ตอนที่ 7 เด็กไม่ปากโป้ง
ผมกับพี่แบล็กจูบกัน
วันนี้เป็นการทำงานวันแรก แล้วงานมันก็คงจะน้อยเกินไป เลยทำให้สมองผมมันคิดวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อเช้าผมกับพี่แบล็กจูบกัน ในห้องของพี่แบล็ก ตอนนั้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมตั้งรับอะไรไม่ทันเลย รู้แค่ว่าตอนที่พี่แบล็กจูบ ผมรู้สึกดีมาก ๆ ดีจนลืมที่จะผลักพี่แบล็กออก ดีจนเผลอตอบรับสัมผัสไปแบบเก้ ๆ กัง ๆ
แต่จะให้พูดก็พูดเถอะ การจูบมันดีชะมัด ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพาร์ตเนอร์ในคลิปของพี่แบล็กถึงดูมีความสุขขนาดนั้น แล้วคนที่โดนพี่แบล็กสัมผัส จะมีความสุขแบบนั้นทุกคนรึเปล่านะ อ่า ทำไมผมคิดอะไรแบบนี้เนี่ย
“จู”
“ครับ!!” ระหว่างที่ผมกำลังนั่งเพ้อ ๆ ในใจอยู่คนเดียว พี่นิลก็เดินมาสะกิด แต่ที่มันแย่ก็คือปฏิกิริยาของร่างกายผมที่มันเผลอ ถอยหนีจากพี่นิลแบบอัตโนมัติเนี่ยแหละ
ตั้งแต่ไปทำงานกลางคืนแล้วโดนลวนลาม เวลามีคนที่ไม่คุ้นชินเข้ามาใกล้ หรือมาสัมผัสผมจะชอบตกใจง่าย แต่ถ้าเริ่มชินแล้วก็จะไม่มีปฏิกิริยาอะไร เหมือนที่ตอนแรกผมก็กลัว ๆ พี่แซน แต่ตอนนี้พี่แซนสามารถจู่โจมผมโดยที่ผมไม่รู้สึกอะไรได้แล้ว
ส่วนกับพี่นิล อาจจะเพราะพี่เขานิ่งมาก เราเลยไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร แต่ผมคิดว่าในอนาคตผมน่าจะชินกับพี่นิลแน่ ๆ เพราะถึงพี่เขาจะลุคดูดุ แต่ผมรู้สึกว่าดวงตาเขามีความอ่อนโยน ผมน่าจะสนิทใจกับเขาได้ง่าย
“มานี่” พี่นิลไม่ได้มีรีแอ็กชันอะไรกับปฏิกิริยาของผม แล้วเรียกผมไปนั่งลงข้าง ๆ
“ปกติก่อนวันที่จะมีการถ่ายทำ เธอต้องมาชาร์จแบตกล้องเตรียมไว้ทุกตัว แล้วก็เตรียมพวกขาตั้งให้พร้อมไว้ พรุ่งนี้ก็แค่ยกไปเซต จะได้ไม่ลน”
“ครับ”
“ส่วนจะใช้ขาตั้งอันไหนบ้าง เดี๋ยววันหลังพี่จะสอนว่าถ้าสถานที่ถ่ายทำเป็นแบบไหน ต้องตั้งกล้องยังไง พอรู้มุมกล้องก็จะรู้เองว่าใช้อันไหนบ้าง”
“ครับ”
ผมตั้งอกตั้งใจฟังที่พี่นิลอธิบาย เพราะนอกจากผมจะได้มาเป็นผู้ช่วยพี่แซนแล้ว ผมยังต้องทำหน้าที่เป็นเด็กดูมุมกล้องระหว่างที่พี่นิลลาออก ผมเรียกตัวเองแบบนั้นเพราะยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าตากล้องเท่าไร คำนั้นเก็บไว้เรียกมืออาชีพอย่างพี่นิลก็พอ
