“ก็คงต้องเริ่มจากกล้องวงจรปิดก่อนเป็นอันดับแรก เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง” เพราะคิดว่าคนร้ายต้องเป็นคนใน และรู้จักที่ทางในบริษัทนี้เป็นอย่างดี คงไม่ปล่อยให้เขาจับได้ง่ายๆ แน่ แต่เขาก็ยังคิดว่ามันอาจจะยังพอมีเบาะแสเหลืออยู่บ้าง
“ค่ะ ขอบคุณนะคะบอส” เธอมองเขาด้วยสายตาซาบซึ้ง
“อืม!” เขาตอบแก้เก้อให้ตัวเองไม่ดูประดักประเดิดเกินไปนัก
“งั้นฉันออกไปทำงานต่อนะคะ” เธอลุกขึ้นเดินไปที่ประตู แต่ไม่ทันจะได้เอื้อมไปเปิดก็ต้องชะงักเพราะเสียงเขาอีก
“เดี๋ยว”
“คะ?”
“เที่ยงนี้จัดอาหารเข้ามาในนี้สองชุด”
“บอสมีนัดเหรอคะ ว่าแต่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือไม่ก็ถ้าชอบแบบไหนเป็นพิเศษก็แจ้งได้เลยนะคะ เดี๋ยวฉันจัดการให้” เธอบอกอย่างกระตือรือร้น ถ้าเทียบกัน สิ่งที่เธอกำลังจะทำ มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขากำลังจะทำให้
“แบบคุณ” ศิศิราหันมามองคนที่พลั้งปากพูดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“ผมหมายถึงเอาแบบที่คุณชอบก็ได้ ผมไม่ใช่คนเรื่องมาก คุณกินได้ ผมก็กินได้” เขารีบแก้ตัว
“เอ้า! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะคะ” เธอทำหน้างงอีก
“ก็ที่นึงของผม ส่วนอีกที่ก็ของคุณ เที่ยงนี้เราจะกินข้าวด้วยกัน”
“เอ้า! ทำไมล่ะคะ” หัวคิ้วทั้งสองข้างของเธอขมวดเข้าหากันอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ก็อย่างที่บอก เพื่อความปลอดภัย พยายามอย่าอยู่ห่างจากผม”
“อ้อ…! ค่ะ” เธอรับคำพร้อมกับเดินเกาหัวแกรกๆ ออกไป ทิ้งให้คนในห้องลอบยิ้มตามลำพัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าเครียดในเวลาต่อมา เพราะเรื่องจดหมายนั่น
“กลับกันเถอะ” ขณะที่เธอยังง่วนอยู่กับการจัดเอกสาร เสียงเขาก็ทำให้เธอจำต้องเงยขึ้นมาทำหน้างง
“คะ?”
“จำไม่ได้เหรอว่าเราต้องกลับบ้านพร้อมกัน และผมต้องไปส่งคุณเพราะอะไร คุณควรหาวิตามินมากินบ้างนะศิศิรา” คนถูกว่ากลายๆ ถึงกับหันไปทำปากขมุบขมิบอีกทาง ครั้นพอหันกลับมาอีกที เขาก็เดินลิ่วๆ ไปแล้ว เดือดร้อนให้เธอต้องรีบคว้ากระเป๋าสะพายตามเขาไป
กระทั่งมาถึงหน้าบริษัทรถสปอร์ตคันหรูก็มาจอดรออยู่ ครั้งนี้ก็เหมือนทุกครั้งที่เขาก้าวขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ ทำให้เธอต้องรีบวิ่งไปอีกฝั่งเพื่อนั่งๆ ข้างๆ กัน แต่ทันทีที่หย่อนก้นลงก็พบกับบางอย่างที่ทำให้เธอต้องร้องอุทาน
