บทที่ 5
“ว่าแต่เราคุยกันตั้งนาน คุณน้ายังไม่รู้เลยว่าหนูน้อยคนสวยคนนี้ชื่ออะไร”
“หนูชื่อจันทร์เจ้าค่ะ แล้วคุณน้าล่ะคะ ชื่ออะไร” เด็กน้อยถามกลับ
“เรียกว่าน้าสิก็ได้จ๊ะ แล้ว…” ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดคุยต่อ เสียงของผู้หญิงคนนึงก็ดึงเอาความสนใจจนต้องหันไปมอง
“จันทร์เจ้า! มาอยู่นี่นี่เอง ปล่อยให้มาลีตามหาตั้งนาน แล้วออกมาข้างนอกทำไมคะ ทำไมไม่อยู่ในห้อง รู้ไหมว่ามาลีต้องทำงาน ไม่มีเวลามาตามหนูทั้งวันหรอกนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอเดาได้จากชุดยูนิฟอร์มว่าน่าจะเป็นพนักงานของโรงแรมกำลังร่ายยาวด้วยท่าทางหงุดหงิดเต็มที
“อย่าไปโทษเด็กเลยค่ะ ผิดที่ฉันเองที่ชวนเขาคุยนานไปหน่อย” ศิศิราออกตัวแทน ทำเอารายนั้นหันขวับมามอง
“แล้วคุณเป็นใคร มาเกี่ยวอะไรด้วย” พนักงานสาวหันมาเหวี่ยงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เหมือนถูกด่าว่าเผือก เออ! เผือกก็เผือก ฉันก็เป็นคนที่ไม่ชอบเห็นความไม่ถูกต้องไง เรื่องนี้ถ้าจะมีคนผิดก็คุณนั่นแหละ ถ้าคุณดูแลเด็กดีๆ เด็กก็ไม่ต้องออกมาวิ่งเล่นจนคุณต้องมาตามหาแบบนี้ จริงอยู่ที่เด็กอาจจะผิดที่ออกมาโดยไม่บอกคุณ แต่คุณเองก็ผิดที่ดูแลเขาไม่ดี” ศิศิราว่าให้
“กล้าดียังไงมาพูดกับฉันแบบนี้” พนักงานสาวนัยน์ตาขุ่นขวาง
“ก็กล้าเหมือนที่คุณกล้านั่นแหละ เฮอะ! พูดกับคนอย่างคุณนี่เสียเวลาชะมัด จันทร์เจ้าคะ คุณน้าไปก่อนดีกว่านะ คุณน้ายังอยากเป็นนางฟ้าในสายตาหนู แต่ขอไม่อยู่บนสวรรค์นะ อ้อ! แล้วถ้าคราวหน้าจะออกไปไหน ต้องขออนุญาตคุณน้าหน้ายักษ์คนนั้นก่อนรู้ไหมคะ” ท้ายประโยคเธอเข้าไปกระซิบกระซาบเด็กน้อยให้ได้ยินกันสองคน แล้วทั้งคู่พากันหัวเราะคิกคัก ก่อนที่เธอจะลุกเดินไปอีกทาง
“นี่! จะไปไหนล่ะ แน่จริงก็กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ” ศิศิราเพียงส่ายหน้าน้อยๆ กับเสียงที่ตะโกนไล่หลังมา ถ้าไม่ติดว่าวันนี้เธอมาทำงานล่ะก็ เธอก็อยากจะกลับไปประจันหน้าให้มันรู้แล้วรู้รอดเหมือนกันนั่นแหละ
“หนักมากเลยเหรอ” ทันทีที่กลับมานั่งข้างๆ บอสหนุ่ม เขาก็ยิงคำถามที่ทำให้เธอต้องฉงน
“คะ?”
