CHAPTER 2
“เป็นความอับอายของฉัน!”
“…” ได้ยินแล้ว
“เป็นก้อนเนื้อที่ถ้าฉันรู้ว่าเกิดมาแล้วทำให้ชีวิตพังฉันจะเลือกฆ่าให้ตาย”
“…” แต่ก้อนเนื้อก้อนนี้ก็มีหัวใจไม่ใช่ตายด้านเรื่องความเสียใจ
“ได้ยินมั้ยอีฟาง ฉันทำแกตายแน่ๆ แค่นี้ก็อยากบีบคอแกจะตายห่าอยู่แล้ว”
“…” ได้ยินจนไม่อยากจะได้ยิน
“ยิ่งเห็นหน้าลูกแกก็ยิ่งอยากฆ่า”
ปึก... เส้นความอดทนขาดสะบั้นลงเป็นที่เรียบร้อยเมื่อประโยคที่ออกมาจากแม่คือการคิดฆ่าลูกฉันแค่นี้มือของตัวเองมันก็ต้านทานสะบัดมือของแม่ออกไปด้วยความแรงไม่มากนักทว่าเสียงมือฉันกระทบกับมือแม่มันดังกว่าปกติ ความเงียบเป็นชนวนชั้นดีให้สายตาของพ่อที่นั่งไม่ไกลตึงขึ้น
“แกทำร้ายแม่แกทำไมอีฟาง!”
“…” พ่อสติแตกลงในทันทีพร้อมกับวาจาแข็งกร้าวสาดพ่นเข้ามาใส่อีกทั้งยังลุกขึ้นคว้าไม้กวาดใกล้ตัวขึ้นมาติดมือก่อนเดินมุ่งหน้ามาเพื่อกะฟาดฉันแน่ๆ “ฟางไม่ได้ทำร้ายแต่ฟากก็เจ็บเป็นเหมือนกัน”
“แกเป็นลูกบังอาจมาทำกับแม่แบบนี้เหรอ ฉันสอนแกแบบนี้เหรออีกฟาง”
ไม่มีใครสอน
ไม้กวาดถูกยกสูงเตรียมฟาดลงมากระทบเนื้อของฉันทว่าชั่วพริบตาที่ยังมีความรวดเร็วของอะไรบางอย่างเข้ามากันเอาไว้อย่างทันการแถมเสียงด้ามไม้กวาดกระทับกับมันดังปึก
“ทานโทษครับพ่อตาพอดีลูกเขยคนนี้อยากถามว่าอย่างไหนจะเจ็บกว่ากันถ้าโดนฟาดระหว่างด้ามไม้กวาดกับ...ไม้เบสบอลในมือผม”
ประโยคคำพูดกวนส้นตีน
น้ำเสียงไม่เชิงไม่เคารพแต่ไม่ใช่ยอม
กิริยาท่าทางที่เลือกใช้แสดงออกมานั้นสมเป็นเขาดี
แค่นี้ก็คาดเดาไม่ผิดว่าผู้มาใหม่ที่เข้ามาร่วมอีกคนเป็นใครอีกทั้งพ่อแม่ทั้งสองไม่สะทกสะท้านกับการมาเท่าไหร่นักแค่นี้ก็ทำให้รู้โดยอัตโนมัติไปโดยปริยายว่าเขาคือพ่อของลูกฉันเอง เรื่องราวความซับซ้อนของครอบครัวฉันมันมีอีกเยอะแยะทั้งที่สามารถรับรู้ได้และที่ไม่สามารถรับรู้ได้
‘ความลับ’ มันมีอยู่ทุกที่แหละ
และถ้าจะไขความลับได้ก็ต้องรอเมื่อ ‘ถึงเวลา’ หรือไม่มันก็จะยังคงที่เป็นความลับไปตลอดกาล
“…”
พ่อเลือกที่จะไม่โต้ตอบและก็ปล่อยด้ามไม้กวาดในมือลงกระทบพื้นไปแต่รู้ไหมว่าสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมคนมันยังคงอยู่ไม่จางหายไปประจวบกับไม้เบสบอลของอีกฝ่ายที่อยู่เคียงข้างฉันมันก็ถูกเก็บลงไปอย่างรวดเร็ว
เขารอเวลาพ่อยอมแล้วถึงจะยอมลงเช่นเดียวกัน
วิถีชีวิต การใช้ชีวิต การกระทำหรือว่าการตอบโต้ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ หรอกตั้งแต่รู่จักกันมาคำว่าเสือ Playboy Badboy ฉลาดเป็นกรดคำพวกนี้ทำให้ฉันได้ยินทุกครั้งไม่ว่าจะหลังคบหรือว่าก่อนคบกัน
เขาไม่เหมือนคนอื่น
เขาไม่พูดมากให้เรื่องวุ่นวาย
และเขาก็ซัดอย่างเดียวเมื่อฉันโดยกระทำ
อย่างเช่นในครั้งนี้ก็ตามแค่นัยน์ตาคมสีดำเข้มดุตวัดเข้ามาไล่ดูตามร่างกายของฉันด้วยความละเอียดแต่ว่าแฝงความรวดเร็วก่อนละทิ้งไปมองคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อตาตัวเอง
“ตี... ตีได้ไม่ว่าแต่ถามเหตุผลหน่อย ครั้งนี้ตีฟางทำไมครับ”
“รีบเอาอีฟางออกไป”
“ผมยังไม่ได้คำตอบจากพ่อตาเลยแม่ยายคิดว่าผมจะไปเหรอ”
“แกนี่มันขี้หาเรื่องจริงๆ” แม่ตำหนิขึ้นโดยใช้สายตาดุสื่อมองมาทางฉันว่าให้รีบพาเขาออกไปจากบ้านแต่มีเหรอฉันจะทำได้ถ้าอีกฝ่ายยังคงปักหลักยืนนิ่งแสวงหาคำตอบแบบนี้ “อีฟางเอาผัวแกออกไป”
“ผมพูดกับพ่อตาอยากได้ยินแค่พ่อตาไม่ใช่แม่ยายนะ”
“ไอ้...”
“จะตอบได้หรือยังครับพ่อตา”
“กูตีมันเพราะมันทำร้ายแม่ตัวเองไง พ่อตีลูกแค่นี้ไม่ได้เหรอ”
“แล้วที่คนเป็นแม่เข้ามาผลักหัวลูกซ้ำๆ แค่ลูกมีธุระไปทำต่อไม่ล้างจานไม่ทำงานบ้านให้เหมือนทุกครั้ง ย้ำว่าทุกครั้งที่มาบ้านหลังนี้เลย แบบนี้เรียกว่าอะไรครับหรือแค่เรียกว่าแม่แค่สั่งสอน”
เขาพูดตามที่เห็นมา
เขาก็พูดถูกทุกอย่าง
พอพ่อท่านได้ยินแบบนี้สิ่งที่ทำได้ในเวลาต่อมาคือยกนิ้วขึ้นชี้ไปทางประตูบ้านในทันทีไม่รีรออะไรทั้งนั้นสมที่จะเป็นพ่อดีเมื่อถกเถียงอะไรไม่ได้ก็ทำแค่ไล่ออกจากบ้านให้พ้นหูพ้นตาไป
“ออกไปจากบ้านกูซะ!”
“หึ...” เขาก็เลยทำได้โดยการส่งเสียงแค่นี้โดยที่ไม่ได้อะไรกับพ่อต่อมีแต่ใช้ไม้เบสบอลดันร่างกายของฉันให้ไปทางประตูเราทั้งสองคนมาหยุดที่หน้าบ้าน “เป็นอะไรเกิดความดีเข้าสิงไม่โต้ตอบอย่างงั้นเหรอ”
เขามองฉันและทิ้งลมหายใจยาวจากนั้นก็เบือนใบหน้าไปทางอื่นเพื่อสะกอดกั้นอารมณ์หนึ่งเอาไว้แทนเพราะความหัวเสียแต่ไม่ได้ทำอะไรนักทำให้เขาเป็นแบบนี้ ฉันในตอนนี้ทำได้แค่จ้องมองเขาในชุดนักศึกษานิ่งๆ ไม่ได้พูดหรือว่าทำอะไรให้อีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำไป
“…”
“มาทำอะไรที่นี่อีกฟาง”
ที่นี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากให้ฉันมา
ที่นี่คือสิ่งที่เขาเอ่ยห้ามทุกครั้งด้วยแหละ
และที่นี่ถ้าจะมาก็ต้องให้มีเขาตามมาด้วยมันถึงโอเค
ไม่ใช่ว่าฉันไม่ฟังเขานะแต่วันนี้ฉันเลือกที่จะเข้ามาคนเดียวเพราะอีกฝ่ายเรียนเช้าต่างหากจึงไม่อยากรบกวนอีกอย่างถ้ามาหาพ่อกับแม่ตอนบ่ายรับรองไม่เจอหรอก
“ขอฝากเต”
“ฝากเต?”
