ตอนที่ 9 เด็กอายุ 18
สรุปแล้ว ผมต้องกลับไปช่วยน้าเลี้ยงน้องจริง ๆ ตามคำสั่งของพี่แบล็ก เมื่อวานหลังจากคุยกันแล้ว กลับไปบ้านพี่แบล็กก็เรียกผมไปคุยใหม่ ค่อย ๆ อธิบายให้เข้าใจเหตุผล ซึ่งเหตุผลของพี่แบล็กก็คืออยากให้ผมกลับไปทำหน้าที่หลานให้เต็มที่ กลับไปช่วยน้าเลี้ยงน้องก่อน รอสักสามเดือนค่อยกลับมาช่วยทำงานใหม่ก็ยังได้
ในตอนแรกที่ผมได้ยินผมก็มัวแต่กลัวโดนไล่ออกจนลืมคิดเรื่องนี้ไป แต่พอมาตั้งสติดูก็พบว่ามันก็จริงแฮะ ตอนนี้น้าผมเลี้ยงน้องคนเดียวคงจะลำบากมาก ๆ แฟนของน้าก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน ถ้าผมได้กลับไปช่วยแบ่งเบาภาระในช่วงสามเดือนนี้ก็คงดี
และเพื่อไม่ให้ผมรู้สึกผิดที่ยังรับเงินเดือนแต่ทำงานได้น้อย พี่แบล็กเลยเสนอว่างั้นตอนที่ผมกลับมาทำงานอีกครั้ง ก็ให้ผมไม่ต้องกลับบ้านทุกเสาร์อาทิตย์ แต่กลับแค่เดือนละครั้ง จะได้ชดเชยเวลางานที่เสียไป ซึ่งสำหรับผมแล้วมันก็ค่อนข้างโอเคเลย เลยยอมตกลงในที่สุด
พอมาวันนี้ผมเลยต้องมาเรียนรู้งานแอดมินจากพี่แซนทั้งหมด เพื่อเตรียมเอางานกลับไปทำที่บ้านด้วย พอทำเสร็จ ผมก็กลับมาเก็บของนิดหน่อยแล้วเตรียมตัวจะกลับบ้าน โดยวันนี้พี่แบล็กบอกว่าจะเป็นคนไปส่งผมเอง
“พร้อมรึยังครับ”
“พร้อมครับ” ผมตอบคนที่เพิ่งเดินลงมาจากบ้าน พี่แบล็กก็พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินมาช่วยผมยกกระเป๋าแต่ผมก็ยื้อไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรครับพี่แบล็ก จูถือเองก็ได้”
“ตัวเล็กกว่ากระเป๋าอีก” พี่แบล็กพูดเสียงนิ่งแล้วดึงกระเป๋าผมไป ผมจึงจำใจต้องยอมปล่อย แล้วเดินตามพี่แบล็กแบบคอตก ๆ จนจะกลับบ้านแล้ว ผมก็ยังเป็นภาระให้พี่แบล็กอยู่ดี
พี่แบล็กเอากระเป๋าผมไว้หลังรถ ส่วนผมก็เดินไปนั่งเบาะข้าง ๆ คนขับ แต่ขึ้นรถมาตั้งนานแล้ว พี่แบล็กก็ยังไม่ยอมออกรถสักที
“พี่แบล็กครับ ทำไมยัง...อ๊ะ...อื้อ”
ผมกำลังจะหันไปถามพี่แบล็กว่าทำไมยังไม่ออกรถ แต่พอหันไป พี่แบล็กก็รวบเอวผมเข้าไปกอดแล้วประกบริมฝีปากลงมาบนปากของผมทันที
จูบในครั้งนี้ไม่ได้ดูรุนแรงเหมือนทุกครั้ง มันเป็นจูบที่ช้า ๆ ไม่เร่งรีบ ทุกอย่างดูค่อยเป็นค่อยไป แต่ถึงมันจะอ่อนโยนแค่ไหน ก็สร้างความรู้สึกวาบหวามให้ผมมากอยู่ดี