“ก็เห็นหายไปเข้าห้องน้ำซะนาน ก็นึกว่าหนักมาก” สีหน้าคนพูดยังคงเรียบเฉย ต่างกับเธอที่กำลังกระอักกระอ่วนเต็มที เพราะถึงมันจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่กล้ายอมรับต่อหน้าผู้ชายว่าหายไปออก…มา โดยเฉพาะหายไปนานสองนานขนาดนี้ด้วย
“พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อยอะค่ะ” ทันทีที่ได้ยินคำว่าอุบัติเหตุ คนที่นั่งทำสีหน้าเรียบเฉยถึงกับหันขวับมาสำรวจด้วยสีหน้ากระวนกระวายทันที
“อุบัติเหตุอะไร แล้วคุณเป็นอะไรมากรึเปล่า” เขาพยายามดึงแขนเธอมาสำรวจ ก่อนจะสำรวจไปทั้งตัว
“มะๆ ไม่ได้เป็นอะไรค่ะบอส ก็แค่เดินชนกันธรรมดาค่ะ” เธอทำหน้าแหย เคลือบแคลงในสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออก
“ชน? งั้นก็แสดงว่าคุณต้องเจ็บ” เขาจับแขนเธอมาพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อสำรวจอีกครั้ง
“เอ่อ…ชนกับเด็กค่ะ” คำตอบของเธอทำเอาเขาปล่อยแขนแทบไม่ทัน ก่อนจะรีบหันหน้าไปอีกทาง ครั้นพอคิดทบทวนถึงพฤติกรรมน่าอายก่อนหน้า เขาก็ต้องหลับตาแน่น โชคดีที่เจ้าของห้องออกไปจัดการเอกสารเพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกอายมากกว่านี้
“ขอโทษที่ให้รอ เอกสารทั้งหมดอยู่ในซองนี้แล้ว คุณลองตรวจดูก่อนนะครับว่ายังต้องการอะไรเพิ่มอีกไหม” นึกถึงเจ้าของห้อง เจ้าของห้องก็เดินเข้ามาพร้อมกับยื่นซองเอกสารให้ ศิศิราจึงยื่นมือไปรับแทน แน่นอนว่าหน้าที่ตรวจทานเอกสารเป็นของเธอ แต่ไอ้ท่าทางกระมิดกระเมี้ยนช้อนตาประหนึ่งว่าเขินอายนักหนากะอีกแค่รับซองเอกสาร ก็ทำเอาภากรถึงกับออกอาการหมั่นไส้
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับเลยแล้วกันนะครับ ส่วนเอกสารนี่ หลังตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ผมจะเข้ามาพบคุณอีกที” ภากรบอกเจ้าของโรงแรม ก่อนจะหันมาเขม่นแม่เลขาของตัวเองอีกที ก็รายนั้นเอาแต่ยืนมองผู้ชายตาเชื่อมเลยน่ะสิ
“ครับ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันเร็วๆ นี้นะครับ” เจตต์บอกพลางยื่นมือไปให้จับ แต่แล้วมือที่ยื่นมาจับกลับไม่ใช่มือของภากร แต่เป็นมือของศิศิราที่เผลอยื่นมือมาตัดหน้าเจ้านาย
“…” ทุกอย่างพลันสงบนิ่ง กระทั่งสองหนุ่มต่างพากันหันมาจับจ้องเธอเป็นตาเดียว และตอนนั้นเองที่สติสตังของเธอกลับคืนมา ศิศิรามองหน้าสองหนุ่มสลับกันไปมา ก่อนจะก้มมองมือตัวเอง
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” เธอชักมือกลับราวต้องของร้อน แต่ก็ไม่วายหันมายิ้มเอียงอายให้อีก ทำใครบางคนถึงกับกัดฟันกรอด
“ถ้างั้นผมขอตัวเลยแล้วกันนะครับ” เขาตัดบทด้วยการเดินไปที่ประตู แต่ก็ยังไม่ทันจะได้เอื้อมมือไปเปิด ประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเข้ามา พร้อมกับเด็กสาวตัวน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู
“ป๊ะป๋าขาจันทร์เจ้าอยากกินขนม” เสียงคุ้นหูของเด็กน้อยทำให้ศิศิราต้องหันไปดู
“จันทร์เจ้า!” เธอเรียกเด็กน้อย ซึ่งรายนั้นก็หันมายิ้มให้ทันทีที่เห็นว่าเป็นเธอ
