และแล้ววันนี้ที่ไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้ เอวิกายืนกอดสามีอยู่นานก่อนลาจาก เธอร้องไห้จนตาบวมแดงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
"ทำเหมือนจะไม่ได้พบหน้าผัวอีกงั้นแหละ ไม่หอบเสื้อผ้าตามไปเอาใจกันถึงที่โน่นเลยล่ะ"
เสียงค่อนแขวะที่ดังอยู่ไม่ไกล ทำเอาเอวิกาต้องผละออกจากอ้อมกอดของคนที่รักอย่างเร็ว ถ้าเธอทำได้เธอก็อยากจะไปกับเขา แต่เธอทำแบบนั้นไม่ได้เพราะต้องดูแลบุพการีวัยชราที่กำลังป่วยออดแอดอยู่
"เดี๋ยวพี่จะวิดีโอคอลหาทุกวันนะเอวี่ พี่จะกลับมาหาเร็ว ๆ นี้พี่สัญญา"
"จะรอนะคะ ไปเถอะเดี๋ยวตกเครื่อง เดินทางปลอดภัยนะพี่กฤษณ์"
กฤษณ์ดนัยกอดหอมภรรยาก่อนลาจากและกอดร่ำลาพ่อกับแม่ ก่อนจะเดินขึ้นบรรไดเลื่อนไป ค่อย ๆ ห่างกันออกไปทีละนิด ๆ เขายังมองจ้องมาที่พ่อแม่และภรรยา โบกมือร่ำลาพร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนหยาดน้ำตาไม่ต่างกัน จนหายลับสายตาของทุกคนไปในที่สุด
"เดี๋ยวพ่อให้คนแวะไปส่งหนูเอวี่ที่บ้านก่อนนะลูก" คุณดิเรกหันมาพูดกับลูกสะใภ้ที่ยังคงมองตามหลังกฤษณ์ดนัยไม่วางตา
เอวิกาหันมายิ้มส่ายหน้าปฏิเสธพ่อสามีที่ท่านยังคงเอ็นดูเธอ ผิดกับคุณพิมลรัตน์มากมายนักที่ทำเหมือนกับว่าเธอไปทำอะไรให้เคืองโกรธตั้งแต่ชาติปางก่อน
"ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ เอวี่ว่าจะแวะไปดูพ่อที่โรงพยาบาลก่อนค่ะ คุณพ่อคุณแม่กลับไปพักผ่อนเถอะนะคะ เดี๋ยวหนูกลับเอง"
"ไปเถอะค่ะคุณไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก ค่าแท็กซี่ไม่กี่บาทคงมีปัญญาหาทางกลับบ้านเองได้นั่นแหละ"
คุณพิมลรัตน์เดินเชิดหน้าออกจากคนทั้งคู่ไปอย่างไม่สบอารมณ์ คุณดิเรกที่มองตามหลังถึงกับส่ายหน้าให้ภรรยาอย่างเอือมระอาเช่นเคย
"อย่าไปถือสาแม่เขาเลยนะหนูเอวี่ ปากร้ายแต่คุณพิมเขาใจดีมากนะ"
"เอวี่ไม่ได้อะไรกับคุณแม่หรอกค่ะ เอวี่เข้าใจคุณแม่ดี"
"งั้นพ่อไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรมา แวะไปเยี่ยมที่บ้านบ้าง ยังไงหนูก็คือสะใภ้ของบ้านเรานะอย่าลืม ที่บ้านยังต้อนรับหนูเสมอ"
เอวิกายกมือไหว้ขอบคุณพ่อสามีที่ดีกับเธอทั้งต่อหน้าและลับหลังลูกชาย คนที่ไม่เคยนึกรังเกียจเธอเหมือนกับที่แม่ของสามีแสดงออก
"ขอบคุณนะคะ เชิญคุณพ่อตามสบายเถอะค่ะ คุณแม่ไปไกลแล้ว คุณพ่อรีบตามไปให้ทันเถอะนะคะ"
คุณดิเรกพยักหน้ายิ้มให้กับลูกสะใภ้ก่อนจะสาวเท้ารีบก้าวเดินตามหลังภรรยาไปติด ๆ
เอวิกายังคงหันกลับไปมองบันไดเลื่อนที่สามีเพิ่งเดินหายขึ้นไปบนนั้นเมื่อครู่นี้ด้วยหัวใจที่เศร้าหมอง ได้แต่บอกกับตัวเองว่าเวลา 2 ปีมันไม่ได้นานเลยสักนิด
เพราะหัวใจเธอที่มั่นคงและเธอรู้ว่าเขารักเธอมากพอที่ต่างคนต่างจะซื่อสัตย์ต่อกันและกันได้ ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคของชีวิตคู่ที่จะต้องมานั่งระแวงกันหรือคิดมากจนทำให้ชีวิตไม่มีความสุข สุดท้ายแล้วเอวิกาจำต้องเดินจากไปและไม่หันหลังกลับไปมองตรงนั้นอีก
@โรงพยาบาล
เอวิกาเดินหน้าเศร้าเข้าไปภายในห้องพักพิเศษที่มีบิดากำลังนอนพักรักษาตัว เพราะลื่นล้มจนขาหักต้องเข้าเฝือกเดินเหินไม่ได้ในตอนนี้ ทั้งพ่อและแม่ต่างจ้องมองหน้าลูกสาว รู้สึกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวดี
"ตากฤษณ์ขึ้นเครื่องไปแล้วเหรอลูก"
"ใช่จ้ะแม่ ถึงที่โน่นคงโทรกลับมา หนูคงเบาใจกว่านี้"
เอวิกานั่งลงเคียงข้างมารดาที่กำลังนั่งแกะส้มให้สามีได้ทานเป็นของว่าง
"จริง ๆ เอวี่ไปอยู่กับตากฤษณ์ที่โน่นก็ได้นะ ไม่เห็นต้องห่วงพ่อห่วงแม่เลย เราสองคนดูแลกันเองได้นะลูก"
"ดูแลกันได้อะไรล่ะจ๊ะแม่ ยิ่งพ่อเป็นแบบนี้อีก หนูไปไหนไกลไม่ได้หรอก ถ้าอยู่กรุงเทพฯ อย่างน้อยก็ไปมาหาสู่กันง่ายกว่ากรุงเทพฯ-ลอนดอนนะจ๊ะแม่"
"เฮ้อ...แต่ลูกก็ต้องอยู่ห่างผัว พ่อแม่ไม่อยากเห็นลูกเศร้าไม่มีความสุขกับชีวิตหรอกนะ แต่งงานกันแล้วเอวี่ก็คงอยากอยู่กับสามี พ่อกับแม่เข้าใจถ้าลูกอยากไปอยู่ที่โน่นด้วยกันเป็นครอบครัว"
เอวิกามองหน้าพ่อกับแม่อย่างขอบคุณในทุกความเข้าอกเข้าใจของลูกสาว แต่เธอเป็นลูกคนเดียวของบ้านก็ไม่อยากไปอยู่ไกลพ่อแม่แบบนั้นเลย ยิ่งผู้เป็นพ่อเป็นแบบนี้จะให้เธอทิ้งไปสบายคนเดียวคงไม่ได้ หญิงสาวยิ้มให้กับพ่อและแม่ ขอบคุณกับทุกอย่างที่ท่านทั้งสองไม่เคยกีดกันความรักของเธอและกฤษณ์ดนัยเลย
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่ พี่กฤษณ์บอกจะมาหาถ้ามีวันว่างเยอะ เราวิดีโอคอลหากันก็ได้ ทุกวันนี้โลกมันไร้พรมแดนแล้วนะจ๊ะแม่ อยู่ไกลก็เหมือนใกล้แค่เอื้อมมือถึง แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหนูกับพี่กฤษณ์หรอกจ้ะ"
ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกได้แต่ยิ้มให้กัน พูดคุยกันตามประสาครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีแต่ความอบอุ่นมอบให้ซึ่งกันและกันมาตลอด
หลังจากอยู่กับพ่อแม่นานหลายชั่วโมง เอวิกาก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่โทรมาชักชวนให้ออกไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน ตอนนี้เธอได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารอยู่ที่บ้านของเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยมต้น
"สามีแกไม่อยู่แบบนี้ คงเหงาแย่เลยสินะเอวี่" น้ำหนึ่งชักชวนเพื่อนสาวคุยระหว่างรับประทานอาหารไปด้วย
"อืม...ก็คงจะเหงาอยู่แหละ 5 ปีไม่เคยอยู่ห่างไกลกันขนาดนี้มาก่อนเลยหนึ่ง"
"นั่นสิ แต่งงานกันแล้วแทนที่จะได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ไม่ใช่แม่สามีอยากจับแยกลูกชายเขาออกจากแกเฉย ๆ เหรอเอวี่?"