“อื้อ”
เกลียวลิ้นของพี่แบล็กตวัดหยอกล้อกับเกลียวลิ้นของผมซ้ำไปซ้ำมา แขนทั้งสองข้างของผมเริ่มยกขึ้นกอดคอพี่แบล็ก เช่นเดียวกับมือของที่แบล็กที่กำลังลูบเอวผมช้า ๆ
เราจูบกันอยู่แบบนี้นานสองนานกว่าจะยอมผละออกจากกัน พอผละออกจากกันแล้ว พี่แบล็กก็ยังมองหน้าผมไม่หยุดจนผมสู้สายตาไม่ไหว แล้วหันหนีไปในที่สุด
“กลับไปอยู่บ้านก็ช่วยน้าเลี้ยงหลานก็พอ ไม่ต้องไปหางานอื่นทำเพิ่มนะ”
“ครับ จูไม่รับงานซ้อนครับ” ผมบอกแบบมั่นอกมั่นใจ เข้าใจพี่แบล็กนะ คงกลัวว่าผมจะอู้งานแอดมินแล้วไปทำงานอื่นแน่ ๆ
“ดี แล้วก็กินข้าวเยอะ ๆ หน่อย จะได้โตเร็ว ๆ”
“ครับ อีกสามเดือนกลับมา จูจะตัวโตเท่าพี่แบล็ก”
“หึ เอาแค่ตัวโตกว่ากระเป๋าให้ได้ก่อน”
“พี่แบล็กอ่า” ผมเบะปากแบบงอน ๆ ทำเอาคนมองชะงักไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเผลองอแงต่อหน้าพี่แบล็ก เลยรีบกลับมาทำหน้าปกติ แต่ก็ช้าไป พี่แบล็กขยับมาใกล้แล้วรั้งคอผมเข้าหาตัว ผมกำลังจะกล่าวขอโทษ แต่กลายเป็นว่าผมโดนพี่แบล็กจูบก่อน
“อื้อ”
กว่าผมจะโดนพี่แบล็กปล่อยรอบนี้ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอรู้สึกตัวพี่แบล็กก็ไม่พูดอะไร รีบขับรถไปส่งผมที่บ้าน ส่วนผมก็ได้แค่นั่งหน้าแดงอยู่อย่างนั้น
ตอนมาถึงบ้านผม พี่แบล็กไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ช่วยผมยกกระเป๋าเข้าไปในซอย แล้วบอกผมว่าอีกสามเดือนจะมารับแล้วจึงยอมเดินกลับไป
ส่วนผมก็ต้องยืนคิดหาวิธีอธิบายกับน้าต่อ ว่าทำไมถึงได้กลับมาทำงานที่บ้าน ซึ่งผมก็ให้เหตุผลกับน้าไปว่าคุณหนูที่ต้องดูแลไปเมืองนอก ผมเลยได้กลับบ้าน แต่ก็มีงานกลับมาทำด้วยถึงได้โน้ตบุ๊กกลับมาแบบนี้
ผมไม่อยากโกหกนะ แต่ผมต้องใช้วิธีนี้จริง ๆ เฮ้อ
ผมกลับมาช่วยน้าเลี้ยงน้องได้ประมาณสามวันแล้ว กลับมาทำงานที่นี่ผมก็ยังได้คุยกับพี่แซนทุกวัน เพราะต้องถามงานและรับจากพี่แซน ส่วนพี่แบล็กไม่ค่อยได้คุยนัก เพราะพี่แบล็กไม่ค่อยเล่นโซเชียล จะมีก็แต่เมื่อคืนที่จู่ ๆ พี่แบล็กก็คอลไลน์มา แต่ด้วยความที่โทรศัพท์ของผมมันเก่ามาก ๆ เวลารับแล้วภาพมันก็ไม่ค่อยชัดเลยคุยกันได้นิดเดียวพี่แบล็กก็วางไป แล้วก็มาวันนี้ ที่จู่ ๆ พี่แบล็กก็โทรมาอีก แต่วันนี้เป็นโทรปกติ
