ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เสวี่ยอี้นอนลืมตาแหงนมองดูท้องฟ้า ที่ปรากฏกลุ่มเมฆลอยเต็มกลางนภา ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า
หลังจากที่เสวี่ยอี้ ได้รับรู้ว่านางจะต้องแต่งงานกับโอรสของกษัตริย์ที่มิเคยเห็นหน้าหรือพูดคุยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก็ยิ่งทำให้จิตใจนางรู้สึกห่อเหี่ยว ไม่มีกะจิตกะใจอยากจะทำสิ่งใดเลย
ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้ธรรมชาติชโลมจิตใจให้คลายความหมองเศร้า ด้วยการขึ้นมาบนป่าเขาที่คุ้นเคยเพื่อพักพิงใจ
"เฮ้อ...ข้าไม่อยากกลับบ้านเลย ข้าอยากนอนอยู่ที่นี่นาน ๆ เสียจริง เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกกังวลใจมากเช่นนี้นะ" เสวี่ยอี้เอ่ยพึมพำพลางถอนหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ข้านึกไม่ออกจริง ๆ ว่าชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ท่านอ๋องผู้นั้นจะใจร้ายกับข้าหรือไม่
แล้วอี้ฉางล่ะ น้องชายข้าก็ยังเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่น เขาจะดูแลท่านพ่อ ท่านแม่ได้หรือไม่
ความคิดและความกังวลใจที่มีมากมายโดนสายลมที่พัดผ่าน พัดพานางเคลิบเคลิ้มเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราและหลับฝันในที่สุด
ในฝัน... เสวี่ยอี้พบว่านางกำลังยืนอยู่ภายในกระท่อมหลังหนึ่ง ที่ดูเก่าและทรุดโทรมเสียมาก
นางหันมองสำรวจรอบกระท่อมเพื่อหาทางออกจนมองไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงผู้หนึ่ง กำลังยืนหันหลังให้นางอยู่ นางจึงจ้องมองซ้ำ ๆ ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อมองจากทางด้านหลัง ก็พบว่า ชายหนุ่มผู้นั้นมีรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ผิวเข้ม สวมใส่อาภรณ์แต่งงานสีแดงสด
เสวี่ยอี้ค่อยๆเดินเข้าไปหาเขาที่ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างทุลักทุเล พลางเอ่ยน้ำเสียงตะกุกตะกัก "ทะ ท่านคือผู้ใดหรือ"
ชายผู้นั้นนิ่งเงียบไม่เอ่ยตอบ
ในใจของนาง กลัดกลุ้มเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งงานอยู่ไม่น้อย จึงทำให้นางกังวลและคิดว่าชายผู้นี้ อาจจะท่านอ๋องที่นางจะต้องแต่งงานก็เป็นได้ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง "ทะ ท่าน...คืออ๋องแปด ใช่หรือไม่"
หลังเอ่ยจบ ชายผู้นั้นก็ค่อยๆหันหน้ามาหาเสวี่ยอี้อย่างช้าๆ พลางเผยใบหน้าเป็นชายชราที่มีริ้วรอยเต็มไปหมด ก่อนที่จะแสยะยิ้มให้นาง
กรี๊ดดดดด!!! เมื่อเห็นเช่นนั้น เสวี่ยอี้ก็กรีดร้องพลางวิ่งหนีออกมาโดยไวอย่างไม่คิดชีวิต
หรือว่า...นี่จะเป็นใบหน้าของอ๋องแปดจริง ๆ นะ นี่ข้ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่
เมื่อวิ่งออกมาสักพัก เสวี่ยอี้หันไปมองด้านหลังเพื่อดูว่าชายชราผู้นั้นกำลังวิ่งตามนางอยู่หรือไม่
แล้วก็พบว่า ชายชราผู้นั้นกำลังวิ่งมาหานาง พลางถือไม้ขนาดใหญ่สูงเหนือหัว ทำท่าทางเหมือนกำลังมุ่งตรงมาตีหัวนางอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นะ...ไม่นะ….ไม่!!!!!!!!!!
ตุ๊บ!
"โอ๊ย!!!"
เสวี่ยอี้สะดุ้งตื่นจากความฝันพร้อมกับความเจ็บปวดที่เป็นเรื่องจริง
นางใช้มือจับรูปไปที่ศีรษะของตน พลางแสดงสีหน้าตื่นตระหนกและหอบกระหายเหนื่อยไม่หยุด "เกิดอะไรขึ้น นี่ข้าฝันไปใช่หรือไม่ แล้ว...ข้าถูกตีหัวในความฝัน แต่เหตุใด ตื่นขึ้นมา ข้าถึงยังรู้สึกเจ็บอยู่ได้ล่ะ หรือว่า...ฝันนั้นจะกลายเป็นจริง"
เสวี่ยอี้เบิกตากว้างโตกับสิ่งที่ตนนึกคิด และปฏิเสธไม่ได้ว่า นางก็เริ่มเชื่อในความคิดนั้นอยู่บ้างไม่น้อย ถึงแม้จะดูน่าเชื่อถือไม่ได้ก็ตามแต่
แต่เพียงไม่นาน ก็มีอะไรบางอย่างตกลงมาใส่หัวของนางอีกครั้ง
ตุ๊บ!
