บทที่ 4
“เริ่มกันเลยนะครับ ตามที่คุณเสนอมา ทางผมเห็นด้วยและตกลงตามข้อเสนอของคุณ แต่ทางผมขอเพิ่มข้อตกลงเข้าไปอีกนิดหน่อย คุณลองอ่านดูก่อน ตรงไหนที่ไม่โอเค บอกมาได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ภากรพาเข้าเรื่องเป็นการเป็นงาน หวังดึงสติคนของตัวเองที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าลูกค้าตาเป็นมันให้กลับมาโฟกัสที่งาน
“สัญญาจากหนึ่งปีเป็นหกเดือน?” เจตต์หยิบหนังสือสัญญาที่อีกฝ่ายยื่นให้มาอ่าน
“ครับ เพื่อประโยชน์ของทั้งทางคุณแล้วก็ทางผมเอง ผมไม่อยากให้เราต้องผูกมัดกันด้วยระยะเวลาที่นานเกินไป บางทีหกเดือนนี้อาจมีอะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นที่ทำให้เราต้องมานั่งคิดทบทวนเรื่องสัญญา ถึงตอนนั้นคุณหรือไม่ก็ผมอาจจะรู้สึกไม่โอเคกับสัญญาฉบับนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเราจะสามารถตกลงและเปลี่ยนแปลงมันใหม่ได้ แต่ถ้าถึงตอนนั้นแล้วเราทั้งคู่ยังพอใจในข้อตกลงนี้ เราค่อยมาต่อสัญญากันก็ยังไม่สาย คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ” คำถามของเขาทำเจ้าของโรงแรมหยุดคิดนิด นึงก่อนตอบ
“โอเคครับ ผมเห็นด้วยกับคุณ ถ้างั้นถ้าทางผมจะขอเลือกพรีเซ็นเตอร์เอง คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ” ทางเจตต์เสนอบ้าง
“แน่นอนครับ ทันทีที่เราตกลงเซ็นสัญญาร่วมงานกัน คุณกับผมก็เปรียบเสมือนหุ้นส่วน คุณไว้วางใจบริษัทผม ผมเองก็เชื่อในสายตาคุณ” ดูเหมือนเรื่องเซ็นสัญญาจะเป็นไปได้ด้วยดี คงมีก็แต่เลขาของเขากระมังที่นั่งขยับยุกยิกไปมา
“เป็นอะไร” เขาก้มลงมากระซิบใกล้ๆ คล้ายกำลังดุ
“เอ่อ…บอสคะ ฉันขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่ได้ไหมคะ” เธอบอกด้วยทีท่ากระสับกระส่าย
“ไม่สบายเหรอ ไปหาหมอไหม” ถ้าเป็นเวลาปกติ เธอคงจะรู้สึกดีที่เจ้านายเป็นห่วงเธอขนาดนี้ แต่ตอนนี้…เธอกลับรู้สึกตรงกันข้าม
‘มันใช่เวลาไหมเนี่ย ฉันไม่ได้อยากไปหาหมอ ฉันอยากไป… ฉันต้องมานั่งสาธยายให้ทุกคนรู้ไหมว่าฉันปวด…ฮือ…! เอาไงดีวะเนี่ย ถ้าประกาศออกไปตรงๆ ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไป สองคนนี้คงมองเราไม่เหมือนเดิมอีก เฮ้ย! แต่ขับถ่ายมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะ มีใครบ้างไม่… ฮือ! แต่มีใครเขามานั่งบอกกันเล่าว่ากำลังปวด… ขนาดกับเพื่อนสมัยเรียนฉันยังโกหกเลยว่าแค่ปวดฉี่ แล้วนี่ต่อหน้าผู้ชายหล่อถึงสองคนแบบนี้ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่พูด โอ๊ะ! แต่ฉันจะขมิบไม่ไหวแล้วน้า ไม่ๆๆ อดทนอีกนิดศิศิรา เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไป’ จากตอนแรกที่ขยับยุกยิก มาตอนนี้เธอกลับไม่กล้าแม้แต่ขยับ อย่างเดียวที่ทำได้คือ ได้แต่โอดครวญในใจเพียงลำพัง แต่แล้วไอ้ท่าทางที่ดูไม่ปกติเท่าไหร่ของเธอก็ไม่รอดพ้นสายตาเขาไปได้
“ว่าไง ไปหาหมอไหม สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะ” เขาใช้จังหวะที่เจ้าของโรงแรมกำลังอ่านสัญญา ก้มลงมากระซิบถามเธอด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง ในขณะที่เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาไม่มีโอกาสรู้เลยว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่
