บทที่ 3
“กรี๊ด! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ แกจะจับฉันมาทำไม บอกแล้วยังไงว่าแกกำลังจับผิดคน”
จิลลาดาหวีดเสียงร้องลั่น ขณะถูกลากตัวเข้ามาในห้องสูทหรูหราภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง
“ร้องกรี๊ดๆ แบบนี้ตั้งแต่อยู่ในรถแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือยังไงใยไหม...”
ผู้พันจาฮัสด์ถามอย่างประชดประชัด เขา ฟังเสียงร้องกรี๊ดของหญิงสาวจนแสบแก้วหูไปหมดแล้ว
“บอกว่าชื่อแพรไหม เมื่อไรจะจำได้สักทีฮะ”
หญิงสาวตวาดลั่นโกรธจัดในทุกครั้งที่อีกฝ่ายเรียกเธอด้วยชื่ออื่น ซึ่งมันไม่ใช่ชื่อของเธอ
ผู้พันจาฮัสด์จ้องมองหญิงสาวเขม็ง ยอมเรียกชื่อของหญิงสาวตามที่เธอต้องการ “ตกลง แพรไหมก็แพรไหม ว่าแต่เจ้าไม่เหนื่อยหรือยังไง ตะโกนร้องตั้งแต่อยู่ในรถจนมาถึงห้องพักแล้วยังตะโกนไม่หยุดปาก”
“ถ้าเหนื่อยมันก็เรื่องของฉัน คุณมายุ่งอะไรด้วย” จิลลาดาตะคอกกลับ พร้อมกับออกคำสั่งเสียงเข้ม
“ปล่อยฉันกลับบ้านได้แล้ว”
“เจ้าจะกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อเจ้าบอกเราว่าเอาชุดไพลินล้อมเพชรของท่านแม่ไปซ่อนไว้ที่ไหน หรือเอาไปขายให้กับใครแล้ว”
“นี่คุณ! ทำไมพูดไม่รู้จักฟัง ก็ฉันบอกว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเครื่องเพชรที่คุณกำลังพูดอยู่ ฉันไม่รู้ด้วยว่าพวกคุณเป็นใครมาจากไหน ฉันไม่รู้จักคุณ”
“เจ้าไม่รู้จักเราก็จริง แต่เจ้าน่าจะรู้จักชีคฮาซัน ว่าที่พระสวามีที่เจ้าทรยศหักหลังพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์รักเจ้าจริงๆ”
“ชีคฮาซัน?”
จิลลาดาทวนคำอย่างงุนงง ตอนนี้เธอมีอาการไม่ต่างจากไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน
“จะให้พูดกี่ครั้ง ฉันก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าไม่รู้จักคนที่คุณกำลังพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นชีคฮาซัน หรือผู้หญิงที่ชื่อใยไหม”
“แพศยา!”
ผู้พันจาฮัสด์เค้นเสียงด่าลอดไรฟัน ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นในทันที เมื่อหญิงสาวบอกว่าจำเชษฐาของเขาไม่ได้
“นี่อย่ามาด่าฉันแบบนี้นะ”
หญิงสาวตวาดกลับ นาทีต่อมาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อร่างของเธอปลิวไปปะทะกับอกกว้างแข็งแกร่งตามแรงฉุดกระชากของอีกฝ่าย
“เจ้าจะบอกว่าไม่รู้จักท่านพี่ ทั้งๆ ที่เจ้าบำเรอรักให้กับท่านพี่ในทุกๆ วัน ตอนเจ้าอยู่รัฐคาไลยยังงั้นหรือ”
“ฉันไม่รู้จักใครทั้งนั้น ก็บอกแล้วยังไงว่าคุณจำคนผิด จับมาผิดคน ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ชื่อใยไหม ไม่ใช่ผู้หญิงที่เคยเอ่อ...เคยอยู่กับท่านชีคฮาซันที่คุณพูดถึง”
จิลลาดากระดากปากเกินกว่าจะพูดถึงการบำเรอรักให้กับท่านชีคที่ชายหนุ่มคนนี้ได้พูดถึง เธอจึงเลี่ยงไปใช้คำอื่นแทน กระนั้นใบหน้างามก็ยังคงแดงซ่านด้วยความอาย
สีหน้าผู้พันจาฮัสด์เริ่มบึ้งตึง ดวงตาลุกวาบด้วยเปลวไฟโทสะ เมื่อหญิงสาวบอกว่าจำเชษฐาของเขาไม่ได้
“เจ้าบอกว่าจำท่านพี่ของเราไม่ได้ ซึ่งมันคงหมายความว่าเจ้าคงจำรสรักจากท่านพี่ไม่ได้เช่นเดียวกัน”
“ฉันจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
จิลลาดาตอบเสียงแข็ง ซึ่งคำตอบของเธอเท่ากับเป็นการเทน้ำมันลงไปบนเปลวไฟให้ลุกโชนด้วยความโกรธกริ้ว ผู้พันจาฮัสด์รัดร่างบางไว้แน่น จนหญิงสาวรู้สึกราวกับว่ากระดูกกำลังจะแตกละเอียด เจ็บแปลบไปทั้งตัว แต่ก็ไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้
“จำไม่ได้ยังงั้นหรือ เจ้าจำไม่ได้ว่าท่านพี่บำเรอรักให้กับเจ้าอย่างไร จำไม่ได้ว่าตัวเองนั้นร่านรักมากเพียงใด และหากจำไม่ได้ว่าตัวเองเร่าร้อนเพียงใดเวลาอยู่บนเตียงกับท่านพี่ เราจะเป็นคนทบทวนบทรักให้กับเจ้าเอง”
ว่าแล้วมือใหญ่ก็กระชากชุดที่หญิงสาวสวมใส่ออกเต็มแรงจนเนื้อผ้าขาดติดมือเขามา
แคว็ก!!!
“กรี๊ดด!!! ไอ้คนถ่อย หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
จิลลาดาหวีดเสียงร้องด้วยความตกใจ รีบคว้าเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของตนเองไว้ พยายามยกมือปกปิดปทุมถันทั้งสองที่ถูกประคับประคองด้วยบราเซียร์ลูกไม้สีดำไว้ แต่เธอก็ไม่อาจสู้แรงของฝ่ามือใหญ่ได้ พอผู้พันหนุ่มเอื้อมมือมากระชากรอบสองก็คงเหลือแค่บราเซียร์ตัวเดียวที่ปกปิดเนินเนื้อเต็งตึง
“อืม...หน้าอกเจ้าสวยมาก เรายอมรับว่าเห็นแล้วทำเอาเราใจสั่นไปหมด และเราก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านพี่ถึงหลงเจ้านัก”
ผู้พันจาฮัสด์ใจเต้นรัวเร็ว ดวงตาคมกริบทอดมองปทุมถันภายใต้บราเซียร์ด้วยแววตาหิวกระหาย ผิวกายที่ขาวผ่องงามสล้าง ทำเอาเขาหายใจติดขัด อยากปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกจากร่างบาง เพื่อยลโฉมความงดงามของหญิงสาวให้เต็มตา
“ปล่อยฉัน! คุณ...คุณอย่าทำอะไรฉันนะ”
จิลลาดาขอร้องเสียงสั่น หวาดกลัวจับใจเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเป็นกระต่ายเนื้อหวานให้ราชสีห์ขบกิน
“กลัวไปทำไมล่ะแพรไหม”
ผู้พันจาฮัสด์ยอมเรียกชื่อเล่นตามที่หญิงสาวต้องการ เขายกมือลูบไปตามปทุมถันงามสล้างเหนือขอบบราเซียร์แล้วลูบไล้มาถึงลำคอระหงขึ้นมาถึงปลายคางมนแล้วจับยึดไว้แน่นไม่ให้หญิงสาวเบือนหน้าหนี