"โอ๊ย! อะไรอีกเนี่ย! เหตุใดข้าถึงได้โชคร้ายซ้ำซ้อนนัก" เสวี่ยอี้เอ่ยร้องโวยวายออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บ ก่อนที่สายตานางจะเหลือบไปเห็นผลท้อวางตกอยู่ข้างกาย
นางใช้มือหยิบผลท้อขึ้นมาสำรวจดู แล้วก็พอจะเดาได้ว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้เกิดมาจากสิ่งใด
"เจ้านี่เอง...ตัวการของเรื่องนี้"
หลังเอ่ยจบ เสวี่ยอี้ก็แหงนขึ้นมองดูบนต้นไม้ใหญ่ แหล่งที่อยู่ของผลท้อผลนี้
แล้วก็พบว่า บนต้นไม้ใหญ่นั้น มีกิ่งไม้ และใบไม้ที่สั่นระรัวไม่หยุดนิ่ง
เสวี่ยอี้เผยอปากขึ้น เบิกตาโตด้วยความตกใจ เพราะนางมองไปเห็นชายผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนต้นไม้
หรือว่า...นี่จะเป็นตัวการที่แท้จริง ชายผู้นี้จะต้องจงใจกลั่นแกล้งข้าเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เสวี่ยอี้ก็ลุกขึ้นยืน ป้องปากเอ่ยตะโกนดังพลางแหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ว่า "นี่เจ้า! กล้าดีอย่างไรถึงมาแกล้งข้า"
เสียงของเสวี่ยอี้กึกก้องดังไปทั่วทั้งป่า แต่ชายผู้นั้นกลับไม่เอ่ยตอบโต้อันใด
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ชายผู้นั้นก็ค่อย ๆ ปีนลงมาจากต้นไม้ และรีบเอ่ยขอโทษเสวี่ยอี้ด้วยใบหน้าสลดว่า "ข้าขอโทษ...เจ้าเป็นอะไรหรือไม่"
ในขณะที่เสวี่ยอี้กำลังจะอ้าปากเอ่ยโวยวาย นางกลับชะงักนิ่งและติดค้างอยู่ในภวังค์อย่างควบคุมไม่ได้ เพราะชายที่เห็นตรงหน้านั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ คิ้วดกดำ ตาคม เหมือนดั่งพระเอกในนิยายรักที่นางเคยอ่านไม่มีผิด
ชายผู้นั้นเห็นปฏิกิริยาของเสวี่ยอี้ ก็พลันจ้องมองด้วยแววตาสงสัย พลางเอ่ย "เอ่อ...คือ...ข้าเป็นต้นเหตุให้เจ้าสมองเลอะเลือนหรือไม่"
"สมองเลอะเลือน…" เสวี่ยอี้เอ่ยทวน ก่อนที่จะหลุดออกจากภวังค์เพราะคำพูดของชายผู้นั้น "สะ สมองเลอะเลือนอันใดของเจ้า! เจ้านั่นแหละที่เลอะเลือน กลั่นแกล้งข้า"
ข้ามิได้ตั้งใจ ว่าแต่…เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าข้ากลั่นแกล้งเจ้าล่ะ"
"เจ้าอย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย เจ้าน่ะตั้งใจปีนขึ้นไปบนต้นไม้ทำให้ผลท้อตกมาใส่หัวข้า"
"จริงหรือ...ขะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเจ็บมากหรือไม่" ชายผู้นั้นเอ่ยพลางแสดงแววตาห่วงใยเป็นประกาย
"หากเจ้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ เหตุใดเจ้าถึงขึ้นไปบนนั้นล่ะ"
"ต้นไม้ต้นนี้ เป็นต้นไม้ประจำตัวของข้าข้ามักจะมาปีนเล่นนั่งเล่นอยู่เป็นประจำ และตอนที่ข้าปีนขึ้นมา ข้ายังไม่เห็นเจ้านอนอยู่ใต้ต้นไม้นี้เลย"
เสวี่ยอี้นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ หากเป็นเช่นนั้นจริง ชายผู้นี้ก็มิได้มีเจตนาร้าย "เอาเถอะ หากเจ้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าก็จะไม่ถือเอาความ"
ชายผู้นั้นคว้าเอาตลับยาตลับหนึ่งภายในกระเป๋าเสื้อยื่นส่งให้เสวี่ยอี้ พลางเอ่ย "นี่เป็นตลับยาของข้า เจ้ารับไปเถิด"
เสวี่ยอี้จ้องมองชายผู้นั้นนิ่ง ก่อนที่จะยื่นมือรับตลับยาตลับนั้นไปอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