“คุณน้านางฟ้า” เด็กน้อยเรียกเธอด้วยรอยยิ้มปรีดี พร้อมกับเดินเข้าไปหา ทำเอาสองหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับทำหน้างง
“สองคนรู้จักกันเหรอครับ” เจตต์ถามพลางขมวดคิ้วสงสัย
“อ๋อ! เราเจอกันตอนฉันเอ่อ…ออกไปเข้าห้องน้ำค่ะ” เธอยังตะขิดตะขวงใจเรื่องห้องน้ำไม่หาย
“น่าแปลกนะครับ ปกติลูกสาวผมเขาไม่ค่อยชอบสุงสิงกับคนที่ไม่สนิท ยิ่งคนแปลกหน้ายิ่งแล้วใหญ่”
‘คงเพราะฉันหน้าแปลกล่ะมั้ง ลูกคุณถึงเข้ากับฉันได้’ เธอแอบคิดในใจ ก่อนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ลูก?” เสียงเธอแทบเป็นเสียงตะโกน
“ใช่! เขามีครอบครัวแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ เขามีเมียแล้ว” แทนที่จะเป็นเจตต์ที่ตอบ แต่กลับเป็นภากรที่เดินมายืนข้างๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แค่ตอนนี้เขามายืนกระซิบอยู่ข้างๆ หูเธอ
“ครับ นี่ลูกสาวผม เมื่อกี้…” ยังไม่ทันที่เจตต์จะได้พูดจนจบ ประตูห้องก็ถูกเคาะพร้อมกับเปิดปึงเข้ามา เป็นมาลินีพนักงานสาวที่เพิ่งจะวางมวยกับเธอก่อนหน้า แล้วก็เป็นอีกครั้งที่รายนั้นวิ่งหน้าตื่นกระหืดกระหอบมาตามหาเด็กน้อย แต่ครั้งนี้ต่างกับครั้งที่แล้ว เมื่อที่นี่ไม่ได้มีแค่ศิศิรา แต่ยังมีพ่อเด็กด้วย ซึ่งอาจจะทำให้หน้าที่การงานของคุณเธอสั่นคลอนได้
“ขอโทษค่ะท่านประธาน จันทร์เจ้าคะไปกับมาลีค่ะ มาลีจะพาไปหาอะไรกินนะคะ” มาลินีพยายามกวักมือเรียก แต่เด็กน้อยกลับยิ่งขยับเข้าไปใกล้ศิศิรามากขึ้น
“ไม่เอา หนูจะอยู่กับคุณน้านางฟ้า ป๊ะป๋าขาหนูไม่อยากไปกับคุณน้าหน้ายักษ์คนนี้” เด็กน้อยหันไปบอกคุณพ่อ ทำเอาคนถูกหาว่าหน้ายักษ์ถึงกับหันขวับไปมองที่ศิศิราตาขวาง แต่เธอเพียงยักไหล่ให้
“แต่คุณน้าต้องกลับแล้วนะคะ ไว้ถ้ามีโอกาสคุณน้าจะมาหาหนูอีกโอเคไหม” เด็กน้อยพยักหน้าด้วยสีหน้าสุดสลด
“จะรังเกียจไหมครับ ถ้าผมจะชวนคุณสองคนลงไปทานของว่างกันข้างล่าง พอดีโรงแรมเราเพิ่งเปิดร้านกาแฟใหม่ จะได้คุยเรื่องงานกันต่อด้วย” เจตต์ชวน ในขณะที่เธอได้แค่หันไปรอคำตอบจากเจ้านายหนุ่ม ตอนนี้ดูเหมือนความกดดันทั้งหมดจะตกอยู่ที่เขาคนเดียว เมื่อทุกสายตาพากันจับจ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียว โดยเฉพาะสายตาของเด็กน้อย
“ครับ” เขาตอบออกไปอย่างไม่มีทางเลือก กระทั่งทั้งหมดพากันย้ายลงมานั่งในร้านกาแฟที่แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่กาแฟ เพราะว่าเจ้าของโรงแรมตั้งใจเปิดไว้เพื่อลูกสาว ดังนั้นร้านนี้จึงเต็มไปด้วยขนมหวานมากมาย รวมทั้งไอศกรีมที่สองสาวต่างวัยสั่งมากินด้วยกัน ในขณะที่สองสาวนั่งเล่นกันอยู่มุมหนึ่ง สองหนุ่มก็แยกออกมานั่งคุยกันอีกโต๊ะนึง
“แล้วเอ่อ…แม่ของลูก ผมหมายถึงภรรยาคุณล่ะครับ” ภากรถามทำลายความเงียบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งมองไปที่โต๊ะของลูกสาว ก็ไม่รู้ว่ากำลังมองลูกสาวหรือมองใครกันแน่
“ภรรยาผมเสียไปนานแล้วครับ” เจตต์หันมาตอบ
“อ้อ! เสียใจด้วยนะครับ”