“อุ๊ย! น้องหมาขนปุยนี่ของบอสเหรอคะ ฮ่าๆๆ” เธอถูกลูกสุนัขขนปุยจู่โจมด้วยการโถมเข้ามาเลียหน้าเลยตาจนต้องหัวเราะเสียงดังออกมา เห็นแล้วเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆ หุบยิ้ม เมื่อรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาจากมุมใดมุมหนึ่ง ครั้นพอหันไปมองรอบๆ กลับไม่พบใคร ก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ชายหนุ่มรีบขับรถออกมาจากตรงนั้น ในขณะที่คนข้างๆ นั้นก็ยังคงง่วนอยู่กับการกอดรัดฟัดเหวี่ยงน้องหมาขนปุยด้วยความมันเขี้ยว
“ไม่ยักรู้ว่าบอสก็ชอบหมาเหมือนกัน” คนถูกถามชะงักหน้าเหลอ ด้วยนึกคำตอบไม่ทัน
“เอ้อ…ก็ชอบมั้ง” เขาหันไปมองหน้าหมานิดนึงก่อนตอบ
“แล้วมันชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ รับมันมาเลี้ยงนานรึยังคะ” เธอถามรัวๆ ขณะที่กำลังดันหน้าเจ้าหมาน้อยที่กำลังพยายามเลียหน้าเลียตาเธอไม่เลิกออก
“เอ่อ…ผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันสักเท่าไหร่ พอดีเพื่อนให้มาก็เลยต้องรับเอาไว้” ตัดมาที่ภาพความเป็นจริงที่วันนี้เขาให้คนไปควานหาเจ้านี่ กว่าจะได้มาเล่นเอาวุ่นวายทั้งวัน ทีแรกระบุไปว่าจะเอาโกลเด้น แต่ประจวบเหมาะพันธุ์นี้ดันไม่เหลือสักฟาร์ม สุดท้ายก็เลยได้เจ้าหมาหน้าตาเจ้าเล่ห์อย่างไซบีเรียนฮัสกี้ตัวนี้มาแทน หรือถ้าจะพูดกันตรงๆ เขาก็เพิ่งเห็นมันตัวเป็นๆ พร้อมๆ กับเธอนี่แหละ
“เอ้า! แล้วแบบนี้บอสจะเลี้ยงมันได้เหรอคะ”
“ก็กะว่าถ้าเลี้ยงไม่ได้ ก็จะยกให้เขาอีกที”
“อื้อ! ไม่เอา อย่านะคะบอส มันน่ารักออกขนาดนี้ เลี้ยงไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าบอสเลี้ยงไม่ไหว เดี๋ยวฉันไปช่วยเลี้ยงเองก็ได้” เธอตอบพลางกอดน้องหมาตัวน้อยด้วยความหวงแหน ในขณะที่เขากลับหันไปลอบยิ้มอีกทาง
“คุณจะมีเวลาเหรอ เดี๋ยวก็หาว่าผมใช้งานคุณหนักจนไม่มีเวลาพักอีก” ถ้าเธอไม่มัวแต่มองเจ้าหมาตัวน้อย เธอคงจะได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของเขาตอนนี้
“ก็นี่แหละค่ะเวลาพักของฉัน ไม่เคยได้ยินเหรอ น้องหมาบำบัด น้องหมาพวกนี้สามารถช่วยให้เราผ่อนคลายและหายเหนื่อยได้ ได้โปรดเลี้ยงมันไว้นะคะ สัญญาว่าฉันจะช่วยเต็มที่ค่ะ” เธอจับมือน้องหมาชูขึ้นมาออดอ้อน
“อืม! จะพยายาม” เขาแสร้งตอบส่งๆ ก่อนจะลอบหันไปยิ้มอีกทางอีก
“แล้วว่าแต่มันมีชื่อรึยังคะ”
“คุณก็ตั้งให้มันสิ” เขาตอบโดยไม่ได้หันมามองหน้าด้วยซ้ำ เพราะพอจะเดาออกว่าเธอจะมีอาการยังไง
“ฉันเหรอคะ ฉันตั้งให้มันได้จริงๆ เหรอ” เขาคิดอยู่แล้วล่ะว่าเธอจะต้องออกอาการตื่นเต้น แต่ก็ไม่นึกว่าจะมากขนาดนี้