"ไม่หรอก เธออคติกับแม่พี่กฤษณ์มากเกินไป ฉันเข้าใจพี่กฤษณ์และครอบครัวเขานะ เขาเป็นลูกชายคนเดียวไง ไปเรียนต่อเพื่อที่จะได้กลับมาบริหารธุรกิจที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ ฉันเข้าใจทุกคนนะ มันอาจจะดีก็ได้มั้งที่ห่างกันแบบนี้ อาจทำให้ฉันกับพี่กฤษณ์รักกันมากขึ้น"
"แล้วแกไม่กลัวหรือไงว่าเขาจะไปมีใครตอนอยู่ที่โน่นหรือเปล่า?"
คำถามของเพื่อนทำเอาเอวิกาชะงักเล็กน้อย แต่แล้วก็ส่ายหน้าและส่งยิ้มให้แทน
"ฉันเชื่อใจพี่กฤษณ์ แต่ถ้ามันมีเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง มันก็จะเป็นสิ่งพิสูจน์ความรักของฉันกับเขา ฉันเคยบอกเขาแล้วว่าสิ่งเดียวที่รับไม่ได้คือเรื่องผู้หญิง ถ้ารู้ว่ามีครั้งเดียวฉันก็ไม่ทน"
"หึ! ให้มันจริงเถอะ รอบตัวที่ฉันเห็นนะก็เห็นทนจนตัวเองไม่มีความสุขทั้งนั้น แต่ฉันก็หวังว่าชีวิตแกกับสามีจะมีความสุขไปให้ตลอดรอดฝั่งนะเอวี่ แกเป็นเพื่อนรักของฉันนะฉันไม่อยากเห็นแกผิดหวังเสียใจ" เอวิกาโอบกอดเพื่อนรักด้วยความขอบคุณ
"ใครจะผิดหวังเสียใจกันเหรอสาว ๆ"
เสียงทุ้มที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำเอาสองสาวรีบผละออกห่างจากกัน เอวิกาหันไปส่งยิ้มทักทายกับพี่ชายของน้ำหนึ่ง
"พี่นนท์ ออกเวรมาได้แล้วเหรอคะ นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอแล้วซะอีก"
เอวิกาทักทายคุณานนท์ด้วยความคุ้นชิน หมอหนุ่มที่เป็นถึงลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดัง แถมยังเป็นจิตแพทย์คนเก่งที่ฮอตมากในตอนนี้
"งานเยอะมากพี่ไม่อยากพูด นับวันยิ่งมีมากขึ้นทุกวัน แล้วมานานหรือยังนี่ พี่กำลังหิวพอดีเลยขอร่วมโต๊ะด้วยเลยก็แล้วกันนะ"
คุณานนท์นั่งลงเก้าอี้ข้างเอวิกาในทันที ทำเอาน้องสาวต้องอดแซวขึ้นไม่ได้
"เขาแต่งงานมีผัวแล้วค่ะ ถึงตอนนี้ผัวไม่อยู่ก็ใช่ว่าพี่ชายหนึ่งจะอ่อยได้นะ"
"อะไร อ่อยอะไร ก็แค่นั่งข้าง ๆ ไม่ได้หรือไงล่ะ เก้าอี้มันว่างตรงนี้พอดี คิดไปถึงโน่นเลยยัยหนึ่งเด็กแก่แดด!"
