วันต่อมา เพราะไม่มีเรียนฉันจึงเลือกตื่นตามอำเภอใจ นั่นคือตอนบ่าย หลังจากอาบน้ำเก็บห้องเสร็จก็โทรไปหาแม่ ฉันจะโทรไปหาที่บ้านค่อนข้างบ่อยเพราะคิดถึง นี่ก็ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้วเพราะเอาแต่เรียน
ในขณะที่กำลังจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก พอเปิดประตูห้องก็ต้องตกใจที่เห็นสงครามยืนอยู่หน้าประตู ฉันรีบถอยหลังกลับเพราะหน้าเกือบจะแนบติดกัน แต่อีกคนไม่ได้ตกใจอะไรเลย
สงครามเดินแทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วก็บ่นๆ เรื่องเมื่อคืนที่เมาจนไม่รู้เรื่อง
“ฉันจำได้ว่าโทรบอกให้เธอไปรับ แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีก” เขาจะเป็นคนแบบนี้ เวลาเมามากๆ จนภาพตัดตื่นมาจะจำอะไรไม่ได้เลย
“แหงสิ! เมาอย่างกับหมา เมื่อคืนนายจะปล้ำฉันจำได้หรือเปล่า ?” ได้จังหวะพูดเรื่องนี้พอดี เกือบลืมไปแล้ว
“ปล้ำเธอเนี่ยนะ ?” สงครามทำหน้าไม่เชื่อ ฉันจึงรีบยืนยันเสียงสูง “ก็ใช่น่ะสิ”
“อย่ามามั่ว ฉันไม่ตาต่ำขนาดนั้นแน่ๆ”
กรี๊ด!!! ดูคำพูดมันสิ นี่คือคำพูดของเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ปากหมาสุดๆ
“ไอ้สงคราม!!! ไม่รู้แหละยังไงนายก็ต้องจ่ายค่าทำขวัญมาให้ฉัน”
“เพื่อนหรือมิจฉาชีพวะ หลอกเอาเงินเก่งฉิบ!!”
“มองหน้าแล้วดูปากฉันนะ” ฉันยกมือสองข้างขึ้นมาแล้วจับใบหน้าของสงครามให้หันมาหาตัวเองตรงๆ “ฉันพูดความจริง นายน่ะดึงให้ฉันล้มไปบนเตียงด้วยแถมยังทำท่าอุบาทว์ น่าเกลียดที่สุด”
ไม่รู้ว่าสงครามกำลังฟังอยู่หรือเปล่าแต่เหมือนมันไม่มีสติ สายตาคู่นั้นเอาแต่จ้องมองริมฝีปากของฉัน
“นี่!! เลิกมองปากฉันได้แล้ว ฟังอยู่หรือเปล่าห๊ะ ฉันซีเรียสนะ” พอฉันจริงจังสงครามมันก็เปลี่ยนโฟกัสสายตามามองหน้าแทน จากนั้นฉันก็เอามือออกจากหน้าของเขา
“อ่าๆ จะเอาเท่าไร”
“หมื่นนึง”
“ห๊ะ!!!” พอได้ฟังจำนวนเงินสงครามก็ถึงกับตาโตขึ้นมาทันที “นี่เพื่อนนะเว้ย เรียกเงินอย่างกับเป็นลูกหนี้”
“ก็เพื่อนน่ะสิไม่ใช่ผัวสักหน่อย”
ไอ้เพื่อนร้ายยิ้มอ่อนที่มุมปากก่อนจะขยับหน้ามาใกล้ๆ แล้วพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์ “ฉันเป็นผัวให้ได้นะ”
“ฝันไปเถอะ!! ใครอยากได้คนอย่างนายมาเป็นผัวกัน รู้สัน…หมดเปลือกขนาดนี้”
“โธ่ๆ คุณด้าย ถ้าเกิดวันไหนหลงรักกระผมขึ้นมาอย่ามาเรียกร้องก็แล้วกัน ยัยนมแบน!!”