“ครับพี่แบล็ก” ผมรับสายของพี่แบล็ก พูดตรง ๆ ว่าผมยังใจเต้นทุกครั้งที่ได้คุยกับพี่แบล็ก มันกลัวนี่ครับ กลัวพี่แบล็กจะโทรมาบอกว่าไล่ผมออก แล้วเฉลยว่าทั้งหมดที่บอกให้ผมกลับมาช่วยน้าคือเรื่องโกหก พี่แบล็กแค่หาทางไล่ผมออก ถ้าเป็นแบบนั้นผมแย่เลยนะครับ
‘อยู่ตรงสนามเด็กเล่นที่จอดรถวันนั้น เดินออกมาหน่อย’
“ครับ? หมายถึงว่าพี่แบล็กมาบ้านผมเหรอครับ”
“อื้ม เร็ว ๆ”
แล้วพี่แบล็กก็วางสายไป ทิ้งให้ผมนั่งงงอยู่อย่างนั้น แต่จะงงนานไม่ได้ด้วยครับ ต้องรีบตั้งสติแล้วรีบออกไปหาพี่แบล็ก
ผมเดินจากบ้านไปข้างสนามเด็กเล่นที่พี่แบล็กจอดรถวันนั้นที่มาส่งผม แล้วก็พบว่าเป็นรถของพี่แบล็กจอดอยู่จริง ๆ ด้วย พอเห็นผมพี่แบล็กก็ลดกระจกลงแล้วบอกให้ผมขึ้นไปบนรถ เล่นเอาผมใจเต้นแรงกว่าเดิม
คงไม่ได้มาไล่ผมถึงที่ใช่ไหม
“สวัสดีครับพี่แบล็ก” ผมกล่าวทักทายแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ผิดกับพี่แบล็กที่พอเห็นหน้าผมท่าทางที่ดูตึงเครียดก็เปลี่ยนไป ตาพี่แบล็กดูสดใสขึ้น แต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมาหรอกนะ
ผมบอกแล้วว่าพี่แบล็กเขาแอบขี้เก๊ก
“เอานี่ไป จะได้คุยกันรู้เรื่อง” พี่แบล็กยื่นกล่องโทรศัพท์เครื่องใหม่มาให้ผม ผมรับมาแบบงง ๆ แล้วมองสิ่งนั้นแบบอึ้ง ๆ
“ให้ผมเหรอครับ”
“ใช่ เวลาคอลแล้วภาพแตกมันน่าหงุดหงิด” พี่แบล็กพูดพลางเอากล่องโทรศัพท์ในมือผมไปแกะออก แล้วยัดตัวเครื่องใส่ในมือผม
“ต่อไปใช้เครื่องนี้ แล้วก็รีบใส่ซิม แล้วไปเติมเน็ตโปรที่มันแรงที่สุดด้วย เติมเงินให้แล้ว”
“พี่แบล็ก มันไม่เยอะไปเหรอครับ นี่มันแพงมากเลยนะ” ผมไม่รู้จะทำยังไงกับโทรศัพท์ในมือจริง ๆ ไม่กล้ารับ แต่ก็ไม่กล้ายัดคืนให้พี่แบล็ก กลัวจะพลาดทำหล่นก่อน โทรศัพท์รุ่นนี้แพงมากผมรู้ดี ราคามันมากกว่าเงินเดือนของผมด้วยซ้ำ
“ใช้ ๆ ไปเถอะ สวัสดิการของช่อง”
“สวัสดิการ?” ผมไปต่อไม่ถูก นี่แปลว่าโทรศัพท์ของพี่นิล พี่แซนและพี่โจ พี่แบล็กก็ซื้อให้ด้วยเหรอ ใจป้ำไปไหมเนี่ย นี่ผมกำลังทำงานกับเศรษฐีรึไง