ผมนั่งฟังพี่นิลสอนเกี่ยวกับการเตรียมตัวจนจบ พอสอนจบพี่นิลก็นั่งเล่นโทรศัพท์ต่อ ผมเลยใช้โอกาสนี้ถามเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองสงสัย
“พี่นิลครับ จูถามได้ไหม พี่นิลจะออกวันไหนเหรอครับ” นี่คือสิ่งที่ผมสงสัยที่สุดตอนนี้ ผมอยากรู้วันออกของพี่นิลให้แน่ชัด เพราะผมจะได้เตรียมตัวได้ทัน เกิดตอนนั้นศักยภาพผมยังไม่ได้แล้วพี่นิลออก ผมอาจจะทำให้งานของพี่แบล็กเสียได้
“จริง ๆ ที่คุยกับไอ้แซนไว้ก็สิ้นเดือนนี้”
“อ่า”
“แต่ตอนนี้คิดว่าจะเลื่อนไปอีกเดือนนึง”
“จริงเหรอครับ ทำไมถึงเลื่อนล่ะ”
“ไม่อยากโยนเธอให้เป็นภาระคนอื่น” พี่นิลเหล่ตามามองผม แล้วหันกลับไปเล่นโทรศัพท์ต่อ อ่า ที่แท้ก็อยู่เพราะอยากช่วยสอนงานผมให้เสร็จนี่เอง แบบนี้ผมก็โล่งใจได้แล้วแหละ พี่นิลนี่ใจดีสุด ๆ เลย
หลังจากงานเลิก พี่แบล็กก็พาผมไปซื้อชุดใหม่อย่างที่บอกจริง ๆ โดยสถานที่ที่พี่แบล็กพาผมมาก็คือห้างสรรพสินค้า แต่ก่อนจะได้ไปซื้อชุด พี่แบล็กก็พาผมมาหาของกินก่อน
“ถ้ากินแล้วไปลองชุด จูจะใส่กางเกงได้ไหมครับเนี่ย ต้องพุงกางแน่เลย” ผมพูดเล่นกับพี่แบล็กพร้อมยิ้มตาหยีระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ แต่ขณะที่ผมแจกความสดใสเต็มที่ พี่แบล็กกลับเอาแต่ทำหน้านิ่ง
“มานั่งฝั่งนี้” พี่แบล็กเมินพุงกางของผมไปแล้วเรียกให้ผมไปนั่งข้าง ๆ ผมก็พยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ตามที่พี่แบล็กบอก
“พี่แบล็กถนัดให้จูนั่งนี่เหรอครับ”
“ฉันหูไม่ดี นั่งตรงนี้ได้ยินชัดกว่า”
“อ่อ ไม่เหมือนเพื่อนจู เพื่อนจูก็ชอบให้จูนั่งข้างเวลาไปกินข้าว แต่เพื่อนจูไม่ได้หูไม่ดีนะครับ เพื่อนบอกว่าจูตัวหอม ชอบให้นั่งข้าง ๆ แถมยังชอบมาดม ๆ”
ผมเล่าถึงชีวิตตอนอยู่ม.ปลายให้พี่แบล็กฟัง แต่ดูท่าพี่แบล็กจะไม่อิน เพราะตอนนี้พี่แบล็กกำลังทำหน้าดุใส่ผมยิ่งกว่าเดิมอีก
“ดมแบบไหน”
“อ่า ก็เอาหน้ามาใกล้ ๆ ครับ ใกล้ ๆ ตรงคอ” ผมเริ่มเสียงเบาลงเพราะรู้สึกกลัว ๆ พี่แบล็กขึ้นมา แต่ยิ่งผมอธิบาย พี่แบล็กก็ยิ่งทำหน้าเครียด ก่อนจะสูดหายใจเข้าแล้วพ่นลมออกมาแรง ๆ
“กลับไปบ้านมาให้พี่ดมด้วย”
“หือ?”