“โอนเงินมาเลยนะ ฉันจะออกไปกินข้าวแล้ว ขี้เกียจจะคุยด้วย”
การคุยกันของเราอาจจะเหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่แต่แบบนี้มันปกติมากๆ ถ้าไม่ปกติคือเราสองคนจะเงียบใส่กัน
สงครามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโอนเงินให้ฉันหนึ่งหมื่นตามที่ร้องขอ ก่อนจะบอก “ไปหาหญิงดีกว่า อยู่กับเธอแล้วเบื่อชิบ”
พูดจบเขาก็เดินผิวปากออกไปจากห้อง ลับหลังฉันยกมือขึ้นจะตีเขาอย่างหมั่นไส้ แต่ก็รั้งมือตัวเองเอาไว้ได้
พอได้เงินจากสงครามฉันก็มาเดินห้าง กินข้าว วันนี้ฉันมาเดินห้างคนเดียว ตอนแรกก็ชวนมีนาแต่นางไปเที่ยวกับครอบครัวเลยไม่ว่าง
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วก็เดินหาซื้อของใช้ เพราะต้องซื้อของเข้าห้องเยอะแยะเลย ตั้งใจจะซื้อไม่กี่อย่างแต่วันนี้ได้เงินทำขวัญมาก็เลยจัดชุดใหญ่ หมดไปตั้งหลายพันแหนะ ข้าวของพะพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด แถมยังต้องนั่งรถเมย์กลับอีกเพราะค่าแท็กซี่แพง
“ให้ผมช่วยถือไหมครับ”
“อ่ะ!!” ฉันสะดุ้งก่อนจะหันมองตามเสียง และก็แปลกใจที่เจอกับเขาอีกแล้ว
คนที่ทักเมื่อครู่คือผู้ชายที่อยู่คอนโดเดียวกับฉันและห้องติดกัน นี่เราน่าจะเจอกันเป็นรอบที่สามได้แล้วมั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะๆ” ฉันรีบปฏิเสธ รู้ว่าเขาหวังดีแต่เราไม่รู้จักกันถ้าจะให้ถือของให้ก็คงจะแปลกๆ
“จำผมได้ใช่ไหมครับ เราเคยเจอกันที่คอนโด”
“จำได้ค่ะๆ” ได้มาคุยกันแบบนี้มันทำให้รู้สึกเกร็งยังไงก็ไม่รู้
“กำลังจะกลับคอนโดหรอครับ ?”
“ใช่ค่ะ”
“ของเยอะขนาดนี้ให้ผมช่วยดีกว่าครับ นี่จะกลับคอนโดใช่ไหม เดี๋ยวไปรถผมเลยก็ได้ผมก็จะกลับเหมือนกัน”
“เอ่อ…เดี๋ยวนะคะ….คือว่า….” ยังไม่ทันจะพูดขัดค้านอะไรต่อ ข้าวของในมือของฉันก็ถูกผู้ชายหน้าตาดีแย่งไปจนหมดเกลี้ยง เขายิ้มให้อย่างเป็นมิตรทั้งที่ฉันยิ้มแห้ง
“ไปกันครับ รถผมจอดอยู่ชั้นจี”
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ มองเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ถือของให้เดินไปนู้นแล้ว คิดหนักเหมือนกันนะเนี่ย
“แต่ติดรถกลับไปพร้อมเขาก็ดีจะได้ประหยัดค่ารถด้วย”
เพราะความงกทำให้ฉันตัดสินใจยอมติดรถกลับไปพร้อมคนที่เพิ่งเคยคุยกัน เขาชื่ออะไรยังไม่รู้เลย แต่คิดว่าเขาดูเป็นมิตรและนิสัยดีจึงยอมนั่งรถกลับคอนโดพร้อมเขา
“ว่าแต่ชื่ออะไรครับผมยังไม่รู้เลย” พอขับรถมาได้สักพักเขาก็หันมาถาม
“ชื่อเส้นด้ายค่ะ”
“ผมชื่อเลนส์นะครับ เรียนอยู่ปีสี่” เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“อ๋อ งั้นก็เป็นพี่ค่ะ ด้ายอยู่ปีสาม”
“จริงไหมเนี่ย ผมคิดว่าด้ายอยู่ปีหนึ่ง” ฉันยิ้มอย่างเขินอาย การตอบแบบนั้นก็เหมือนการชมว่าฉันหน้าเด็ก
“ขอแทนตัวเองว่าพี่ได้ไหมครับ ?”
“ได้สิคะ”
“แล้วผู้ชายคนนั้นใช่แฟนน้องดายหรือเปล่าครับ คนที่เปิดประตูห้องมาถามวันก่อน”
“อ๋อ สงครามน่ะหรอคะ ไม่ใช่แฟนค่ะเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว”
“ค่อยโล่งใจหน่อยครับ”
เขายิ้มเหมือนเขินทำให้ฉันสงสัย แถมยังพูดว่าโล่งใจ คืออะไรกัน ไม่เห็นจะเข้าใจเลย
รถหรูหักเลี้ยวเข้ามาภายในลานจอดรถของคอนโด เมื่อเปิดประตูลงจากรถจู่ๆ ก็มีเสียงแตรบีบดังสนั่นลั่นลานจอดรถ
ฉันมองตามเสียงแล้วเห็นรถสปอตคันหรูขับมาด้วยความเร็วและบีบแตรลากยาว ก่อนจะมาจอดข้างๆ กับรถคันที่ฉันนั่งมา
“จะบีบแตรทำไมเนี่ยมันหนวกหูนะ” ฉันตะโกนพูดเสียงดังแล้วเดินไปเคาะกระจกรถหรู
ที่กล้าทำแบบนี้เพราะว่ารถเจ้าปัญหาคือรถของสงคราม ไม่รู้ผีเข้าหรือเปล่าถึงได้เป็นบ้า
ไม่นานสงครามก็เปิดประตูลงจากรถ แล้วใช้สายตามองฉันแบบนิ่งๆ ก่อนจะเดินไปโดยไม่พูดอะไร
อะไรๆ ของเขากัน
“เพื่อนน้องด้ายโกรธอะไรพี่หรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอกค่ะ เขาจะผีเข้าผีออกแบบนี้เป็นประจำ”