“ใช่ แล้วต่อไปเวลาคอลมาก็รับด้วย”
“ครับ แล้วคือ พี่แบล็กจะคอลมาสั่งงานเหรอครับ”
“เรื่องงานให้ไอ้แซนจัดการ”
“อ้าว แล้วพี่แบล็ก”
“ช่างเถอะ รับก็พอ” พี่แบล็กตัดบท ผมเลยไม่รู้จะถามอะไรต่อ ได้แต่นั่งมองไอ้โทรศัพท์ในมือต่อไป จนกระทั่งรู้สึกถึงสัมผัสเบา ๆ เหมือนมีลมหายใจมากระทบตรงคอ พอหันไปมองจึงพบว่าพี่แบล็กโน้มหน้ามาหา แล้วก็เหมือนเดิม ผมโดนพี่แบล็กจูบอีกแล้ว
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่งที่ผมกลับบ้าน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพี่แบล็กจะชอบวิดีโอคอลมาหาผมตอนดึก แต่ก็ไม่ค่อยพูดอะไร คอลมาก็ถามวันละประโยคสองประโยค แล้วก็วางไป หรือบางวันก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็วางไป เป็นอย่างนี้ทุกวันจนผมเริ่มชิน แล้วก็กลายเป็นว่าทุกวันเวลาสี่ทุ่มผมจะมานั่งรอสายจากพี่แบล็ก
แต่ที่แปลกคือเมื่อคืนพี่แบล็กไม่โทรมา จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ธุระจำเป็นที่พี่แบล็กจะต้องมาโทรหาผมทุกวัน แต่เพราะก่อนหน้านั้นพี่แบล็กโทรมาทุกวัน พอเมื่อคืนไม่โทรมาผมเลยรู้สึกว่ามันแปลก
กลายเป็นว่าวันนี้ทั้งวันผมไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงานเท่าไร เพราะเอาแต่คิดว่าตัวเองทำผิดอะไรรึเปล่า หรือวันก่อนหน้าผมพูดอะไรไม่ดี พี่แบล็กถึงไม่ยอมโทรมา
แต่ระหว่างที่ผมกำลังเครียด ๆ ก็มีข้อความจากไลน์พี่แบล็กเด้งขึ้นมา ผมกดเข้าไปอ่านแทบจะทันทีแล้วก็พบกับประโยคที่ทำให้รู้สึกแปลกใจ
‘ตอนเย็นจะเข้าไปรับ’
พี่แบล็กคงไม่ได้มาต่อว่าว่าผมทำอะไรไม่ถูกใจหรอกเนอะ
ผมรอจนถึงตอนเย็น พี่แบล็กก็มารับผมจริง ๆ ที่ที่พี่แบล็กพาผมไปคือร้านอาหารแบบล่องเรือ แม้จะงง ๆ แต่ผมก็ยอมเดินตามพี่แบล็กไปอย่างว่าง่าย จนกลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะกันแล้ว
มาถึงพี่แบล็กก็แจ้งชื่อแล้วพนักงานก็ไปจัดอาหารให้ ผมเดาว่าพี่แบล็กน่าจะจองไว้แล้ว การมากินอะไรแบบนี้มันคงจะไม่แปลกสำหรับคนมีเงินแบบพี่แบล็ก แต่ที่แปลกคือจะพาพ่อบ้านแบบผมมาด้วยทำไม
“พี่แบล็กครับ ทำไม...”
