีให้มาอยู่เป็นเพื่อนข้า แล้วสั่งให้เช็ดเหงื่อออกจากตัวข้าเป็นระยะ รอจนกว่าอาจินจะกลับมา ทว่าสีหน้าของอาหลียามมองข้ากลับไม่สู้ดีเลยสักนิด และดวงตาของนางก็บวมเป่งราวกับผ่านการร้องไห้ ยิ่งทำให้ข้าประหลาดใจ ไม่คิดว่านางจะกลัวตายขนาดนี้ “อาหลี... เจ้าวางใจเถิด ข้าป่วยไม่นานหรอก” ข้าพยายามปลอบ ทว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบแห้งราวกับไม่ได้ดื่มน้ำมาสิบปี ไม่นานข้าได้ยินเสียงดังดูวุ่นวายจากข้างนอก คงเพราะว่าอาจินได้กลับมาแล้ว และท่านหมอคงกำลังปรุงยาให้ข้า อาหลีที่นั่งเฝ้าไข้อยู่ข้างๆ มองข้าด้วยความห่วงใย “นายหญิง... ข้าน่ะ ชอบนายหญิงจริงๆ นะเจ้าคะ ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นท่าน... ยืนอยู่ในเรือนรับรองเลยเจ้าค่ะ” คำสารภาพของอาหลีทำให้ข้ารู้สึกเอ็นดูไม่น้อย แต่บางครั้งก็นึกสงสัย เพราะนางพูดราวกับรู้จักข้ามาก่อน “หลังจากนี้อย่าเจ็บป่วยอีกเลยนะเจ้าคะ อยู่กับพวกเราไปนานๆ นะเจ้าคะ ท่านประมุขจะต้องดีใจที่เห็นท่านมาด้วยตัวเองเป็นแน่เจ้าค่ะ” อาหลีกุมมือข้าพร้อมพูดไปด้วย นางคงกลัวว่าข้าจะหมดสติไปเสียก่อนที่ยาสมุนไพรจะปรุงเสร็จ ข้าพยักหน้าเบาๆ ความจริงไม่ใช่แค่พวกนางที่ดีใจ แต่ข้าเองก็ตื้นตันใจไม่แพ้กัน เพราะตั้งแต่เกิดมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าป่วยแล้วได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แล้วอย่างนี้ข้าจะทำให้พวกเขาผิดหวังได้อย่างไร เพราะหากข้าป่วยตาย พวกเขาทั้งหมดคงถูกส่งมาอยู่เป็นเพื่อนข้าในปรโลกเป็นแน่ “อืม... หลังจากนี้ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าเป็นกังวลอีก” ทว่าหลังจากที่พูดจบ ขอบตาของอาหลีกลับเจิ่งนองจนข้าตกใจ แต่นางกลับกุมมือข้าเอาไว้แล้วยกขึ้นแนบหน้าผากราวกับกำลังแสดงความภักดี “ไม่ว่าท่านจะทำให้ข้ากังวลมากเท่าใดก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอแค่มีท่านอยู่ พวกข้าก็จะอยู่เพื่อท่านเช่นกัน เพราะท่านคือคนสำคัญเจ้าค่ะ” คำพูดที่แปลกไปจากบทนิยายแต่กลับกระแทกเข้ากลางใจข้าอย่างรุนแรง เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะเป็นคนสำคัญสำหรับผู้อื่นด้วยเช่นกัน ข้าส่งยิ้มให้อาหลีอย่างจริงใจ “ข้ารู้แล้ว” เพียงไม่นานอาจินก็เข้ามาพร้อมกับถ้วยยาที่ถูกปรุงเสร็จใหม่ๆ แม้ว่ากลิ่นของมันจะฉุนจนยากจะกลืนลง แต่เพื่อทุกชีวิตที่อยู่ในฝ่ามือของข้า ข้าจึงจำเป็นต้องกินเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขา ข้ายกดื่มรวดเดียวท่ามกลางสีหน้าโล่งใจของสตรีทั้งสองตรงหน้า จากนั้นทั้งคู่จึงช่วยจัดแจงที่นอนให้ข้าได้นอนหลับอีกครั้ง ทว่าก่อนที่สติจะหมดลง กลับได้ยินเสียงของอาหลีกล่าวว่า “อีกไม่นานก็จะถึงจวนท่านประมุขแล้วเจ้าค่ะ” ปัจจุบัน “อืม...” ข้ารู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังสัมผัสใบหน้าของตัวเอง แผ่วเบาราวกับขนนก แต่ก็ทั้งสากและหยาบกระด้างจนต้องเบี่ยงหลบมัน ข้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แต่ยังคงมีอาการสะลึมสะลืออยู่เพราะพิษไข้และฤทธิ์ยาก่อนหน้านี้ ภาพตรงหน้าคือเสาเตียงตกแต่งด้วยผ้าสีแดง ครั้นลองกวาดสายตามองก็พบว่ามีแผ่นหลังกว้างกำยำบดบังแสงจากตะเกียงอยู่ ประจวบกับบนใบหน้าของข้ามีผ้าสีแดงคลุมอยู่ เมื่อเจ้าของร่างนั้นหันกลับมา ข้าจึงมองเห็นไม่ชัดเจนเท่าใด “เจ้า...” ข้าพยายามเค้นเสียงถาม พลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น หากแต่กลับถูกสองมือใหญ่ดันให้นอนลงอย่างง่ายดาย “นอน” เสียงทุ้มออกคำสั่งฟังดูดุดันยิ่งนัก ทั้งที่ไม่เคยรู้จักแต่กลับคุ้นเคยจนน่าประหลาดใจ “เจ้าเป็นใคร” ข้าถามอีกครั้ง ทว่ากลับได้รับความเงียบเป็นคำตอบ เมื่อพยายามใช้มือคว้าเอาไว้ แต่เจ้าของร่างนั้นกลับลุกพรวดขึ้นแล้วเดินออกห่างออกไป “นอนเสีย พรุ่งนี้เจ้าจะรู้เอง”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม