การที่มนต์รสา ต้องหลุดเสียงร้องอุทานออกมาจนดังลั่นไปทั่วทั้งบ้านของตัวเองโดยไม่ได้ตั่งใจนั้น เหตุเพราะเธอรู้สึกตกใจแกมประหลาดใจมากทีเดียว กับการปรากฏตัวของชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงสง่า จนเธอต้องเงยหน้าทุกครั้งยามเมื่อได้พูดคุยกับเขา ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลาแถมยังทรงเสน่ห์อย่างหาตัวจับยากที่สุดคนหนึ่ง อาจถึงขั้นทำให้บรรดาสาวๆทั้งหลาย เมื่อพบเห็นเขาเข้าซึ่งๆหน้า ต้องพากันเป็นลมล้มตึงไปนอนแดดิ้นตายต่อหน้าต่อตาเขาเชียวละ เธอไม่ได้พูดเกินความเป็นจริงเลยสักนิด ใครบ้างในแวดวงสังคมปัจจุบันจะไม่รู้จักเขา
อิศรา ไวยเวศ …
นักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอม ผู้มีโพรไฟล์เลิศเลอเพอเฟคแบบสุดๆ ชายหนุ่มในฝันของบรรดาสาวแท้สาวเทียม และนั่นอาจเหมารวมไปถึงตัวเธอด้วยถ้าไม่ติดว่าเขานั้นเป็นอดีตเจ้านาย ส่วนเธอเป็นเพียงอดีตสาวใช้ภายในบ้านของเขาคนหนึ่งน่ะนะ ใครมันจะไปกล้าคิดอาจเอื้อมได้เล่า เขาเป็นเจ้าชายส่วนเธอมันก็แค่สาวใช้ก้นครัวไม่มีอะไรเทียบชั้นกับเขาได้เลยสักอย่างเดียว...
แต่ทว่าตอนนี้อดีตเจ้านายหนุ่มสุดหล่อของเธอ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของความเพอเฟคเหมารวมเอาไว้ทุกอย่างในคนเดียวกัน กลับมายืนหันหลังนิ่งสงบให้เธอในห้องครัว ท่าทางของเขาราวกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แสนเย่อหยิ่งทะนงตน หัวไหล่เขาตั้งตรงแผ่นหลังนั้นดูเรียบตึง ท่าทางของเขาดูนิ่งสงบจนไม่น่าไว้วางใจอย่างที่สุด จนเธอนึกหวั่นใจบางอย่าง รางสังหรณ์แปลกประหลาดเมื่อก่อนเธอจะเดินเข้าบ้านแวบเข้ามาในความคิด จนทำให้ขนในกายของเธอเริ่มลุกชันขึ้นมาอีกครั้ง...
ว่าแต่...แล้วเขาแอบย่องเข้ามาทางด้านหลังห้องครัวบ้านเธอในยามวิกาลทำไม? ถ้าจะเข้ามาทางหน้าบ้านดีๆเหมือนคนปกติทั่วไปเขาทำกันเธอเองคงห้ามเขาไม่ได้หรอก หรือถ้าหากเขาต้องการอยากพบเธอจริงๆ เขาก็แค่ใช้ให้พี่มดโทรมาตามเธอให้เข้าไปพบเขาบนตึกใหญ่ก็ได้นี่ เพราะถึงอย่างไรในฐานะอดีตสาวใช้อย่างเธอถ้ามีคำสั่งลงมาจากบ้านไวยเวศ เธอย่อมต้องทำตามไม่เคยปฏิเสธสักครั้งอยู่แล้ว
หญิงสาวย่นคิ้วคิดหนัก แต่ยังไม่กล้าขยับปากกับร่างกายในตอนนี้ เธอขอเวลาตั้งสติตัวเองให้ดีเสียก่อน คาดเดาได้ไม่ยากนัก การที่อิศราเข้ามาหาเธอถึงภายในบ้านคราวนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวเธอแน่ๆ อาจมีบางอย่างเกิดขึ้นบนตึกใหญ่ แล้วเรื่องนั้นต้องเชื่อมโยงเกี่ยวพันมาถึงตัวเธอ แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้นเธอเองยังคิดไม่ออกเหมือนกัน...
มนต์รสายืนลังเลอยู่สักครู่ ก่อนตัดสินใจเอ่ยปากถามชายหนุ่ม ถ้าเธอไม่ถามเขาคงไม่พูด แล้วคืนนี้ทั้งคืนเธอคงไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี...
“คุณหนึ่งมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะถึงได้มาหาถึงในบ้าน...” แถมยังแอบเข้ามาทางด้านหลังเสียด้วย มนต์รสาแอบคิดในใจก่อนจะคลายหัวคิ้วขึ้นปกติ หรือคนบนตึกใหญ่จะมีใครเป็นอะไรไปจริงๆ อย่างที่เธอแอบนึกสงสัยไว้แต่แรก เสียงหวานจึงเอ่ยถามต่อ
“หรือว่าบนตึกใหญ่มีใครเป็นอะไรไป?...” พอสิ้นเสียงถามสองเท้าเรียวสะอาดรีบขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงด้วยความร้อนใจมากขึ้น
“คุณหนึ่งคะ!...” เธอเอ่ยเรียกชื่อเขาซ้ำลงน้ำหนักให้เสียงดังมากขึ้นเมื่อยังเห็นเขายืนนิ่งไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำเดียว
“คุณหนึ่งมีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาสิ มัวแต่ยืนเฉยอยู่นั่นแล้วเมื่อไหร่ฉันจะรู้เรื่องสักที หรือถ้าไม่สะดวกยังไง เชิญคุณหนึ่งไปคุยกันด้านนอกดีกว่า ในครัวมันคับแคบมาก คุณคงไม่สะดวกนัก ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณหนึ่งทางนี้เถอะค่ะ...”
หญิงสาวผายมือเชื้อเชิญคุณชายใหญ่ของบ้านไวยเวศให้ออกไปคุยกันด้านนอกซึ่งมีโซฟาสำหรับให้เขานั่งอย่างสบายมากกว่ามายืนแย้งอากาศหายใจกันในห้องครัว เธอไม่คิดจะประชดประชันอะไรเขา ไอ้ที่เชิญเขาออกไปคุยกันข้างนอกนั้น เพราะรู้จักนิสัยถือตัวของชายหนุ่มเป็นอย่างดี ห้องครัวทั้งเล็กและคับแคบของบ้านเธอ มันดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักหากจะให้อิศรามายืนคุยอยู่แบบนี้ แต่ทว่าร่างสูงยังคงยืนนิ่งเฉยไม่ไหวติง จนมนต์รสาเองเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างเหมือนกัน มีเรื่องอะไรทำไมเขาไม่ยอมพูดยอมบอกออกมาสักทีล่ะ เธอร้อนใจไปหมดแล้ว ถ้าหากมีใครเป็นอะไรไปจริงๆอย่างที่เธอเข้าใจ เธอจะได้รีบไปช่วยเหลือได้ทัน จะช่วยได้มากได้น้อยไม่สำคัญสำหรับเธอนั้นพร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เพราะในฐานะพี่น้องเคยร่วมบ้านชายคาหลังเดียวกันมานาน คนงานบนตึกใหญ่หรือแม้กระทั่งเจ้านายทุกคนเธอยังรักและเคารพไม่เคยเสื่อมคลาย...
ส่วนคนถูกเร่งเร้าเอาคำตอบกำลังรวบรวมสติของตนเองให้นิ่งสงบอย่างเต็มที่ เขาไม่ใช่คนใจร้อนจนติดเป็นนิสัยก็จริง หากตอนนี้ใจเขากับร้อนเป็นไฟกัลป์ มันพร้อมจะปะทุเดือดขึ้นมาทำลายล้างได้ตลอดเวลา ร้อนจนอยากจะฉีกเนื้อแม่จอมสร้างภาพด้านหลังเขาให้แหลกเป็นจุณก็ว่าได้
ฮึ...ทำเป็นตีหน้าซื่อตาใสไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทั้งๆที่ตัวเองนั้นน่าจะรู้ดีแก่ใจมากกว่าใครแท้ๆ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นในบ้านของเขากันแน่ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ผู้หญิงหน้าซื่อขยันยิ้มคนนั้น คนที่คอยเอาแต่วิ่งหลบหน้าหลบตาเขาเป็นประจำ จะกลายเป็นคนชอบเล่นละครตบตาได้เก่งถึงเพียงนี้...
ดีนะที่ผ่านมาเขา เฮ้อ!ช่างเถอะ...อิศรารีบหยุดความคิดของตัวเองเอาไว้แค่นั้น เมื่อเสียงของแม่สาวหน้าซื่อแต่ใจไม่ได้ซื่ออย่างหน้ายังคงรบเร้าให้เขาออกไปจากห้องครัวอีกครั้ง
“เชิญค่ะคุณหนึ่ง...” อิศราไม่ได้ขยับขาตามไปแต่เขากลับส่งเสียงดุดันขึ้นมาแทนเพื่อตัดรำคาญ
“เดี๋ยวก่อน มนต์รสา!”
“คะ...” เสียงหวานหันตัวกลับไปเพื่อขานรับ ทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวพ้นบานประตูห้องครัวของเจ้าของบ้าน มีอันต้องหยุดชะงักลงเช่นกัน เมื่อเธอได้ยินเสียงเข้มจากคนด้านหลังดังขัดขึ้น มันเป็นประโยคแรกละมั้งนับตั้งแต่เธอเห็นเขาเข้ามาปรากฏตัวตรงนี้
“เธอทำกับยายอรแบบนั้นได้ยังไง!...” เสียงเข้มตวาดขึ้นดุดันก่อนร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงร้อยมารยา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มใต้คิ้วดกหนาส่อประกายวาวโรจน์ จนทำให้ขนในร่างของหญิงสาวเจ้าของบ้านลุกซู่ ทำไมอิศราถึงได้ดูน่ากลัวมากเช่นนี้ เท้าสะอาดเลยค่อยๆขยับถอยร่นไปทีละน้อยด้วยความหวาดหวั่นในใจ
“ฉันนี่นะ ไปทำอะไรคุณอร?...” ปลายหัวคิ้วขมวดมุ่นเริ่มไม่พอใจผู้บุกรุกขึ้นมาบ้างแต่ยังทำใจเย็นไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจตอบโต้เขากลับ แหม!...อยู่ดีๆดันมาโยนเหาใส่หัวให้เธออีก คนอย่างเธอนี่นะจะกล้าอาจเอื้อมไปทำร้ายอรอินน้องสาวสุดรักสุดหวงของเขาได้
อิศราเม้มริมฝีปากหยักเข้าหากันแน่น นึกรังเกียจท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าเหลือเกิน คุณเธอทำหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวได้เก่งจริงๆน่ามอบตุ๊กตาทองให้สักตัวสองตัวนัก
“คะ! ฉันไปทำอะไรคุณอร? กรุณาอธิบายให้ฉันเข้าใจสักหน่อยเถอะ อย่าได้มากล่าวหากันง่ายๆแบบนี้เลย...” มนต์รสาเอ่ยถามย้ำด้วยความสงสัยมากมาย คำกล่าวหาของเขามันต้องมีมูลอะไรสักอย่างและมูลเหตุนั้นคงโยงใยมาเกี่ยวข้องกับเธอไม่มากก็น้อย แต่เธอไม่ได้ทำอะไรอรอิน ไม่เคยทำและไม่เคยคิดจะทำด้วย
แล้วเหตุใดเขาถึงคิดแบบนั้นขึ้นมาได้ล่ะ หญิงสาวย่นคิ้วสงสัย คนอย่างเธอนี่น่ะเหรอ จะกล้าคิดทำร้ายอะไรอรอินได้ วันๆก็ทำแต่งาน นานทีถึงจะมีโอกาสได้เข้าไปช่วยงานคุณหญิงอรอุมาในบ้านไวยเวศสักครั้ง ถึงจะเข้าไปช่วยงานแต่เธอก็ไม่เคยได้พูดคุยกับอรอินเป็นการส่วนตัว เมื่อเธอพอจะรู้จักนิสัยใจคอของคนในบ้านไวยเวศพอสมควร พี่ชายเป็นคนอย่างไรดูเหมือนน้องสาวก็มีนิสัยไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นักหรอก สองคนพี่น้องเขานิสัยเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ฟ้านั้นอยู่สูงส่งเพียงไหนสองคนพี่น้องเขาก็อยู่สูงเท่านั้นแหละ ต่อให้ปาก้อนดินอย่างเธอขึ้นข้างบนให้ตายยังไง มันก็ไปไม่ถึงท้องฟ้าอยู่ดี แล้วเหตุไฉนใยเธอต้องไปหาเรื่องใส่ตัวให้ปวดหัวแบบนั้นด้วยเล่า เขาต้องเข้าใจหรือได้ยินอะไรมาผิดๆอย่างแน่นอน
“อย่ามาทำหน้าซื่อตาใสใส่ฉันเลยนะมนต์รสา! มันไม่สำเร็จหรอก เพราะผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกจอมเสแสร้งอย่างเธอ มันก็มีดีแค่อย่างเดียวแหละหว่า...”
อิศราเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย เขาต้องหักห้ามใจอย่างหนักเพื่อไม่ให้ตัวเองกระโดดเข้าไปบีบคอผู้หญิงตรงหน้า เพื่อระบายความโกรธซึ่งมันอัดแน่นจนแทบอยากจะฆ่าใครสักคนได้ในตอนนี้
เขารึอุตส่าห์ลงทุนมายืนดักรอเจ้าหล่อนอยู่หลายชั่วโมง กว่าแม่เจ้าประคุณจะเสด็จกลับเข้ามา เขาต้องบริจาคเลือดให้กับยุงจนแขนทั้งสองข้างลายพร้อยไปหมด อีกทั้งอากาศข้างนอกนั้นช่างแสนร้อนอบอ้าว แต่มันยังร้อนได้ไม่เท่าครึ่งกับใจของเขาในตอนนี้ด้วยซ้ำ มันร้อนจนแทบลุกเป็นไฟได้แล้วละมั้งเนี่ย
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะคะ?...” คนไม่ทันตั้งตัวเอ่ยปากถามอย่างไม่พอใจ พรางตวัดสายตาหวานขึ้นมองคนพูดเขียวปั้ด มีอย่างที่ไหนบุกรุกเข้ามาในบ้านของคนอื่นเขาแท้ๆแถมยังมีหน้ามายืนด่าเจ้าของบ้านเขาเสียๆหายๆให้อีก
“ฉันมีดีอะไร? คุณพูดให้มันดีๆหน่อยนะ แล้วฉันทำตัวหน้าไหว้หลังหลอกกับคุณตอนไหนกันคะ...”
“ก็ข้อดีที่ว่า...คอยจ้องแต่จะหาทางจับแต่ผู้ชายรวยๆเอามาทำผัวน่ะสิ พอหาทางจับฉันไม่ได้ เธอเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปจับนายคชาแทน จนมันหลงติดกับดัก บอกยกเลิกงานแต่งงานกับยายอรไปเมื่อวานนี้ไง...”
อิศรากัดกรามกอดด้วยความเจ็บปวดหัวใจเหลือแสน ยิ่งเมื่อนึกถึงใบหน้าเศร้าสร้อยของผู้เป็นน้องสาวกับว่าที่น้องเขยในอนาคต หัวใจของคนเป็นพี่นั้นยิ่งทรมานแสนสาหัส จนชายหนุ่มต้องรีบหลับตาลงเพื่อสงบจิตสงบใจตัวเองให้เต้นปกติ ไม่อย่างนั้นมีหวัง เขาได้กลายเป็นฆาตกรฆ่าคนตายอย่างแน่นอน
อิศราต้องการสลัดภาพของน้องสาวตัวเองตอนกำลังนอนทุรนทุรายอยู่บนพื้นห้องออกไปจากหัวสมองของตัวเอง เมื่อมันชอบปรากฏขึ้นมาชัดเจนอยู่ในหัวสมองของเขาตลอดเวลา มันเป็นภาพติดตาที่ยังคงตามหลอกตามหลอนเพื่อที่จะบีบรัดหัวใจเขาให้เจ็บปวดทรมานไม่ไปไหน ถ้าเขาไม่เอ๊ะใจแต่แรกแล้วผลักบานประตูเข้าไปในห้องนอนของอรอินเมื่อคืน เขาไม่อยากจะคิดต่ออีกเลย อรอินจะเป็นเช่นไร น้องสาวของเขาคงไม่รอดพ้นเงื้อมมือของมัจจุราช
ใช่...อรอินกินยาฆ่าตัวตายเพื่อประชดคชา...
เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดเข้าไปก้าวก่ายหรือยุ่งวุ่นวายอะไรเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของอรอินเลย น้องสาวเขาไม่ใช่คนโง่ อรอินทั้งสวยและฉลาดมากพอในการเลือกคบคน คนไหนจริงใจ หรือ หลอกลวงเพื่อหวังผลประโยชน์ เขามั่นใจว่าน้องสาวของเขาต้องแยกแยะและมองออก
“คุณพูดว่าอะไรนะ คุณคชาเนี่ยนะเหรอ จะบอกยกเลิกงานแต่งงานกับคุณอร เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด...” มนต์รสาส่ายหน้าดิก เธอไม่อยากจะเชื่อเลยผู้ชายอย่างคชาจะบอกยกเลิกงานแต่งงานกับอรอินได้ลงคอ ในเมื่อผู้หญิงอย่างอรอินใช่จะหาได้ง่ายๆบนโลกกลมๆใบนี้ เจ้าหล่อนทั้งสวยทั้งเก่งฐานะทางสังคมนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงให้เปลืองน้ำลาย ทั้งเพียบพร้อมเหมาะสมกันทุกอย่างทุกประการ สวยครบเครื่องขนาดนั้นแล้วผู้ชายอย่างคชายังต้องการอะไรอีก
แล้วประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับเรื่องนี้ เธอไปเป็นสาเหตุให้สองคนนั้นเขาเลิกกันตอนไหน คนถูกกล่าวหายังงงเป็นไก่ตาแตก เธอจึงเอ่ยปากถามเขาออกไป...
“ว่าแต่ แล้วคุณมาลากฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยกับเรื่องนี้ด้วย”
อิศราเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูงพร้อมกับเหยียดริมฝีปากออก แววตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นยังคงทอประกายให้รู้ถึงความรู้สึกภายในที่เขามีต่อผู้หญิงตรงหน้า มันมีแต่การดูถูกและเหยียดหยามเพียงใด ทำให้คนรับรู้มาโดยตลอด รู้สึกร้อนๆหนาวๆได้เป็นอย่างดี ก่อนเขาจะเงยหน้าแล้วหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น นี่ถ้าเขาไม่เห็นภาพตอนแม่นี้ยืนกอดกับคชาตรงหน้าบ้านโดยบังเอิญเมื่อวันก่อน เขาอาจจะคิดว่าแม่นี้เป็นผู้หญิงใสซื่อไม่รู้เรื่องนี้จริงๆแล้วก็ได้
ยอมรับว่ามนต์รสาเล่นละครเก่ง ไอ้บทผู้หญิงแสนดีต่อหน้าคนอื่นเนี่ยเจ้าหล่อนเล่นถนัดนัก โดยเฉพาะกับบรรดาคนรับใช้ในบ้านของเขาเอง เขาก็เห็นจนชินตามาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าสวยหวานของเจ้าหล่อน มันจะแฝงไว้ด้วยความหลอกลวงตอแหล คงคิดอิจฉาอรอินมาตลอดสินะ ถึงได้กล้าวางแผนแย้งคชาไปเป็นของตัวเอง...
“ฉันอยากจะมอบโล่ให้กับความตอแหลแบบใส่ซื่อของเธอจริงๆ สาบานว่าเธอไม่รู้...” พอหยุดเสียงหัวเราะเยาะ อิศราจึงกัดฟันเน้นน้ำเสียงเอ่ยถาม ใบหน้าของเขายังคงบึ้งตึงไม่เสื่อมคลาย
“ฉันสาบาน เพราะฉันไม่รู้จริงๆ” มนต์รสายืนยันเสียงหนักแน่น เธอจ้องตาเขากลับเพื่อต้องการยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง
แต่ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่คิดเชื่อในคำสาบานเลยสักนิด อิศราเบ้ปาก ก่อนจะก้าวขาเข้าไปประชิดร่างแม่หน้าซื่อตาใสมากขึ้น มนต์รสาถอยเท้าหนีจนแผ่นหลังบางชนเข้ากับกำแพง ดวงตากลมโตพยายามมองสู้กับดวงตาสีน้ำตาลเข้มจัด เขาจับจ้องใบหน้านวลอย่างเคียดแค้นชิงชังโดยไม่ปิดบัง มนต์รสาถึงกับใจแกว่งตกไปอยู่บนพื้น ปกติเวลาเขาทำหน้าเคร่งขรึมใส่เธอ เธอยังกลัวจนไม่กล้าเงยหน้ามองเขาทุกครั้ง แต่นี้เขากลับมองเธอด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ เธอจะทำอย่างไรดี
“เธอนี่มันตอแหลจนได้โล่จริงๆเลยนะ ฉันขอตบมือให้...” เขาหรี่ตาลงพรางพูดประชดด้วยน้ำเสียงกร้าวกระด้าง ก่อนชายหนุ่มจะยกฝ่ามือขึ้นตบอย่างที่เขาพูดเอาไว้จริงๆ
“ฉันไม่ได้ตอแหลอะไรทั้งนั้น ฉันพูดความจริงและไม่คิดจะตอแหลอะไรกับคุณด้วยทั้งนั้น กรุณาพูดจาให้เกียรติกันบ้างนะคะคุณหนึ่ง...” มนต์รสาเองชักเริ่มทนไม่ไหวขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน เขาแอบเข้ามาในบ้านของคนอื่นยามวิกาลไม่พอ ยังกล้ามายืนด่าเจ้าของบ้านเขาปาวๆอย่างเสียๆหายๆอีกด้วย ถึงเขาจะรวยล้นฟ้ามาจากไหนก็ตาม เขาน่าจะหัดมีมารยาทหรือรู้จักให้เกียรติคนอื่นบ้างก็ยังดี เจอหน้ากันก็เอาแต่ด่าเธอลูกเดียวนี่เขาไม่คิดจะเอ่ยปากถามข้อเท็จจริงกันบ้างเลยหรือไง ทำไมถึงได้เอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นหลักโดยไม่สนใจควาดคิดของคนอื่นบ้างเลย
“โอ้!ผู้หญิงอย่างเธอมีเกียรติด้วยเหรอ...ตายๆ ทำไมฉันไม่ยักจะเห็นว่ามีล่ะ?...หึ” คนตัวสูงกว่าลอยหน้าถาม
“ฉันว่าวันนี้เราคงพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ ถ้าอย่างไรเชิญคุณหนึ่งออกไปจากบ้านของฉันจะดีกว่า เอาไว้ถ้าคุณใจเย็นกว่านี้ฉันจะเข้าไปหาคุณที่บ้านไวยเวศเองก็แล้วกันนะคะ ตอนนี้มันดึกมากแล้วฉันเหนื่อยอยากพักผ่อน...” พอความอดทนสิ้นสุดลง เจ้าของบ้านพรางผายมือเป็นเชิงไล่ให้แขกไม่ได้รับเชิญออกจากบ้านของเธอไปเพื่อสงบสติอารมณ์ ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับเอาน้ำมันไปราดบนกองเพลิงดีๆนี่เอง
เพราะนอกจากอิศราจะไม่ไป เขายังก้าวขาเข้าไปประชิดร่างเน่งน้อย ดึงเข้าหาตัวเองด้วยความโกรธอีกด้วย
“ว้าย!” เจ้าของบ้านสาวถึงกับร้องเสียงหลง ใบหน้านวลแตกตื่นตกใจ
“คุณจะทำอะไร...ปล่อยนะ”
“ปากดีนักนะแม่คุณ เธอกล้าดียังไงมาไล่คนอย่างฉัน”