“แต่มันเป็นหมาบอสนะ” จากตื่นเต้นเธอก็เปลี่ยนเป็นลังเล
“งั้นก็ไม่ต้องตั้ง ให้มันชื่อไอหมูไอหมาไอดำไอแดงอะไรก็ได้”
“ฮื่อ! ได้ไงคะบอส ถ้าบอสขี้เกียจตั้ง ฉันตั้งเองก็ได้ค่ะ เอ! น่ารักๆ แบบนี้ชื่ออะไรดีนะ” พูดจบเธอก็หันไปพูดกับหมาโดยไม่สนใจเขาอีก
“ละมุนดีไหม” เธอถามหมา แต่เขากลับโพล่งตอบออกมา
“เหอะ! ละมุนตรงไหน หน้ามันเจ้าเล่ห์ออกขนาดนี้ ถ้าชื่อจิ้งจอกก็ว่าไปอย่าง”
“บ๊อกๆๆๆๆ” สิ้นเสียงลูกหมาที่ถูกกล่าวหาว่าหน้าตาเจ้าเล่ห์ก็เห่าใส่เขาเสียงดัง
“เห็นไหมคะว่ามันไม่ชอบ คนอะไรไม่มีความอ่อนโยนเอาซะเลย เนอะละมุนเนอะ” ท้ายประโยคเธอแอบบ่นเบาๆ ก่อนจะหันไปเออออกับหมาต่อ
“แล้วรู้ได้ไงว่ามันไม่ชอบ บางทีมันอาจะชอบกว่าชื่อแต๋วๆ ที่คุณตั้งให้ก็ได้ มันเป็นตัวผู้ แต่ให้มันชื่อละมุน อนาคตคุณคงจับมันใส่กระโปรง”
“ก็บอสบอกเองว่าให้ฉันตั้งให้ ฉันก็ตั้งจากมุมมองที่ฉันเห็น ถ้าบอสไม่พอใจจะตั้งเองฉันก็ไม่ว่าค่ะ” เธอบอกเสียงกระแทกกระทั้น
“ละมุนก็ละมุน ไหนๆ คุณก็อุตส่าห์ตั้งให้มันแล้วนี่” พูดแล้วเขาก็แอบเหลือบไปมองที่คนข้างๆ ครั้นพอเห็นเธอยิ้มออก เขาก็ยิ้มตามพลางส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะพูดต่ออีก
“ในฐานะที่คุณเป็นคนตั้งชื่อให้มัน เอาเป็นว่าจากนี้ไปเราก็เป็นเจ้าของมันคนละครึ่งก็แล้วกัน” ประโยคนี้ของเขาทำเอาเธอหันขวับมามองตาโต ก่อนจะเลื่อนมือไปจับที่แขนเขาอย่างลืมตัว
“พูดคำไหนคำนั้น ห้ามคืนคำนะคะบอส” ดูเหมือนเธอจะหลงเจ้าละมุนหัวปักหัวปำ จนลืมช่องว่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้องไปเสียสนิท
“ขับรถอยู่” เขารีบปราม เมื่อเธอไม่ใช่แค่จับ แต่ยังเขย่าด้วย
“อุ้ย! ขอโทษค่ะ” คนเพิ่งรู้ตัวรีบปล่อยมือ
“อ้อ! ผมให้คนเปิดดูกล้องวงจรปิดเมื่อเช้าแล้วนะ” จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนประเด็นวกกลับเข้ามาที่เรื่องเมื่อเช้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เอ่อ…ได้เรื่องยังไงบ้างคะ” เธอเองก็หันมาถามด้วยความอยากรู้เช่นกัน
“น่าแปลกที่ช่วงนั้นกล้องมันดันมาเสียพอดี” เธอได้ฟังถึงกับหน้าสลด จนเขาต้องพูดปลอบ
“ไม่ต้องห่วง ยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรคุณได้หรอก” เธอหันมามองเจ้านายหนุ่มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ก็ไม่รู้ว่าเธอจะมั่นใจได้ไหมว่าเขาจะทำแบบนั้นได้จริงๆ แต่น้ำเสียงที่หนักแน่นนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยได้อย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณนะคะบอส”