บทที่5
“คุณหนูกินก่อนนะเจ้าคะ” สาวใช้สองสามคนถูกเรียกมาอยู่ใกล้ ๆ คุณหนู เพราะตอนนี้ซงหลิวต้องคอยตรวจดูความเรียบร้อยอยู่ ระหว่างนั้นเหวินอี้ก็พยายามจะเข้ามาคุย แม้จะถูกชิงหลันไล่ไปก่อนแล้วก็ตาม
เขาคิดว่าคุณหนูผู้นี้ก็คงเขินอายเหมือนหญิงสาวทั่ว ๆ ไปที่เคยเจอเขาครั้งแรกนั่นแหละ ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหยิบขลุ่ยที่เหน็บเอาไว้ที่เอวออกมา
เหวินอี้บรรเลงจนจบเพลงแม้แต่สาวใช้ต่างพาก็ยังชื่นชมทำให้ชิงหลันรู้สึกไม่พอใจ
จนเมืองซงหลิวมา นางจึงได้ขอให้ชายหนุ่มบรรเลงเพลงให้ฟังบ้าง
“ซงหลิวเจ้าบรรเลงเพลงได้หรือไม่”
ซงหลิวอึกอัก ให้เขาเป่าใบไม้บอกสัญญาณนั่นพอทำได้ แต่จะให้บรรเลงเป็นเพลงเหมือนคุณชายเมื่อครู่ ทั้ง ๆ ที่อยากปฏิเสธเพราะไม่แน่ใจแต่สุดท้ายก็เด็ดใบไม้ออกมาหนึ่งใบแล้วเริ่มบรรเลงเพลง
แม้ช่วงแรกจะฟังดูดีจนทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเคลิ้บเคลิ้มไปกับเสียงสดใสของธรรมชาติแต่อารมณ์สุทรีย์นั่นก็สะดุดลงเมื่อเขาเป่าผิดทำนอง เหวินอี้หลุดหัวเราะดังลั่นในความเงียบทันที
ท่าทางได้ใจของอีกฝ่ายทำให้ชิงหลันไม่พอใจมาก จนเผลอหลุดเสียงดังทำลายเสียงหัวเราะน่ารังเกียจนั่น
“อุ้มข้าไปที่รถม้าเถอะข้าจะนอนแล้ว”
ซงหลิวไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำขอโทษด้วยซ้ำ ปกติชิงหลันไม่เคยขอให้เขาทำอะไร ล้วนเป็นเขาทีพยายามและทำเองทั้งสิ้น แต่ครั้งนี้ นางขอให้ทำแต่เขากลับทำไม่ได้ ซงหลิวรู้สึกผิดที่ทำนางขายหน้า และท่าทางนางในตอนนี้ก็คงจะไม่พอใจเขากระมัง
“ท่านก็พักผ่อนบางเถอะ” ชิงหลันบอกกับชายหนุ่ม
เขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับ “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ทำได้ไม่ดี”
แม้ซงหลิวจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ชิงหลันกลับไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะนางไม่ได้ไม่พอใจอะไรซงหลิว คนที่นางไม่พอใจคือเหวินอี้ต่างหาก
หลังจากส่งหญิงสาวเข้าไปในรถม้า ซงหลิวก็เฝ้าอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นสักเท่าไร เหวินอี้เห็นเจ้าตัวยืนอยู่เพียงลำพังจึงคิดจะเข้ามาข่ม
“ใบไม้นั้นไม่เหมาะจะเป็นเครื่องดนตรีหรอก ต้องเป็นขลุ่ยหยกนี่ถึงจะเหมาะที่จะบรรเลงเพลง”
ซงหลิวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่พอใจ
เช่นเดียวกับเหวินอี้ เขามองออกว่าชายคนนี้ที่คงเป็นเพียงบ่าวคอยอารักขาเจ้านายคล้ายจะดูแลเอาใจใส่คุณหนูของตนมากกว่าปกติ คงไม่พ้นว่าชายหนุ่มผู้นี้หลงรักเจ้านายตนเป็นแน่ แต่เขาก็ต้องเตือนให้อีกฝ่ายรู้เอาไว้ ว่าของพื้น ๆ อย่างไรก็ควรอยู่ที่พื้น มิอาจจะต้องท้องนภาได้หรอก หัดเจียมตัวอย่าฝันบินสูง ตกลงมามันเจ็บมิใช่น้อย
ซงหลิวไม่ได้พูดอะไรเขาทำเพียงแค่ชักดาบออกจากฟักแล้วค้างเอาไว้ จนเหวินอี้ต้องถอยออกไปเอง
“ป่าเถือน” เหวินอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น
ซงหลิวหยักไหล่แม้จะได้ยินคำที่อีกฝ่ายว่าเขา แต่เขาก็ไม่สน อย่างไรเขาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
การเดินทางเป็นไปอย่างอึมครึมนั่นก็คงเพราะมีคนที่ขอติดตามมาด้วยอย่างเหวินอี้ ซงหลิวที่ปกติไม่พูดอะไรอยู่แล้วกลับพูดน้อยเข้าไปอีก จนเหล่าบ่าวและสาวใช้ทำตัวไม่ถูก และแน่นอนไม่เว้นแม่กระทั่งชิงหลัน
“ข้าคงต้องขอลาที่ตรงนี้แม่นางขอบคุณที่ให้ร่วมการเดินทาง”
ตั้งแต่ต้นจนจบชิงหลันก็ไม่ได้เอ่ยชื่อของนางกับเหวินอี้ไป แต่หญิงสาวคิดว่าคนมากเล่ห์อย่างเหวินอี้แล้ว เมื่อเลือกแล้วว่าอยากจะเข้าหาคนอย่างนาง เจ้าตัวจะต้องถามเอาจากเหล่าสาวใช้หรือไม่ก็บ่าวไปแล้วแน่ ๆ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่ชิงหลันหนักอกหนักใจอะไรหรอก อย่างไรก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เพราะนางต้องพยายามเลี่ยงอีกฝ่ายอยู่แล้ว ส่วน… ชิงหลันเหล่มองหนึ่งในสาวใช้ ยังก่อน
ส่วนอีกคนข้างกายตอนนี้ที่นางเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ตัวติดกันยิ่งกว่าใคร ทันทีที่มาถึงจวนในเมืองเขาก็อุ้มนางเข้าไปที่พัก โดยบอกว่าพื้นที่ยังเตรียมเอาไว้ไม่พร้อมสำหรับรถเข็นไม้ หากจะให้ใช้การได้โดยที่ไม่ต้องมีคนช่วยเหลือคงต้องรอสักพัก
และทันทีที่บ่าวว่างรถเข็นไม้ลงที่เรือนกลางจวน ซงหลิวก็ค่อย ๆ บรรจงว่างร่างของชิงหลันลงที่รถเข็นไม้นั่น “เฉพาะในเรือนนี้ที่เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว ส่วนอื่น ๆ อาจจะต้องใช้เวลาสามถึงเจ็ดวัน ขอคุณหนูอย่าเพิ่งออกไปไหนไกล หากจะไปที่ไหนไกลจริง ๆ ก็ให้คนไปตามข้า เรือนของข้าอยู่ห่างไปนิดหน่อย กันคำครหาของคนอื่น” ซงหลิวพูดเสร็จก็จะเดินออกไปแต่ถูกมือเล็กของชิงหลันดึงเอาไว้ก่อน
“โกรธอะไรข้าหรือเปล่า” เพราะถ้าไม่ได้ถามนางคงรู้สึกไม่สบายใจแน่ อย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน จะมามึนตึงกันขนาดนี้ก็คงไม่ดีแน่ ๆ จะง้อก็ต้องรู้ว่าโกรธอะไรก่อน
“ข้าจะไปโกรธอะไรคุณหนูได้กันขอรับ ก็แค่รู้สึกกังวลใจเท่านั้น คุณหนูมิระวังตนเลย คนบ้างคนมองที่ภายนอกไม่ได้นะขอรับ” จบคำซงหลิวก็เดินออกไปไม่แม้แต่จะรอฟังคำของชิงหลันด้วยซ้ำ หญิงสาวแอบขมวดคิ้วด้วยความงุนงง หากไม่บอกนางคิดว่ามือขวาท่านพี่คนนี้คงหึงหวงนางเสียแล้ว
แต่เมื่อดูจากนิสัยต่าง ๆ ที่เจ้าตัวเป็นเสมอมา ซงหลิวก็คงแค่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับก็เท่านั้น เขาก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
“ท่านพี่ชิงหมิงของข้ายังไม่ทำตัวมึนตึงกับข้าขนาดนี้เลย ซงหลิวนะซงหลิว ข้าเป็นเข้านายเข้าจริงหรือไม่นี่”