“ก็คุณพูดไม่รู้เรื่องก่อนทำไมล่ะ...คุณจะทำอะไร อย่านะ...” หญิงสาวดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด ดวงตางามเบิกกว้างขึ้นอย่างคนตกใจสุดขีด หัวจิตหัวใจตอนนี้ของเธอมันกระดอนตกไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ก็จะทำให้ผู้หญิงอย่างเธอ มีจิตสำนึกขึ้นมาได้บ้างน่ะสิ ว่าไอ้การใช้ร่างกายเน่าๆสกปรกๆ ของตัวเองมาเป็นบันไดเพื่อไต่ระดับจากเศษดินสู่ชั้นฟ้า มันทำไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดฝัน เพราะฉันจะเป็นขวากหนามคอยขวางกั้นเธอเอาไว้ทุกทางน่ะสิ”
“ฉันไม่เคยคิดจะทำตัวแบบที่คุณพูด อย่าเอาแต่ใส่ความฉันอยู่เลยถ้าตัวคุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แล้วฉันก็คิดว่า คุณควรต้องออกไปจากบ้านของเศษดินอย่างฉันได้แล้ว เพราะฉันไม่ต้องการรับแขกแบบคุณ...”
“แต่ถ้าเป็นไอ้คชาเธอคงยินดีและยินยอมต้อนรับด้วยความเต็มอกเต็มใจสินะ”
“เอ๊ะ! คุณนี่...” หญิงสาวเริ่มหงุดหงิด จนเผลอขึ้นเสียงกับเขา
“อย่าได้พยายามเอาฉันไปเกี่ยวโยงกับเรื่องของน้องสาวคุณอีก เพราะฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยทั้งนั้น”
“ตอแหละหน้าไม่อาย!”
“คุณมันบ้า ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ก่อนที่ฉันจะแจ้งความจับคุณข้อหาบุกรุก”
“ก็เอาสิ แจ้งเลย อ้อ...แล้วอย่าลืมแจ้งอีกข้อหาหนึ่งด้วยล่ะ...”
“ข้อหาอะไร?” เจ้าของบ้านร้องถามไปฝ่ามือกันยันร่างหนาเขาออกไปด้วย
“ก็ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราด้วยไงล่ะ” อิศราตอบด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม โน้มปลายจมูกเข้าหาใบหน้านวลเนียน และคำตอบของเขานั้นเล่นเอามนต์รสาถึงกับตัวชาวาบไปทันที
“ไม่นะ! ปล่อยสิ...” มนต์รสาเอียงใบหน้าหลบไปด้านข้าง ปลายจมูกโด่งเป็นสันจึงฝังตัวบนแก้มนุ่มแทน หญิงสาวถึงกับช๊อกตาค้างไปกับการกระทำอุกอาจของชายหนุ่ม ไม่คิดว่าคนอย่างนายอิศราผู้ชายที่ถือตัวอยู่สูงมากกว่าคนปกติธรรมดาคนนั้น จะหน้ามืดตาบอดลดตัวมารังแกผู้หญิงระดับล่างเช่นเธอ เขาไม่เคยมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับคู่ควงมาก่อน ผู้หญิงโดยส่วนมากของอิศราที่ตกเป็นข่าว นั้นมีแต่พวกระดับไฮโซ เป็นพวกมีชาติมีตระกูลในระดับเดียวกับเขาทั้งนั้น
“ไม่ปล่อย...” เสียงแข็งกระด้างตะคอกกลับ
“อย่านะ...” มนต์รสารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดอีกหน เธอผลักร่างหนาออกห่างอย่างรังเกียจ สัมผัสจากเขามันทั้งจาบจ้วงและหยาบคายเหลือเกิน
“ทำเป็นไม่เคยไปได้ ทีเมื่อวันก่อนฉันยังเห็นเธอไปยืนกอดกับไอ้คชาตัวกลมดิกอยู่เลย...” ชายหนุ่มยิ้มเยาะ ผู้หญิงจอมสร้างภาพ
“ฉันไม่เคยไปยืนกอดกับคุณคชา คุณเอาอะไรมาพูด” เธอแห้วใส่ คนบ้า เธอไปยืนกอดกับคชาตอนไหน แบบนี้มันใส่ความกันเห็นๆเลยนี่นา
“ก็เอาเรื่องจริงมาพูดไงล่ะ...”