“บางทีเพื่อนเธออาจจะโกหก” พี่แบล็กพูดแบบไม่สบตาผม แถมยังวางมาดเหมือนไม่ได้สนใจอีกด้วย จะผิดไหมถ้าผมจะบอกว่าพี่แบล็กนี่ก็ขี้เก๊กใช่เล่น
“ทำไมพี่แบล็กไม่ดมเลยล่ะครับ เพื่อนจูก็ดมที่ร้าน แบบนี้” ผมเอาหัวไปถู ๆ ไหล่พี่แบล็กเหมือนที่เพื่อนเคยทำ แล้วผละออกมามอง ผมเห็นนะว่ามีแวบนึงที่พี่แบล็กเหล่ตาลงมามองผม แต่ก็รีบหันไปทางอื่นต่อ
“ฉันจมูกไม่ดี ต้องดมใกล้ ๆ เลิกถามมากได้แล้ว อาหารมาแล้วนั่น กินให้มันอิ่ม ๆ ละ จะได้รีบ ๆ โตสักที”
พี่แบล็กร่ายยาวใส่ผม ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับรัว ๆ แต่ในใจตอนนี้คือสงสารพี่แบล็กแฮะ ยังไม่ทันจะแก่ก็เริ่มหูตึงแล้ว แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือดันจมูกไม่ดีอีก สงสัยผมคงต้องดูแลพี่แบล็กดี ๆ แล้วแหละ
ผมกับพี่แบล็กนั่งกินข้าวด้วยกันในร้านอาหาร ผมยังเป็นผมที่ลั้นลาสดใสและพูดมาก ส่วนพี่แบล็กก็แค่นั่งมองผม แล้วตอบเออออไปตามประสา เราใช้เวลาในร้านอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ไปเดินซื้อเสื้อผ้ากันต่อ
ผมให้พี่แบล็กเป็นคนเลือกเสื้อผ้าให้เลย เพราะยังไงพี่แบล็กก็เป็นคนจ่ายเงิน อีกอย่างพี่แบล็กน่าจะรู้ว่าชุดแบบไหนสมควรใส่ไปทำงาน ชุดแบบไหนไม่สมควร แต่มันมีปัญหาอยู่นิดเดียวคือชุดที่พี่แบล็กซื้อให้ผมมันดูจะแพงไปหน่อยแฮะ
“มันใช้ได้นาน” และแค่ผมหันไปมองด้วยใบหน้าเครียด ๆ พี่แบล็กก็รู้ทันความคิดผมพอดี รีบพูดดักจนผมหน้าจ๋อย
สุดท้ายผมก็ได้เสื้อผ้ากลับบ้านมาตามที่พี่แบล็กซื้อให้ ผมยังรู้สึกเกรงใจไม่หาย เลยตั้งใจไว้ว่าต่อไปจะขยันทำงานและทำกับข้าวให้อร่อยเพื่อตอบแทนความดีของพี่แบล็ก
แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่มันยังรู้สึกเกรงใจมาก ๆ อยู่ กว่าจะได้ทำของอร่อยให้พี่แบล็กกินก็ตั้งพรุ่งนี้ ผมเลยคิดว่าจะหาอะไรทำตอบแทนให้พี่แบล็กตอนนี้เลย และสิ่งเดียวที่ผมพอจะนึกออกตอนนี้ก็คือ
“พี่แบล็กครับ เมื่อยรึเปล่า ให้จูนวดให้ไหม” ผมเดินไปหาพี่แบล็กที่นั่งอยู่หน้าทีวี ตอนนี้พี่แบล็กกำลังนั่งดูรายการเกมโชว์ ผมคาดไม่ถึงเหมือนกัน ผมไม่คิดว่าคนหน้านิ่งแบบพี่แบล็กจะชอบดูอะไรสนุก ๆ ด้วย คิดว่าพี่แบล็กจะมานั่งดูซีรีส์สืบสวนเครียด ๆ หรือข่าวต่างประเทศอะไรแบบนี้ซะอีก
“หืม เธอนวดเป็นเหรอ” พี่แบล็กถามทั้ง ๆ ที่ตายังจับจ้องอยู่ที่จอทีวี
“เป็นครับ จูนวดให้น้าบ่อยมาก ๆ ให้จูนวดให้นะครับ” ผมไม่รอในพี่แบล็กอนุญาต รีบพาตัวเล็ก ๆ ของตัวเองไปนั่งลงข้าง ๆ โซฟา แล้วเอื้อมมือไปหมายจะนวดขาให้พี่แบล็ก แต่พี่แบล็กก็เบรกไว้ก่อน
“แขนก็พอ ขึ้นมานั่งนี่” พี่แบล็กดึงผมขึ้นไปนั่งข้าง ๆ แล้วยื่นแขนล่ำ ๆ ให้ผม พอเห็นพี่แบล็กอนุญาตผมก็ไม่รอช้า รีบทำหน้าที่ของตัวเองทันที
มือเล็ก ๆ ของผมค่อย ๆ บีบนวดไปตามท่อนแขนใหญ่ของพี่แบล็ก พอได้มาจับแบบนี้มันทำให้ผมรู้เลยว่าแขนพี่แบล็กใหญ่ขนาดไหน ยิ่งเทียบกับมือเล็ก ๆ ของผมยิ่งเห็นความต่างไปกันใหญ่
“พี่แบล็กเจ็บไหมครับ”
“อ้าว นวดแล้ว?” พี่แบล็กหันมาถามพร้อมเลิกคิ้วกวน ๆ ผมรู้โดยทันทีว่าพี่แบล็กกำลังแกล้งผม
“ผมนวดแล้วครับ! มันเบาขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อื้ม ไม่เหมือนโดนนวด เหมือนโดนสะกิดมากกว่า” คำพูดของพี่แบล็กทำเอาผมหน้ามุ่ยลงอัตโนมัติ แล้วหันหน้าเข้าหาพี่แบล็กพร้อมกับนั่งคุกเข่า จากนั้นก็บีบแขนพี่แบล็กใหม่ พร้อมทั้งลงแรงบีบไปแบบเต็มที่สุด ๆ
ผมลงแรงไปแบบสุดตัว แต่ผลที่ได้กลับมาคือพี่แบล็กดันทำหน้าผ่อนคลายขึ้น เหมือนผมเริ่มบีบให้พี่เขาสบายขึ้น อะไรกันเนี่ย ทำแรงขนาดนี้ไม่เจ็บสักนิดเลยเหรอ แล้วนี่คือแรงแบบที่พี่แบล็กชอบเหรอ นี่ผมบีบจนหน้าจะสั่นแล้วนะ
“ไหวไหมเนี่ย” พี่แบล็กกันมาเลิกคิ้วถาม คงเห็นว่าผมดูใช้แรงเยอะมาก ๆ ซึ่งผมก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ผมพยักหน้ารัว ๆ แล้วบีบให้พี่แบล็กต่อ
ผมนวดให้พี่แบล็กอยู่แบบนั้นสักพักก็เริ่มเมื่อย เลยค่อย ๆ ผ่อนแรงลงแต่ดีที่พี่แบล็กไม่ได้ว่าอะไร
“พี่แบล็กครับ”
“หืม”
“ที่บอกว่าจะดม จะดมตอนนี้เลยไหมครับ”
ผมนึกขึ้นได้ถึงเรื่องในร้านอาหารเลยถามขึ้น แต่คนฟังเนี่ยสิ ดันทำหน้าตกใจแล้วหันมามองผมแบบตาเขม็ง
“นี่ เป็นเด็กยังไงมาชวนคนอื่นดมคอฮะ”
“เอ่อ ก็พี่แบล็ก...อ๊ะ”
ผมกำลังจะท้วงว่าก็พี่แบล็กบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าอยากดม แต่ยังท้วงไม่ทันเสร็จ ท่อนแขนแข็งแรงก็รวบเอวผมเข้าไปชิดตัว จนด้านหน้าของผมมันปะทะกับอกแกร่งแบบเต็ม ๆ
พี่แบล็กที่ดุผมเสร็จยังทำหน้าไม่พอใจอยู่ แต่ที่แปลกคือการกระทำแสนย้อนแย้งของพี่เขา เพราะพี่เขากำลังเอาหน้าเข้ามาใกล้ ๆ คอผม แล้วฝังหน้าลงตรงคอผมในที่สุด
“อื้อ พี่แบล็ก” การดมแบบพี่แบล็กทำให้ผมรู้สึกตกใจมาก ๆ เพราะมันต่างจากที่เพื่อนผมเคยทำ ปกติเพื่อนจะแค่เอาหน้ามาใกล้ ๆ แล้วแกล้งทำจมูกฟุดฟิด ๆ แต่พี่แบล็กกลับฝังหน้าลงตรงคอผมเลย แถมยังขยับไปรอบ ๆ จนจมูกโด่งถูคอทำผมจั๊กจี้ไปหมด
“อยู่นิ่ง ๆ” พี่แบล็กกอดเอวผมแน่นกว่าเดิม แต่จะให้ผมอยู่นิ่ง ๆ ได้ยังไง ก็มันจั๊กจี้นี่นา เหมือนหนวดพี่แบล็กมันจะเริ่มขึ้นนิดนึงด้วย
“มันจั๊กจี้ครับ อื้อ พี่แบล็กมีหนวด”
พอได้ยินว่าตัวเองมีหนวด พี่แบล็กก็ยอมผละใบหน้าออก แต่ยังกอดเอวผมไม่ปล่อย ยิ่งไปกว่านั้นคือมือหนายังลูบเอวผมเบา ๆ อีก
“ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย”
“หืม”
“ต้องดมใหม่”
“อื้อ” พี่แบล็กฝังใบหน้าลงที่ลำคอของผมอีกครั้ง คราวนี้พี่แบล็กไม่ใช่แค่ถู ๆ นิดเดียว แต่ยังซุกคอผมแล้วไถหน้าไปเรื่อย ตั้งแต่ลำคอลงมาที่ไหล่ผม แล้วไล่ขึ้นไปที่คอใหม่ แถมรอบนี้ยังไม่ซุกแค่ข้างเดียว แต่ยังเปลี่ยนข้างด้วยเหมือนอยากจะดมให้มันทั่วทุกที่อย่างนั้นแหละ
“ไม่ได้กลิ่น”
“อื้อ พี่แบล็กจมูกพังแล้วเหรอครับ อ๊ะ ตรงนั้นจั๊กจี้ครับ” ผมเริ่มดิ้นไปมา คราวนี้พี่แบล็กยอมหยุดอีกครั้งแล้วมองหน้าผม คิ้วสวย ๆ ก็ขมวดเป็นปม
“เลิกครางแบบนั้นสักที”
“บะ...แบบไหนครับ”
“แบบนี้ไง”
“อื้อ” คราวนี้พี่แบล็กอุ้มผมขึ้นมานั่งคร่อมบนตักแล้วซุกหน้าลงมาใหม่
คราวนี้จะให้ผมร้องยังไงพี่แบล็กก็ไม่ยอมหยุด แถมยังกอดเอวผมแน่นอีกด้วย
“กับเด็ก ถึงจะไม่ได้สอดใส่ แต่แค่ลวนลามเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ได้”
“อื้อ พี่แบล็ก” ระหว่างที่พี่แบล็กกำลังซุกคอผม พี่แบล็กก็พูดพึมพำออกมาคนเดียว แล้วผมก็ฟังจับใจความไม่ค่อยจะรู้เรื่องด้วยสิ
“แม่ง”
แล้วสุดท้ายพี่แบล็กก็ยอมผละออก พร้อมสบถแบบหัวเสีย ก่อนจะอุ้มผมลงนั่งข้าง ๆ เหมือนเดิม
ผมไม่รู้ว่าพี่แบล็กเป็นอะไร ได้แต่มองตามพี่แบล็กตาปริบ ๆ อยู่แบบนั้น จนเวลาผ่านไปสักพัก พี่แบล็กก็หันมาหาผมใหม่ พร้อมทำหน้าเครียดใส่ผมอีก
“จู”
“ครับพี่แบล็ก”
“เกิดวันที่เท่าไรนะ”
“16 มีนาครับ”
“วันนี้วันที่ 1 กุมภาอีกแค่เดือนครึ่ง” พี่แบล็กพูดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว แถมยังคำนวณวันเกิดผมเสร็จสรรพ
“พี่แบล็กจะหาของขวัญวันเกิดให้จูเหรอครับ” น่าจะใช่นะ ถ้านับวันเกิด ก็คงจะหาของขวัญแหละ
“ทำไมยังไม่สิบแปด ปกติจะเข้ามหาลัยเขาก็จะสิบเก้ากันแล้วไม่ใช่เหรอ” พี่แบล็กไม่ตอบเรื่องของขวัญวันเกิดของผม แถมยังถามเรื่องอื่น เอาเถอะ ผมเริ่มจะชินแล้วแหละ
“จูเรียนเร็วปีนึงครับ”
“เฮ้อ” พี่แบล็กถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะคุมสติตัวเองใหม่ แล้วหันมาหาผมพร้อมใบหน้าจริงจังเหมือนกำลังจะคุยเรื่องสำคัญ
“จู รู้รึเปล่าที่ทำกันเมื่อเช้าคืออะไร”
“เมื่อเช้า...อื้อ”
ผมกำลังประมวลผลว่าเมื่อเช้าหมายถึงตอนไหน เพราะก็ทำไปตั้งหลายอย่าง แต่ยังไม่ทันจะประมวลผลเสร็จก็ดูเหมือนความช้าของผมมันจะทำให้พี่แบล็กขัดใจ พี่แบล็กจึงทำหน้าดุแล้วดึงผมเข้าไปจูบ
จูบ
จูบอีกแล้ว
“อื้อ” คราวนี้ผมปรับตัวได้เร็วกว่าเมื่อตอนเช้า เพราะแค่พี่แบล็กประกบริมฝีปากลงมา ผมก็รู้งาน อ้าปากรับสัมผัสจากเกลียวลิ้นของพี่แบล็กทันที
จูบของพี่แบล็กยังอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเร่าร้อนเหมือนเดิม มันมอมเมาจนผมสติพร่าเลือน จังหวะที่ผมกำลังเคลิ้ม ๆ ท่อนแขนใหญ่ก็รวบเอวผมขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักอีกครั้ง
แต่ในคราวนี้มันแตกต่างจากเมื่อเช้าเพราะมันไม่มีพี่แซนมาเคาะห้องแล้ว ทำให้พี่แบล็กสามารถมอบสัมผัสให้ผมได้มากขึ้น
“แฮ่ก พี่แบล็ก อื้อ”
เราจูบกันอยู่เนิ่นนาน พอผละออกเหมือนจะหยุด พี่แบล็กก็ประกบริมฝีปากลงมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมไม่รู้แล้วว่าโดนพี่แบล็กจูบไปนานขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ เกมโชว์ที่พี่แบล็กดูมันจบไปแล้ว แต่เรายังจูบกันไม่เสร็จเลย
“พี่แบล็ก”
“รู้รึเปล่า ว่าอันนี้เรียกอะไร”