“สุขสันต์วันเกิด”
คำพูดของพี่แบล็กทำผมชะงัก ก่อนจะคิดแล้วประมวลผลได้ว่าวันนี้คือวันที่ 16 มีนาคม วันเกิดของผมจริง ๆ ด้วย นี่ผมลืมวันเกิดของตัวเองไปเลย
“จูลืมไปเลย พี่แบล็กจำได้ด้วยเหรอครับ”
“อื้ม ตกลงตอนนี้อายุสิบแปดจริง ๆ แล้วใช่ไหม” พี่แบล็กถาม หน้าตาพี่แบล็กดูคาดหวังกับคำตอบมาก ๆ
“ครับ จูอายุสิบแปดแล้ว” พี่แบล็กไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ผมก็รู้สึกว่าพี่แบล็กเหมือนจะยิ้มนิด ๆ แล้วอาหารที่พี่แบล็กสั่งไว้ก็มาส่งพอดี
“วันนี้ถือว่าฉลองวันเกิดให้ ตามสบายนะ”
“นี่ก็ สวัสดิการของพนักงานเหรอครับ”
“อื้ม ประมาณนั้น”
ผมถึงกับหลุดยิ้มให้กับคำตอบของพี่แบล็ก ผมมั่นใจว่าอันนี้ไม่น่าจะอยู่ในสวัสดิการนะ แต่ถ้าพี่แบล็กบอกว่ามันคือสวัสดิการ ผมก็จะเชื่อแบบนั้นก็ได้
ผมนั่งกินอาหารกับพี่แบล็ก แม้เราคอลกันทุกวัน แต่มันก็เป็นการคอลแบบไม่ได้พูดคุยกัน เลยทำให้รู้สึกเหมือนเราไม่ได้เจอกันมานานมาก ๆ แต่ที่น่าแปลกคือแม้ไม่ได้เจอกันมานาน ผมก็ไม่ได้รู้สึกเกร็งเวลาคุยกับพี่แบล็กเลย
พี่แบล็กที่ไม่ได้เจอกันเดือนครึ่งยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม ตอนกินข้าวกันก็มีแต่ผมที่ชวนคุย ส่วนพี่แบล็กก็มีถามบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่บ้าน พอกินข้าวเสร็จพี่แบล็กก็พาผมกลับมาส่งบ้าน แต่ยังไม่ทันถึงบ้าน พี่แบล็กก็แวะจอดรถที่สวนสาธารณะที่เป็นทางผ่านของบ้านผมซะก่อน
“ลงไปนั่งเล่นกัน”
พี่แบล็กพาผมมานั่งที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ แม้ตอนนี้จะมืดมาก ๆ แล้วแต่ที่นี่ก็ยังมีคนมาวิ่ง มีคนมานั่งเล่นอยู่บ้าง ผมกับพี่แบล็กไม่ได้พูดอะไรกันมาก เราต่างคนต่างนั่งเงียบ ๆ มองบรรยากาศรอบตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพี่แบล็กเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“จู”
“ครับ”
“อายุสิบแปดจริง ๆ แล้วใช่ปะ” พี่แบล็กถามย้ำเหมือนตอนอยู่ในร้าน ราวกับกลัวว่าผมจะหลอกเรื่องอายุอีกรอบ ผมได้ยินแบบนั้นก็อยากจะทำให้พี่แบล็กมั่นใจด้วยการหันไปหยิบกระเป๋าตังค์ กะจะเอาบัตรประชาชนออกมาให้พี่แบล็กดู แต่ก็โดนมือหนารั้งต้นคอเข้าไปใกล้
“ขอจูบเด็กสิบแปดหน่อยสิ” พี่แบล็กกระซิบเสียงแผ่วเบาริมหูผม
การโดนพี่แบล็กจูบมันเขินมาก ๆ สำหรับผม แต่การโดนพี่แบล็กขอจูบมันกลับเขินยิ่งกว่า ทำไมพี่แบล็กไม่ทำเลย จะต้องขอก่อนทำไม แบบนี้มันน่าอายนะถ้าผมจะบอกว่าอนุญาต
“จู” พอเห็นผมเงียบพี่แบล็กก็เริ่มเร่งด้วยการนวดมือที่ท้ายทอยผมเบา ๆ ดวงตากลมของผมช้อนมองดวงตาของพี่แบล็ก พยายามจะบอกอนุญาตผ่านทางสายตา แต่พี่แบล็กก็ไม่ยอมจูบ แถมเอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้น
“จูบหน่อย”
พรึบ
“อื้ม” สุดท้ายผมก็ทนดวงตาทรงเสน่ห์นั้นไม่ไหว จึงเป็นฝ่ายดึงคอเสื้อพี่แบล็กเข้ามาจูบเองแทนคำอนุญาต
ทันทีที่ริมฝีปากเราประกบกัน ความรู้สึกที่ห่างหายไปเดือนกว่าก็กลับมาอีกครั้ง ริมฝีปากที่เคยสัมผัสที่แสนคิดถึงทำให้เกลียวลิ้นของเราสองคนทำงานแทบจะทันที
ท่ามกลางความมืด ผมมองเห็นแต่ใบหน้าของพี่แบล็ก ท่ามกลางความเงียบ หูของผมมันก็ได้ยินแต่เสียงจูบของเราสองคน
เราสองคนจูบกันอยู่เนิ่นนานกว่าจะยอมผละออก พอผละออกจากกันพี่แบล็กก็ยังตามจูบซับที่มุมปากผมไม่เลิก
“อื้อ พี่แบล็กครับ”
“จู ไปที่รถกัน”
แล้วจู่ ๆ พี่แบล็กก็จูงมือขึ้นไปบนรถ แต่ไม่ได้ขึ้นไปนั่งข้างหน้า พี่แบล็กดันตัวผมเข้าไปในเบาะหลัง ตัวผมนอนราบลงกับเบาะ แล้วพี่แบล็กก็ตามขึ้นคร่อมก่อนจะปล้ำจูบใหม่
“อื้อ” พอคราวนี้ไม่ได้กลัวใครมอง พี่แบล็กก็จูบผมแบบร้อนแรงขึ้นจนเกิดเสียงดังก้องรถ ระหว่างที่จูบ ท่อนขาแกร่งก็ดันขาผมให้กางออก แล้วแทรกตัวเข้ามาตรงกลาง
นี่ไม่ใช่จูบแรก แต่มันเป็นครั้งแรกที่เราจูบกันแล้วสัมผัสนัวเนียกันขนาดนี้ ในยามที่ปากทำหน้าที่ มือของพี่แบล็กก็เริ่มสอดเข้าไปในเสื้อแล้วลูบไล้ตัวผมไปมาจนผมรู้สึกว่าร่างกายมันรู้สึกวาบหวิวไปหมด
“อื้อ ฮ่า พี่แบล็ก”
“จู” พี่แบล็กพึมพำชื่อผมแล้วเริ่มซุกไซ้ตามซอกคอของผม ผมรู้สึกถึงลิ้นร้อนที่กำลังตวัดเลียลำคอของผมอยู่ แล้วภาพที่เคยดูพี่แบล็กทำกับพาร์ตเนอร์ก็แล่นเข้ามาในหัว ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณพาร์ตเนอร์ทั้งหลายของพี่แบล็กถึงร้องลั่นแบบนั้น เพราะมันรู้สึกดีสุด ๆ เลยละ
“อื้อ อ๊ะ พี่แบล็กครับ”
“จู กลับมาแล้วถ่ายคลิปกับพี่ไหม” พี่แบล็กผละขึ้นมาถามแล้วซุกลงที่คอผมต่อ ผมได้ยินที่พี่แบล็กถามนะ แต่ตอนนั้นมันไม่ค่อยมีสติเลย ผมรู้แค่ว่ารู้สึกดี ชอบเวลาที่พี่แบล็กตวัดลิ้นไปตามลาดไหล่และลำคอมาก ๆ เลย
“อื้อ ดีจัง”
“จู” คำว่าดีจังของผมทำพี่แบล็กหยุดชะงัก ใบหน้าหล่อคมเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วกัดฟันแน่น ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากตัวผมแล้วยกมือขึ้นกุมหัวอีกครั้ง
“เธอมันโคตรอันตราย”
“จูทำอะไรพี่แบล็กเหรอครับ” ผมไม่เข้าใจ ผมลุกขึ้นตามพี่แบล็กแล้วขยับตัวไปกอดแขนพี่แบล็กไว้ ยังตกใจอยู่ที่จู่ ๆ พี่แบล็กก็หยุด
“จูทำอะไรผิดครับ ทำไมพี่แบล็กหยุด”
คำถามของผมทำพี่แบล็กถอนหายใจแรง ๆ แล้วหันมาจับไหล่ผม ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“จู ฟังนะ ถ้าไม่หยุดพี่เผลอเอาเราแน่ ๆ”
“เอ่อ”
คราวนี้กลายเป็นผมที่ชะงักไปเอง แล้วเริ่มจัดเสื้อผ้าให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะนั่งก้มหน้าก้มตาเพราะเขินจนทำตัวไม่ถูก เมื่อกี้ผมหลงมัวเมาไปกับสัมผัสของพี่แบล็กจนลืมคิดไปเลยว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่มันล่อแหลม
“เฮ้อ แล้วตกลงว่ายังไง เรื่องถ่ายคลิป” พี่แบล็กถามย้ำผมจึงได้มีโอกาสตั้งสติขึ้นมาใหม่
“พี่แบล็กอยากให้จูถ่ายเหรอครับ” ผมเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจ ผมยังจำวันนั้นได้ที่พี่แบล็กยืนกรานจะไม่ยอมถ่ายคลิปกับผม วันนี้เลยแปลกใจนิดหน่อยที่จู่ ๆ พี่แบล็กมาชวนถ่ายคลิป
“ก็...อื้ม อยาก”
“ถ้าพี่แบล็กอยากให้จูถ่าย จูถ่ายก็ได้ครับ แต่ว่า...จูทำไม่เป็นนะครับ”
“เดี๋ยวพี่สอน!” พี่แบล็กตอบกลับทันควัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเผลอแสดงออกมากไป เลยกระแอมในลำคอแล้วหันไปทางอื่นเหมือนไม่ได้สนใจ
“จะถ่ายแน่นะ”
“ครับ ก็ดีเหมือนกัน จูจะได้เก็บเงินได้เร็ว”
แล้วมันก็คงดีด้วย ถ้าครั้งแรกของผมเป็นพี่แบล็ก พี่ชายที่ผมปลื้มมาตั้งนาน
“ได้ งั้นอีกเดือนครึ่งพี่มารับ แล้วเราจะถ่ายคลิปกัน”
“เอ่อ...” ผมหน้าเหวอกับความรีบของพี่แบล็ก พี่แบล็กเองก็เหมือนจะรู้ตัว เลยแก้ไขคำพูดใหม่
“ไม่ได้จะถ่ายเลย เดี๋ยวจะพยายามทำให้คุ้นชินก่อน แล้วมาถ่ายคลิปกัน”
“ครับพี่แบล็ก เอาแบบนั้นก็ได้”
“อื้ม งั้นคืนนี้จูบกันอีกสองรอบ แล้วพี่จะไปส่ง”
------------------------------------------------------------
ทุกคนอย่าด่าเรา เราก็อยากข้ามไปสามเดือนต่อมาเหมือนกัน
แต่พี่แบล็กเนี่ยสิ ไม่สามารถห่างน้องไปเฉยๆ ได้ ต้องแวะพาน้องไปวอแวหน่อย
แต่ตอนนี้หน้า น้องจะกลับมาบ้านพี่แบล็กแล้วค่ะทุกคน กีสๆ
#เด็กหลังกล้อง