‘จะดีได้ไงเล่า ขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย’ เธอหลับตาแน่นพยายามตั้งสติพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ หวังให้อะไรๆ มันสงบลงไป แล้วจังหวะนั้นเองที่เธอต้องตัดสินใจ
“บอสคะ ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันต้องไปค่ะ” เธอผุดลุกอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะวิ่งออกไปอย่างที่ใจคิด แขนข้างหนึ่งก็ถูกเขารั้งเอาไว้
“จะไปไหน แล้วคุณเป็นอะไร” เสียงเขาอ่อนโยน อีกทั้งสีหน้าท่าทางก็เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แต่ฉันต้องไป ปล่อยค่ะ” เธอพยายามดึงแขนตัวเองออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เมื่อเขาไม่ยอม แล้วจังหวะนั้นก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อผู้ชายอีกคนดันเงยหน้าขึ้นมาผสมโรงด้วย
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ คุณศิศิราต้องการอะไรบอกผมได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” เจตต์ถามในฐานะเจ้าบ้านที่ดี แต่ดูเหมือนความหวังดีของทั้งสองคนจะไม่ช่วยอะไร เมื่อท้องไส้เธอมันกำลังปั่นป่วนมากขึ้น มากจนทนไม่ไหวอีกต่อไป
“โอ๊ย! ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่อยากเข้าห้องน้ำ ฉันปวด… ทีนี้จะปล่อยได้รึยังคะ” เธอหันมามองเจ้านายหนุ่มตาขวาง ทำเอาอีกฝ่ายรีบปล่อย โดยไม่ถามอะไรอีก ศิศิราไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปจากห้องโดยไม่สนภาพลักษณ์ที่พยายามรักษาไว้อีก
หลังจากปลดปล่อยทุกอย่างออกไปจนสบายตัวแล้ว เธอก็มีเวลาได้คิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยความรันทดใจ
“หมดกัน! ภาพลักษณ์ฉัน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไป ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว” เธอปิดหน้าคร่ำครวญประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องน่าอายที่ทำให้เธอไม่กล้ากลับไปสู้หน้าสองหนุ่มในห้องนั้นอีก ทั้งที่มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเจอ แต่เชื่อเถอะว่ากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เวลาปวดหนักมักจะแสร้งว่าปวดเบา และหนึ่งในนั้นก็คือเธอ
“อุ๊ย!” ในขณะที่กำลังเดินกลับไปยังห้องประชุมด้วยความตะขิดตะขวงใจ จู่ๆ เธอก็ชนเข้ากับใครคนนึงจนต้องร้องออกมา น่าแปลกที่เธอไม่ยักจะล้ม ต่างกับคู่กรณีที่ล้มกองอยู่กับพื้น
“ว้าย! หนู…ลูก… เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหมคะ” ใช่! เธอชนเด็กผู้หญิงคนนึง
“ไม่เจ็บค่ะ” เด็กผู้หญิงตัวกลมกระปุ๊กลุกหน้าตาจิ้มลิ้มบอก
“แล้วนี่หนูมากับใครคะ” เธอถามขณะประคองหนูน้อยให้ลุกขึ้น
“มากับป๊ะป๋าค่ะ”
“แล้วนี่ป๊ะป๋าของหนูไปไหนแล้วล่ะคะ ทำไมปล่อยให้หนูมาวิ่งเล่นคนเดียวแบบนี้ มันอันตรายนะรู้ไหม” หน้าตาน่าเอ็นดูของเด็กน้อยทำให้เธออดห่วงไม่ได้ แน่นอนว่าสมัยนี้อันตรายมันมาในทุกรูปแบบที่บางทีเราก็คาดเดาไม่ได้
“ป๊ะป๋าทำงานค่ะ ที่นี่ไม่อันตราย มีแต่คนใจดี ไม่ใจร้ายเหมือนคนที่โรงเรียน” หนูน้อยว่าพลางก้มหน้าสลด