'ดูดูไปแล้ว...ชายผู้นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก' เสวี่ยอี้คิดในใจ
ชายผู้นั้นเผยยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่จะเอ่ยถามต่อ "เจ้ามาที่นี่ประจำงั้นหรือ ข้าขอทราบชื่อของเจ้า จะได้หรือไม่'
"ใช่! ที่นี่คือป่าประจำหมู่บ้านของข้า ข้ามาที่นี่ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว อ้อ ข้ามีนามว่า เสวี่ยอี้ แล้วเจ้าล่ะ"
"ข้ามีนามว่า ฟ่านเจี้ยน"
นอกจากใบหน้าของชายผู้นี้แล้ว เสวี่ยอี้สังเกตเห็นเครื่องแต่งกายของชายผู้นี้ที่ดูสง่าและแตกต่างจากการแต่งกายของชาวบ้านธรรมดาโดยสิ้นเชิง
"ดูจากการแต่งกายของท่านแล้ว ท่านคงเป็นลูกหลานของขุนนาง ไม่ก็เศรษฐีประจำหมู่บ้านหรือยิ่งไปกว่านั้นเจ้าอาจจะเป็นองค์ชายจากต่างเมืองใช่หรือไม่" เสวี่ยอี้เอ่ยพลางใช้สายตากวาดมองดูเครื่องแต่งกายของชายผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า
"ฮ่า ๆ หากข้าบอกว่าที่เจ้าเดาไม่ถูกสักอย่างเลยล่ะ"
"เช่นนั้น...เจ้ามาจากไหนกันล่ะ บอกข้ามาเถิด ข้าไม่นำเรื่องไปบอกผู้ใดหรอก" เสวี่ยอี้เอียงคอถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
"ข้าเป็นโอรสของกษัตริย์ในแคว้นต้าฉิง"
เสวี่ยอี้เบิกตากว้างโตทันใด เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางรีบก้มคำนับองค์ชายทันที "หม่อมฉันขออภัยที่ล่วงเกินเพคะองค์ชาย"
"ลุกขึ้นเถิด...ทำตัวตามสบายจะดีกว่า ฟังแล้วมันดูน่าอึดอัดใจเจ้าว่าหรือไม่"
"ขอบพระทัยเพคะ" เสวี่ยอี้ถอนคำนับตามคำสั่งด้วยท่าทางทุลักทุเล และก็พลันนึกได้ว่าตนเองจะต้องแต่งงานกับท่านอ๋อง โอรสของกษัตริย์
ลำดับที่แปด จึงแอบภาวนาว่า ชายผู้นี้ จะเป็นอ๋องแปดที่นางจะต้องแต่งงานด้วย จึงเอ่ยถามเพื่อคลายความข้องใจ "หม่อมฉันขอถามบางอย่างได้ไหมเพคะ"
"ได้สิ! เรื่องอันใดหรือ"
"พระองค์เป็นโอรสลำดับที่เท่าไหร่หรือเพคะ"
องค์ชายขมวดคิ้วแสดงท่าทีสงสัย ก่อนจะเอ่ย"เหตุใดเจ้าถึงอยากรู้ เจ้าอยากรู้จักข้ามากขึ้นงั้นหรือ"
"เพราะว่า...หม่อมฉันได้รับพระราชทานแต่งงานเพคะ เลยอยากตรวจสอบว่าองค์ชายคือ ท่านอ๋องแปด ผู้นั้นหรือไม่"
องค์ชายเผยใบหน้านิ่งและชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก "ข้าคือองค์ชายสิบ ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาท เหตุใดข้าถึงไม่ได้เป็นผู้โชคดีเช่นท่านพี่นะ"
เสวี่ยอี้รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อยที่ได้ยินเช่นนั้น "อย่างนั้นหรือเพคะ…"
"เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าเชื่อว่าท่านพี่จะต้องดูแลเจ้าดีเป็นอย่างแน่"
"ขอบพระทัยเพคะองค์ชาย"
“แล้วหลังจากนี้เจ้าจะไปไหนหรือ”
“หม่อมฉันคิดว่าจะกลับจวนแล้วเพคะ เริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้ว หม่อมฉันเกรงว่า ฝนจะตกในอีกไม่ช้านี้เพคะ”
“ข้าผ่านทางจวนของเจ้าพอดี จะรังเกียจหรือไม่ หากข้าจะเดินกลับไปกับเจ้าด้วย”
เสวี่ยอี้ส่งยิ้มราวกับบุปผาที่งดงาม สดใส พลางเอ่ย“ได้สิเพคะ”
แล้วทั้งสองก็เดินลงมาจากเขา และพูดคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทาง จนเสวี่ยอี้เข้าไปถึงจวนและร่ำลากันในที่สุด