“อืม”
ฉันยอมรับ
“รู้ทั้งรู้ว่ามันจะเป็นยังไงแล้วยังจะมาอีก อย่าฝืนไม่ใช่ก็ไม่ต้องทำเคยบอกเอาไว้ไม่ใช่หรือไง”
“แล้วจะให้ทำยังไงพรุ่งนี้ฟางมีเรียนซ่อมคาบที่หยุดไม่ว่างส่วนพี่ก็มีเรียนนิปล่อยลูกไว้คนเดียวเหรอ” เห้ยนี่มันเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วนะแต่คงต้องเปลี่ยนแผน “จะเอาแบบไหนคิดบ้างเลย”
“…” เพราะเขาเงียบก็เป็นฉันเองที่เอ่ยปากอีกครั้งหนึ่ง
“ฟางเมื่อยจะขึ้นไปนั่งบนรถ”
แค่นี้เขาก็ปลดล็อคพร้อมกับเดินมาเปิดประตูรถให้เสร็จสรรพพอขึ้นรถมาได้อีกฝ่ายก็เช่นกันคนอย่างเขาไม่ยืนอยู่นอกรถประทะอากาศร้อนให้อารมณ์เสียหงุดหงิดหรอก ฉันรีบปลดรองเท้าส้นสูงของตัวเองไว้มุมหนึ่งของรถแล้วเลือกสวมรองเท้าแตะที่มีการเตรียมเอาไว้ให้แทนเป็นแบบนี้เสมอซึ่งมันติดเป็นนิสัยไปแล้วแหละทั้งๆ ที่รถคนนี้ไม่ใช่ของตัวเองนะ ฉันไม่ได้เอารถมาเพราะมีเรียนตอนเช้าแค่สองชั่วโมงจึงรีบมาบ้านพ่อแม่เลยโดยใช้บริการวินมอเตอร์โซค์แทน
“คาดเข็มเข็ดด้วย”
“เป็นไงคิดออกมั้ย” ฉันทำตามที่เขาบอกจากนั้นก็ส่งเป็นประโยคคำถามไปด้วยยังไงตอนนี้สองหัวก็ยังดีกว่าหัวเดียวแล้วกันอย่างน้อยๆ ปัญหาใหญ่เราสองคนก็ผ่านกันมาได้นี่มันเล็กเกินกว่าจะทำอะไรพวกเราได้แน่
“พอเดี๋ยวพี่ดูลูกเอง”
“แน่ใจนะ” ฉันย้ำ
“ทำไมกัน”
“เหอะไม่น่าถาม”
“ถ้าคิดว่าพี่จะไปหาเด็กโปรดเลิกมโนลงซะฟางตอนนี้ไม่มีหรอก”
ประโยคแก้ตัวที่อีกฝ่ายเอามาใช้ทุกครั้งจนฉันจำขึ้นใจในตอนนี้มันถึงขึ้นพื้นฐานเลยแหละ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสับรางเก่งแค่ไหนหรือว่าจะไปอยู่กับอีหนูน้อยคนไหนฉันไม่สนใจทั้งนั้นตราบใดที่เขายังคุมอยู่
“ก็เอาให้อยู่แล้วกัน อย่าให้วุ่นวาย”
“เธอกำลังหาเรื่องนะ”
“โปรดทำความเข้าใจใหม่นะพี่มันไม่ใช่หาเรื่องแค่เตือนมากกว่า จะมีเยอะก็คุมให้อยู่ซะ”
“เธอกำลังหึงงั้นเหรอ?”
“…” ไม่มีคำตอบมีแต่การถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเป็นที่สุดให้กับคำถามนี้เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเลือกถามแต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เยอะจนนับและจดจำไม่ไหวก็ว่าได้ "อันนี้ก็อย่าหลงตัวเองให้มาก"
“มั่นหน้าถามเลยนะ”
“มั่นหน้าให้มันลดลงหน่อยเถอะ” อีกฝ่ายยิ้มพร้อมกับเร่งความเร็วเพื่อให้ทันไฟแดงตรงหน้าและมันก็ฉิวเฉียดผ่านมาได้อย่างไร้กังวลใดๆ ทว่าสิ่งที่นำความกังวลเข้ามาอีกครั้งคงเป็นทางที่แสนคุ้นแต่เป็นทางที่ฉันไม่อยากเข้ามาเท่าไหร่นัก “ทำไมถึงมาทางนี้นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านเรานะ”
“กลับวัง”
“วังอย่างงั้นเหรอ ทำไมมีอะไรพี่”
ใช่เขาเป็นเจ้า
และเขาก็ฐานะใหญ่ด้วย
“...”
“หรือว่ามีเรื่องอีก คราวนี้จะให้ฟางพูดกับหม่อมแม่พี่ว่าอะไรอีก”
“พี่ไม่ได้มี” เขาปฏิเสธนัยน์ตาใสสื่อคู่นั้นทำให้ฉันระแวงขึ้นมาและไม่เชื่อง่ายๆ “จริงๆ แม่แค่อยากทานข้าวด้วย”
“จริงเหรอ”
“มั้ง”
“แบบนี้เรียกว่ามีเรื่องแล้วแหละ” ‘มั้ง’ เป็นคำที่ออกมาจากปากเขาแล้วบอกไว้เลยว่าไม่น่าเชื่อถือสักนิดเดียว มั้งที่มีเรื่อง มั้งที่ไม่ใช่และก็มั้งที่ไว้ใจไม่ได้อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด “บอกมาเลยจะได้เตรียมตัวถูก”
“ไอ้ตุลย์มันกลับมาแล้วนะฟาง”