“คุณกำลังจะข่มขืนฉัน ลูกผู้ชายอย่างคุณไม่อายหรือยังไง ที่กำลังจะข่มขืนคนไม่มีทางสู้”
“ฮึ! เราไม่จำเป็นต้องข่มขืนเจ้าหรอกแพรไหม เดี๋ยวเราจูบเจ้าแค่ไม่กี่ครั้ง เจ้าก็ตัวอ่อนระทวยยอมเป็นของเราแล้ว อีกอย่างเจ้าเองก็ชำนาญเรื่องพันธุ์นี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ จะมาพูดทำไมว่าเรากำลังจะข่มขืนเจ้า”
ผู้พันจาฮัสด์เค้นเสียงเยาะ สิ่งที่รับรู้มาจากเชษฐา รวมทั้งมีภาพถ่ายให้ดูเป็นหลักฐาน ทำให้ผู้พันหนุ่มเชื่อว่าหญิงสาวคงช่ำชองในเรื่องรักพอตัว
“ปล่อยฉันนะไอ้บ้า ไอ้คนเลว คุณกำลังจับคนร้ายผิดตัวรู้ไหม”
จิลลาดาตวาดลั่น ยกมือทุบไปตามลำตัวของอีกฝ่าย ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้หลุดพ้นจากการจองจำของลำแขนแข็งแกร่ง
“คนร้ายมักจะปากแข็งเสมอ ทำผิดอยู่ทนโท่แต่ก็ยืนกรานว่าไม่ได้ทำผิด เวลาอยู่กับท่านพี่ เจ้าเร่าร้อนซะยิ่งกว่านางแมวป่า แล้วทำไมเจ้าไม่ลองเล่นบทรักดิบเถื่อนกับเราบ้าง รับรองว่าเราจะบริการเจ้าให้ถึงใจไม่แพ้ท่านพี่แน่”
“หยุดพูดได้แล้ว ฉันไม่รู้จักท่านพี่ของคุณ ไม่เคยทำอย่างที่คุณว่าทั้งนั้น”
“ถ้ายังงั้นคงต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าเจ้าพูดจริงหรือเปล่า แพรไหม”
ผู้พันจาฮัสด์กดกระแทกริมฝีปากลงไปบนเรียวปากอิ่ม บดขยี้จุมพิตหนักหน่วงดุดันใช้ปลายลิ้นนุ่มตวัดโลมเลียทั่วเรียวปากอิ่มสีกุหลาบ ก่อนจะเปิดปากหญิงสาวด้วยลิ้นนุ่มที่ชอนไชตามรอยแยกของเรียวปาก ทว่าเขาไม่สามารถเข้าไปตักตวงน้ำทิพย์หวานภายในเรียวปากคู่นี้ได้ดั่งใจต้องการ เพราะหญิงสาวไม่ยอมให้เขาสอดปลายลิ้นเข้าไปได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหนุ่มนักรักผู้ช่ำชองอย่างเขา
เมื่อจิลลาดาไม่ยอมเปิดปากให้เข้าไปควานหาความหวานฉ่ำอย่างง่ายๆ ผู้พันจาฮัสด์จึงเอื้อมมือทั้งสองไปปลดบราเซีย์ทิ้ง แล้วกอบกุมปทุมถันทั้งสองพร้อมกับเคล้นคลึงฟอนเฟ้นหนักหน่วง เรียกเสียงครางกระเส่าได้จากผู้เป็นเจ้าของ เปิดโอกาสให้เขาสอดลิ้นนุ่มเข้าไปชอนไชทั่วโพรงปากอิ่มได้ตามใจต้องการ พอสัมผัสกับลิ้นนุ่มของหญิงสาวเขาก็หยอกเอินตวัดลิ้นพัวพันกวาดโลมไล้ทั่วโพรงปากชักชวนให้หญิงสาวจูบตอบและทำตามเขาบ้าง
จิลลาดาครางเสียงกระเส่า ธรรมชาติสอนให้เธอแอ่นกายเข้าหาฝ่ามือร้อนๆ สอนให้เธอจูบตอบผู้พันหนุ่มทั้งๆ ที่จูบไม่เป็น หญิงสาวพยายามตวัดปลายลิ้นจูบตอบรับตามการชักจูงของผู้พันหนุ่ม พออีกฝ่ายแกล้งถอนริมฝีปากออกเล็ก
น้อยก็ครางประท้วงอย่างไม่รู้ตัว