ในที่สุดพี่แบล็กก็ยอมปล่อยปากผมเป็นอิสระ พอเลิกจูบ พี่แบล็กก็เริ่มตั้งคำถามกับผมทันที
“จูบครับ”
“อื้ม พี่จูบเธอ” พี่แบล็กพูดเน้นย้ำจนผมหน้าแดง ใบหน้าก้มลงจนแทบชิดคางแต่พี่แบล็กก็เชยคางผมขึ้นมาใหม่
“จูยังเด็ก ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้พี่จะเป็นไอ้แก่หัวงูที่หลอกลวนลามเด็ก” พี่แบล็กเริ่มอธิบาย ขณะที่พูดไปมือหนาก็บีบเนินก้นผมไปด้วย เหมือนใช้ก้นผมเป็นที่ระบายความอัดอั้นในตอนนี้เลย
“อ่า”
“ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้ พี่จะติดคุก”
“จูไม่บอกใครครับ” ผมรีบบอกเมื่อเห็นพี่แบล็กทำหน้าเครียด พร้อมก็ชูนิ้วก้อยขึ้นมา เผื่อพี่แบล็กไม่มั่นใจ
“จูสัญญาครับ จูไม่บอกใคร ไม่มีใครรู้ พี่แบล็กก็ไม่ติดคุก” ผมจับมือพี่แบล็กขึ้นมาเกี่ยวก้อยสัญญาพร้อมกับยิ้มแฉ่งให้พี่แบล็ก แต่แทนที่พี่แบล็กจะหายเครียด ดันดูเครียดกว่าเดิม
“ไม่คิดจะห้ามเลยหรือไงฮะ”
“ห้ามอะไรครับ ห้ามพี่แบล็กจูบจูเหรอ”
ผมไม่เข้าใจ ที่พี่แบล็กมาบอกไม่ใช่เพราะอยากให้ผมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับรึไง แล้วผมจะต้องห้ามอะไรพี่แบล็กด้วยเหรอ
“ก็ทั้งหมด”
“ไม่ห้ามหรอกครับ พี่แบล็กจูบได้ จูให้พี่แบล็กจูบ”
“จู!” คราวนี้พี่แบล็กขึ้นเสียงดัง แถมยังบีบก้นผมแรงจนผมเผลอแอ่นตัวเข้าหาพี่แบล็ก แล้วรีบยกแขนขึ้นกอดคอพี่แบล็กไว้เพราะพอดิ้นไปมาก็เริ่มกลัวตก
“จริง ๆ นะครับ จูบอกพี่แบล็กตั้งแต่วันนั้นแล้ว ว่าถ้าเป็นพี่แบล็ก โดนตัวจูได้ วันนี้จูแถมให้อีกข้อคือจูบจูได้”
“…”
“ไม่ ๆ จูให้เป็น พี่แบล็กจะทำอะไรจูก็ได้ จูไม่บอกใครหรอกครับ จะเก็บเป็นความลับให้มิดเลย”
“แม่งเอ๊ย”
แล้วพี่แบล็กก็กลายเป็นคนหัวเสีย ทำหน้าเครียดอยู่คนเดียวแบบนั้น ผมเห็นแล้วเป็นห่วงเลยเอามือลูบหลังเพื่อปลอบพี่แบล็ก ไม่อยากให้พี่แบล็กเครียด แต่ก็คงจะไม่ทันแล้ว ตอนนี้พี่แบล็กนั่งเครียดไปเรียบร้อย
ผมอยากถามจังว่าสรุปพี่แบล็กเป็นอะไรแต่ก็กลัวพี่แบล็กจะเครียดกว่าเดิม เลยตัดสินใจว่านั่งนิ่ง ๆ เป็นตุ๊กตาอยู่บนตักพี่แบล็กแบบนี้ก็น่าจะพอมั้ง
--------------------------------------------------------
มันจะมีคนนึง ชอบทำให้พี่แบล็กเครียดค่ะ
#เด็กหลังกล้อง