“ป๊ะป๋าหนูทำงานที่นี่เหรอคะ” หนูน้อยพยักหน้าหงึกหงัก
“เอ๊ะเอ! แล้วทำไมวันนี้หนูถึงไม่ไปโรงเรียนล่ะคะ มีคนป่วยการเมืองรึเปล่านะ” เธอแกล้งแหย่เล่น แต่เด็กน้อยกลับยิ่งก้มหน้าก้มตาก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“หนูไม่อยากไปโรงเรียน ที่โรงเรียนมีคนแต่คนใจร้าย” ได้ยินเด็กน้อยพูดย้ำแบบเดิมอีกครั้ง เธอจึงค่อนข้างมั่นใจว่านี่น่าจะเป็นปัญหาของเด็กน้อยจริงๆ
“เอ! แล้วว่าแต่คนสวยกำลังเล่นอะไรกับใครอยู่น้า” เธอชวนเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล เมื่อเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมามอง อีกทั้งสีหน้าก็เริ่มดีขึ้นก่อนจะสลดลงไปอีก
“หนูอ้วน ใครๆ ก็บอกว่าหนูไม่สวย ไม่มีใครอยากเล่นกับหนูหรอกค่ะ” เด็กน้อยพูดพลางน้ำตาคลอ แน่นอนว่าเธอเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี ความรู้สึกว้าเหว่ รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ชอบตัวเอง เพราะไม่มีใครชอบและอยากจะเล่นด้วยสักคน ใช่! ความรู้สึกแบบนี้เธอเคยเจอมาก่อน รู้สึกมาก่อน เด็กผู้หญิงตัวอ้วนๆ ไร้ซึ่งวี่แววความสวย เธออ่อนแอและถูกเพื่อนๆ ล้อว่าขี้เหร่ มิหนำซ้ำยังโดนแกล้งสารพัดจนแทบไม่อยากไปโรงเรียน แต่นับว่ายังโชคดีที่ตอนนั้นจู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาได้ถูกช่วงถูกเวลาและสอนให้เธอได้รู้จักกับคำว่ามิตรภาพ ทำให้เธอก้าวผ่านเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ กระทั่งมิตรภาพนั้นก็ยังยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน จึงไม่แปลกที่เธอจะรักเพื่อนทั้งสองคนนั้นมาก แต่…เด็กผู้หญิงคนนี้ล่ะ เขาจะโชคดีเหมือนเธอรึเปล่า
“แต่คุณน้าว่าหนูสวยแล้วก็น่ารักมากๆ เลยนะ” เธอจับแก้มหนูน้อยเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“แต่หนูอยากสวยเหมือนคุณน้า คุณน้าสวยเหมือนนางฟ้าเลย” ถูกเด็กชมซึ่งหน้า ศิศิราถึงกับยิ้มหน้าบานพลางทำท่ากระมิดกระเมี้ยน
“แล้วหนูรู้ได้ไงว่านางฟ้าสวย เคยเห็นนางฟ้าเหรอคะ” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก เธอจึงถามต่อ
“เอ! แล้วนางฟ้าหน้าตาแบบไหนกันนะ”
“นางฟ้าก็สวยเหมือนกับหม่ามี้ไงคะ หม่ามี้ของหนูสวย ป๊ะป๋าบอกว่าหม่ามี้ไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ แสดงว่านางฟ้าก็ต้องสวยเหมือนหม่ามี้ค่ะ” คำตอบตามประสาเด็กที่มีแต่ความใสซื่อของเด็กน้อยทำเธอชะงักไปนิดนึง ก่อนจะชะงักมากขึ้นอีกเพราะประโยคต่อมา
“แล้วคุณน้าอยากไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์เหมือนหม่ามี้ไหมคะ เดี๋ยวหนูบอกหม่ามี้ให้” เธอผงะก่อนรีบตอบ
“เอ้อ…! ไม่เป็นไรจ้า คุณน้ายังไม่สวยขนาดนั้น ฮือ…! ผัวก็ยังไม่มี ขืนตายตอนนี้คงเสียชาติเกิดแย่ ขอน้าอยู่หาผัวก่อนนะหนูนะ” ท้ายประโยคเธอแอบหันไปงึมงำอีกทาง
“คุณน้าสวย เป็นนางฟ้าได้แน่ค่ะ”
“เอ้า! คะยั้นคะยอจะให้ตายให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย หวังดีไปอี๊ก” เธองึมงำกับตัวเอง ก่อนจะรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง แน่นอนว่าเธอยังไม่อยากไปเฝ้าพระอินทร์บนสวรรค์ตอนนี้