หนึ่งฤทัยโดนพี่ชายเอ็ดขึ้นเบา ๆ ส่วนเอวิกาได้แต่ยิ้มส่ายหน้าให้กับคำหยอกเอินนั้นของเพื่อนสาว
"หึหึ ใคร ๆ ก็ดูออกว่าพี่ชายหนึ่งชอบคนแถวนี้"
"พี่ก็ได้แค่ชอบแหละ เพราะคนแถวนี้แต่งงานมีเจ้าของไปแล้ว พี่เอ็นดูเหมือนน้องนุ่งไม่ได้หรือไงเล่า"
"เอ็นดูเหมือนน้อง....อืม ค่ะจะเชื่อแบบนั้นนะคะพี่ชาย"
"ยัยหนึ่ง! เธอจะมาแซวทำไมแบบนี้นะ ก็เป็นแบบนี้ตลอดเลยสิน่า ไม่กลัวฉันอายบ้างเลย..." เอวิกาต่อว่าเพื่อนสาวกลับเบา ๆ รู้สึกเขินคนข้าง ๆ ที่ชอบพูดเล่น พูดจากวน ๆ ชวนให้เขินแบบนี้ทุกครั้งที่พบหน้า
"เนี่ย! ถ้าแกเลือกพี่ชายฉันนะ แกคงได้มาเป็นพี่สะใภ้ฉันแล้วเอวี่ แต่แกไม่ชอบหมอไง แกชอบแบบท่านประธานลูกชายนักธุรกิจงี้อ่ะเนอะ คนแถวนี้เลยกินแห้วไปสิ"
"ไม่เป็นไร เผื่อวันหนึ่งเขาเลิกกัน พี่ก็ยังมีสิทธิ์ ฮ่า ๆ ๆ"
คุณานนท์พูดติดตลกตามสไตล์เขา เอวิกาจึงไม่ได้เคืองโกรธอะไรทั้งนั้น เธอหันไปมองหน้าเขาระบายยิ้มให้เพียงเล็กน้อย ทำเอาคนที่หัวเราะอยู่เมื่อครู่ต้องเงียบเสียงลงทันที
"พี่ไม่ได้แช่งนะเอวี่ ไม่อยากให้เครียดกันน่ะ เอวี่อย่ามาถือสาพี่เลยนะ พี่อยู่กับคนไข้ก็เครียดมากพอแล้ว อยู่บ้านพี่ก็เลยอยากเฮฮาเฉย ๆ ครับ"
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ เอวี่ไม่ได้ว่าอะไรพี่นนท์ซะหน่อย พี่นนท์ก็เป็นแบบนี้จนเอวี่ชินแล้วล่ะ"
"พี่ไม่อยากให้ต้องเครียดกันเลยนะ ทำตัวเองให้มีความสุขมาก ๆ ก็พอ นี่เอวี่รู้ไหมทุกวันนี้คนเป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะมากและนับวันยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พี่ไม่อยากให้คนรอบตัวหรือคนที่พี่รู้จักเป็นแบบนั้น มันน่ากลัวและน่าสงสารมากเลยล่ะ"
"แหม...ถามพี่ชายฉันไปหน่อยสิแก ถ้าหนูเป็นพี่จะช่วยรักษาไหม?"
เอวิกามองค้อนเพื่อนสนิท ที่ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มักชงและเชียร์แบบนี้ตลอดเวลา
"รักษาแน่นอนอยู่แล้ว จะดูแลดีเป็นพิเศษเลยด้วยซ้ำ แต่อย่าเป็นเลยพี่ไม่อยากให้ใครต้องทรมานแบบนั้น ชวนคุยเรื่องอะไรเนี่ย กินข้าว ๆ พี่หิวจะตายอยู่แล้ว!"
คุณานนท์หันกลับไปสนใจอาหารบนโต๊ะ ตักกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่สนใจเสียงแซวของน้องสาวเลย เขาทำเป็นไม่สนใจใครไปงั้นล่ะ ทั้งที่หลายต่อหลายครั้งสายตาแอบชำเลืองมองเอวิกาตลอด เวลาที่เธอยิ้มและหัวเราะยิ่งทำให้น่ามองไม่รู้เบื่อเลย แม้ตอนนี้เธอจะแต่งงานมีคนของหัวใจไปแล้ว แต่เขาก็ยังแอบชอบอยู่แบบนี้ ได้แต่อิจฉาผู้ชายคนนั้นที่ได้เป็นเจ้าของหัวใจเธอ...