“เรื่องจริงบ้าบออะไรของคุณ ฉันไม่รู้เรื่อง ปล่อยฉันสิ...”
หญิงสาวใช้แรงอันน้อยนิดของตัวเองดิ้นรนสุดกำลังอีกหน พยายามขืนตัวเองออกจากพันธนาการเหล็กของลำแขนใหญ่ แถมยังต้องคอยหลบปลายจมูกโด่งของเขาพัลวันอีกด้วย ส่วนริมฝีปากอิ่ม ก็คอยขยับส่งเสียงขับไล่เขาให้ออกไปจากบ้านของเธอ ฝ่ามือก็คอยดันร่างหนาออกห่าง แต่ทว่าร่างหนาไม่ได้สะทกสะท้าน ยิ่งดันออกเขากลับยิ่งรัดเธอแน่นเข้าไปกันใหญ่จนเธอหายใจแทบไม่ออก
ยอมรับว่าเธอกลัวเขามาก กลัวมาตลอด และเหนือสิ่งอื่นใด เธอกลัวใจตัวเองจะแอบเอนเอียงหลงรักเขาเข้า เธอไม่อยากอกหัก ไม่อยากทำให้ตัวเองเจ็บปวด เมื่อรู้ตัวเองดี เธอเป็นใครแล้วเขาเป็นใคร
“มานี่เลยแม่ตัวดี รับรองคืนนี้เธอจะมีความสุขจนล้นอกล้นใจ จนลืมไอ้คชาเลยล่ะ...”
อิศรารวบร่างน้อยนุ่มนิ่มเข้าหาตัว ก่อนจะยกขึ้นจากพื้นพาขึ้นไปยังชั้นบนของตัวบ้าน น้องเขาเจ็บปวดแค่ไหน มนต์รสาต้องเจ็บมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่าคอยดู...
“คุณกำลังเข้าใจฉันผิด” มนต์รสาแย้งเสียงดัง ร่างบางสั่นเทาด้วยความกลัว ถึงจะกลัวเขามากแค่ไหน แต่เธอจะไม่มีทางยอมตกเป็นของผู้ชายไร้หัวใจอย่างอิศราเด็ดขาด
“ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวจากผู้หญิงเลี้ยงไม่เชื่องอย่างเธอ หุบปากแล้วไปหาความสุขกับฉันจะดีกว่านะแม่สาวจอมเสแสร้ง ละครเธอมันมาถึงตอนจบแล้วล่ะ มนต์รสา! ต่อนี้ไปเราจะมาอยู่ในโลกแห่งความจริงกัน...”
“ไม่นะ!...ฟังฉัน ฉันไม่รู้เรื่อง...” มนต์รสาตาเหลือกเมื่ออิศราจับร่างเธอพาดบ่าแข็งแรง จนศีรษะห้อยโตงเตงไปทางด้านหลังแกร่ง เธอใช้กำปั้นขึ้นทุบหลังเขาไม่ยั้ง พอเจ็บเข้าหน่อย อิศราจึงใช้ฝ่ามือใหญ่ของตัวเอง ฝาดลงบนสะโพกกลมกลึงไม่ออมแรงตอบโต้กลับเช่นกัน
“ได้โปรด ฟังฉัน...” ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นพึมพำแผ่วเบา หยาดน้ำตาไหลรินอาบสองข้างแก้ม ดวงตากลมโตหลับลงอย่างคนยอมรับชะตากรรม ต่อให้ร้องขอจนคอเป็นเอ็น คนอย่างอิศราก็คงไม่สนใจ ในเมื่อเขาเป็นผู้ตัดสิน ว่าเธอเป็นคนผิดไปแล้วนี่นา...
************************************************